วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

คำนึงสุดท้าย


               
 
                “โต้ง...” เสียงชายสูงอายุร้องทักเมื่อเขาเดินเข้ามาในงานศพของใครคนหนึ่ง “กลับมาเมืองไทยนานแล้วหรือ”

                “สวัสดีครับอาน้อย ผมกลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์กว่าเองครับ” โต้งยกมือไหว้อาน้อยที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยความเคารพ

                “อืม... อย่างน้อยก็ทันได้กลับมาดูใจพ่อเอ็งนะ ก่อนตาย”

                โต้งรู้สึกจุกอกในคำพูดนี้ แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์นั้นไว้แม้ว่าจะไม่มิดก็ตาม

                “เปล่าครับ ผมกลับมาตอนที่พ่อนอนไม่ได้สติแล้ว ทันเห็นพ่อตอนสายยางระโยงระยางเต็มไปหมด”

                “เหรอ... เฮ้อ...” อาน้อยถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

                “อาเพิ่งจะลงเครื่องมาวันนี้หรือครับ”

                “ใช่ บินตรงมาจากหาดใหญ่ไฟลท์เช้านี้เอง”

                “นี่แจ๊คครับ ลูกชายของผม ตอนนี้ 5 ขวบแล้วครับ แจ๊คไหว้ปู่ซะสิ”

                เด็กชายตัวน้อยยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ

                “ว่าไงหลานชาย” อาน้อยใช้มือลูบไปที่หัวของเด็ก “แล้วนี่จะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่า หรือจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก”

                “ผมลาออกมาแล้วครับ เพราะต้องเคลียร์งานเสร็จก่อน เลยกลับมาเมืองไทยช้าครับ”

                “แล้วเมียเอ็งล่ะ”

                “ซาร่าห์จะบินตามมาภายในเดือนนี้ครับ”

                “อ้อ มีเมียฝรั่ง มิน่าหลานตาสีน้ำข้าวเชียว”

                โต้งฝืนหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่เศร้าและหดหู่นี้ เขารู้ตัวดีว่าคำแก้ตัวเรื่องที่ทำให้เขากลับเมืองไทยล่าช้าแม้จะพูดให้ใครฟัง แต่มันก็ยังดูไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ถึงข้ออ้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม

                “แล้วจะอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”

                “ใช่ครับ ผมคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ส่วนเรื่องงานก็คงหาทำแถวนี้ครับ”

                “ดีแล้ว พ่อเขาเป็นห่วงเอ็งมาก สมบัติทุกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายคนเดียวมารับต่อ”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ

                “งั้นเดี๋ยวอาเข้าไปในงานก่อนนะ ไว้คุยกัน”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ อีกครั้ง

                เขามองเข้าไปในศาลางานศพที่ไม่ใหญ่มาก มีแขกเหรื่อไม่เยอะเพราะโต้งยังไม่ทันส่งข่าวให้ใคร เพราะเขาเองก็เริ่มห่างหายจากเพื่อนๆ และคนสนิทของพ่อไปนานหลายปี มีแต่ญาติหลายสิบคนเต็มศาลา งานในครั้งนี้จึงเหมือนกับการรวมญาติครั้งใหญ่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่มีพ่อของโต้ง

                โต้งไม่แน่ใจว่ามีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เขาคิดสะท้อนกลับไปกว่า 15 ปีที่เขาไปเรียนและทำงานเป็นแพทย์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาจะบินกลับไทยเฉลี่ยปีละครั้งนั้น ยกเว้น 5 ปีหลังสุดที่เขามีลูก โต้งไม่มีเวลากลับมาเมืองไทย นั่นคงจะทำให้พ่อของเขารู้สึกเหงาอยู่บ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้อยู่เคียงข้างชายแก่คนหนึ่ง

                อาน้อยเป็นญาติที่โต้งสนิทที่สุด นอกนั้นเป็นญาติที่ค่อนข้างจะเหินห่าง ทำให้โต้งไม่ได้ต้อนรับแขกเหรื่อได้ดี ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าภาพ

 

                ในเช้าหลังจากที่มีการเผาศพเรียบร้อยแล้ว โต้งตื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เขายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เขาจากไปนาน โต้งเข้าไปในห้องเก็บหนังสือของพ่อที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือและกองหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้น หนังสือหลายเล่มเป็นนิตยสารเก่าที่เรียงหมายเลขต่อเนื่องกัน ในตู้หนังสือคงจะเป็นหนังสือที่ไม่ได้หยิบออกมาบ่อยนัก

                โต้งหันไปมองยังโต๊ะอ่านหนังสือ บนนั้นมีสมุดเก็บภาพถ่ายหลายเล่มวางอยู่บนนั้น โต้งค่อยๆ หยิบเล่มบนสุดเปิดดู เขาเห็นภาพถ่ายของตัวเองในวัยเด็ก ในนั้นมีทั้งเขา พ่อและแม่ รวมไปถึงพี่สาวของเขาที่ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นแม่ก็ตรอมใจตายตามไป

                ความหดหู่และรู้สึกสงสารพ่อเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในลำคอของโต้ง พ่อของเขาที่ต้องอดทนต่อสู้กับความเหงาว้าเหว่ถึง 10 ปีจากที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า แม้โต้งจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังมีพี่สาวและแม่ แต่เมื่อความสูญเสียมาเยือน นั่นทำให้พ่อต้องเดียวดายอย่างแท้จริง

                โต้งเคยบอกพ่อว่าจะกลับมาหางานทำในประเทศไทยเมื่อเรียนจบ แต่พ่อของโต้งไม่เห็นด้วยในตอนนั้น

               

                โต้งพาแจ๊คซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้าน เขาตั้งใจจะพาลูกชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าที่เขาเคยมากินนานแล้ว หากแต่ว่ามันไม่ปิดไปเสียก่อน

                รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าร้านที่คนพลุกพล่าน นั่นแสดงว่าร้านยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมสั่งเมนู โต้งมองไปรอบๆ ร้านพร้อมรำลึกความหลังเก่าๆ ที่เขาเคยมากินพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างในร้านแทบจะเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับกว่า 10 ปีที่แล้ว มีเพียงแต่เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หน้าตาไม่คุ้นเคย

                กลิ่นหอมของน้ำซุปจากโต๊ะอื่นโชยมาเข้าจมูก โต้งรู้ดีว่าร้านนี้คือร้านโปรดของพ่อ พ่อคงจะมาที่นี่บ่อย ภาพพ่อของเขาที่นั่งคีบเส้นในชามก๋วยเตี๋ยวยังคงติดตาและไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ ทุกครั้งพ่อจะต้องซดน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่ไม่ผ่านการปรุงใดๆ จนหมดชาม

                โต้งแทบจะไม่เชื่อสายตา! เขามองเห็นโต๊ะๆ หนึ่งที่ถัดจากเขาไปและอยู่ริมรั้ว ชายแก่ที่นั่งคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากคนนั้นคือพ่อของโต้ง เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าชายคนนั้นคือพ่อของเขาอย่างแน่นอน โต้งคงจะลุกเดินไปหาพ่อของเขาแล้ว หากเขาลืมไปว่าเพิ่งจะเผาร่างพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

                ภาพชายแก่ที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดคนเดียวทุกวันๆ คงจะเป็นภาพธรรมดาที่คงจะชาชินไปแล้วสำหรับคนที่ต้องทนอยู่กับความเหงา แต่สำหรับโต้งที่มีทั้งลูกและเมีย มันช่างสะเทือนอารมณ์ของเขาไปถึงก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ ความเศร้าสะเทือนใจกำลังจะกลั่นตัวออกมาเป็นหยดสายน้ำใสๆ ในอีกชั่วอึดใจเดียว หากไม่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างอารมณ์นั้นก่อน

                “นั่นโต้งใช่มั้ย”

                โต้งหันไปทางต้นเสียง เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเจ้าของร้านที่เคยทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามา

                “สวัสดีครับป้าละมัย” โต้งยกมือไหว้ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “ไหว้ยายสิลูก”

                “เป็นยังไงบ้าง ป้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องพ่อของเธอ เสียใจด้วยนะ”

                โต้งยิ้มรับคำ เขาหันไปมองที่โต๊ะริมรั้วอีกครั้ง เขาไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่ที่เขาไม่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขานั่งอยู่

                “แล้วนี่จะยังไงต่อไปล่ะ จะกลับมาอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปเป็นหมอที่อเมริกา”

                “ผมจะกลับมาหางานทำที่นี่ครับ เอ่อ... ป้ารู้ว่าผมทำงานอะไร...”

                “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พ่อของเธอมาที่นี่บ่อย ชอบมาคุยเรื่องลูกชายให้คนโน้นคนนี้ฟัง แกดูจะภูมิใจในตัวโต้งมากเลยนะ”

                “พ่อของผมคงจะเหงา เขาคงมาหาเพื่อนคุย”

                ละมัยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็มาหาเพื่อนเก่านั่งคุยกันตามประสานั่นแหละ ป้าขอตัวเข้าไปในครัวก่อนนะ แล้วโอกาสหน้าแวะมากินบ่อยๆ ล่ะ”

                “ขอบคุณครับ” โต้งพูด

                หลังจากป้าละมัยเดินพ้นไป โต้งหันไปมองยังโต๊ะริมรั้วอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่กำลังใช้ช้อนกวาดน้ำก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายใส่ปาก

 

                ในคืนนั้น โต้งแต่งตัวด้วยชุดนอนหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกาย เมื่อหันไปที่เตียงก็เห็นแจ๊คกำลังเปิดสมุดเก็บรูปภาพหลายเล่ม

                “พ่อครับ ผมคิดถึงคุณปู่”

                โต้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ แค่เพียงอาทิตย์เดียวที่ลูกชายของเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปู่ จะสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันได้เพียงนี้ แม้พ่อของเขาจะไม่ได้สติเหมือนคนทั่วไป

                “ปู่ของลูกก็คงจะคิดถึงลูกเช่นกัน รู้มั้ยว่าปู่บ่นอยากเห็นลูกมานานแล้ว แต่ว่าพ่อไม่ได้พาลูกมาเจอปู่ก่อนหน้านี้ พ่อขอโทษนะลูก” โต้งลูบหัวของลูกชายเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเด็กน้อย

                “พ่อร้องไห้ทำไมครับ” แจ๊คตกใจที่เห็นน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่อ

                โต้งปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว “พ่อสงสารลูกที่ไม่มีโอกาสได้เจอปู่น่ะสิ พ่อผิดเองที่ไม่พาลูกกลับมาที่เมืองไทยก่อนหน้านี้”

                เด็กน้อยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เขยื้อนตัวเขามาใกล้พ่อของเขาพร้อมโอบกอดร่างใหญ่โอบไม่มิดไว้แน่น “ผมได้เจอกับปู่แล้วครับ ผมได้นอนกอดปู่ ได้คุยกับปู่ ได้ร้องเพลงให้ปู่ฟัง”

                “ลูกไม่เสียใจหรือที่ไม่ได้มาเจอปู่ก่อนหน้านี้”

                “ไม่ครับ สำหรับแจ๊คแล้วมีโอกาสแค่นี้ก็เพียงพอ”

                โต้งยิ้มรับกับคำพูดที่ออกมาจากปากน้อยๆ เขาโอบกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก

                “ในตอนที่แม่ของลูกคลอดลูกออกมา  พ่อส่งข่าวและรูปภาพของลูกมาให้ปู่ดู รู้มั้ยว่าปู่ดีใจแค่ไหน คิดดูสิ คนอีกซีกโลกนึงตื่นเต้นดีใจที่คนอีกซีกโลกนึงถือกำเนิดออกมา ในตอนนั้นพ่อก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อว่าคืออย่างไร มันทำให้พ่อคิดถึงปู่มากขึ้น แต่เพราะหน้าที่การงานและภาระหลายอย่างทำให้พ่อบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมปู่ทุกครั้งหลังจากที่มีลูก ลูกรู้มั้ยว่าลูกเป็นดวงใจของพ่อ เหมือนกับที่พ่อก็เป็นดวงใจของปู่เช่นกัน”

                โต้งพูดจบก็ก้มลงดูลูกชายที่นอนซุกตัวในอ้อมอกของเขา ปรากฏว่าแจ๊คนอนหลับตาสนิทไปแล้ว โต้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ วางเจ้าตัวน้อยลงบนที่นอน พร้อมห่มผ้าให้กับดวงใจดวงเล็กๆ ของเขา

               

                โต้งลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เขาเดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือที่มีโต๊ะประจำตำแหน่งของพ่อ โต้งนั่งลงบนนั้น

                ลิ้นชักใต้โต๊ะถูกเปิดออก ในนั้นรกไปด้วยเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ โต้งหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น

                พ่อคิดถึงโต้ง พ่อเหงา พ่อไม่เหลือใครแล้ว....

                โต้งไม่อาจจะทนทานอ่านต่อได้ เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสงสารพ่อของเขาจับใจ

                “ร้องไห้ทำไม่โต้ง” เสียงที่คุ้นเคยดังมาผ่านหูของโต้ง

                เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่ง ที่พ่อของเขาเข้ามาปลอบใจยามที่โต้งมีน้ำตาในอดีต  แต่ทว่าเมื่อเขาคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ นั่นเป็นเสียงที่เขารับรู้ได้ด้วยหูของเขาอย่างแน่นอน

                “พ่อ” โต้งพูด

                พ่อของโต้งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง โต้งเห็นและแน่ใจว่านั่นคือพ่อตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน

                “พ่อมาได้ยังไง” เสียงพูดปนตกใจดังมากจากลูกชาย

                “เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือลูกร้องไห้ทำไมกัน”

                “ก็ผมสงสารที่พ่อทนอยู่อย่างเหงาๆ มาหลายปี ผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้”

                “อย่าพูดแบบนั้น” พ่อของโต้งเอ่ยคำๆ นั้นด้วนน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ความเหงาเป็นแค่อารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จางหาย”

                “แต่ผมบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ หลังจากที่ผมมีแจ๊ค นั่นคงจะทำให้พ่อเสียใจ”

                “ไม่หรอกลูก อย่าคิดแบบนั้นเลย คนทุกคนมีหนทางเดินที่ต่างกัน ลูกก็มีความจำเป็นของลูก ส่วนเรื่องหลานของพ่อ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่พ่อได้เจอกับหลาน แม้พ่อจะไม่ได้สติ แต่พ่อก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีลูกและลูกของลูกอยู่ใกล้ๆ เจ้าแจ๊คที่มานอนข้างพ่อๆ ก็รับรู้ มาร้องเพลงมาพูดคุยพ่อก็รับรู้ได้ แค่ไม่สามารถตอบรับกลับไปได้แค่นั้นเอง”

                “จริงหรือครับ” โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง

                “พ่อหมดอายุขัยไปแล้ว ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ที่จะต้องให้มาคอยกังวล ทุกข์และสุขที่เคยเป็นเรื่องในอดีตมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับพ่อ ตอนนี้พ่อไปสู่นิพพานที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกห่วงใยใดๆ ให้ต้องคำนึงอีกต่อไปแล้ว มันจบแล้ว”

                โต้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขามองรอบตัวยังเห็นแจ๊คที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา โต้งคงฝันไป แม้โต้งจะคิดว่านั่นเป็นความฝัน แต่ทุกถ้อยคำที่ได้ยินจากในฝันนั้นเขาจดจำมันได้เป็นอย่างดี โต้งคิดว่านั่นคงเป็นแค่จิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง ที่ยอมให้อภัยความสำนึกผิดที่เขาพยายามคิด และต่อไปคงถึงเวลาที่เขาจะให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง

                ในคืนนั้นโต้งนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ความสำนึกผิดใดๆ บางทีเขาอาจจะให้อภัยตัวเองแล้ว เหมือนกับเรื่องจิตใต้สำนึกที่โต้งเคยเรียนมาว่า คนเราพอนอนฝันถึงเรื่องใด แสดงว่าเรื่องนั้นคือเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของคนๆ นั้น และต่อไปโต้งคงจะไม่นอนฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

 

                บนท้องฟ้ามีมวลหมู่เมฆหลายก้อนเรียงรายไม่ห่างกัน ร่างพ่อของโต้งโปร่งใสกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไป

                “ไปไหนมาหรือท่าน” ผู้เฒ่าบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                “จิตไม่สงบ ยังเป็นห่วงลูกชาย ผมก็เลยกลับไปปรากฏตัวให้ลูกชายเห็น และยังไปเข้าฝันลูกชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจอีกด้วย”

                “แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”

                “คิดว่าคงได้ ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว คงถึงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ได้ซักที” พ่อของโต้งพูด

                “อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเอาบ้าง นี่ก็ตายมาหลายปีแล้ว แต่ลูกกับเมียยังมาแย่งธุรกิจที่เราสร้างไว้ เราเป็นห่วงจริงๆ ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง คงต้องลงไปเตือนสติกันบ้างแล้ว”

                “โอ้... เห็นข่าวเรื่องการแย่งสมบัติในโลกมนุษย์เยอะจริงๆ ว่าแต่เมียท่านชื่ออะไรล่ะ แล้วธุรกิจของท่านคืออะไร”

                “เมียเราเหรอ ชื่อประนี ทำธุรกิจโขลกน้ำพริกขาย”

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เสียงที่เพราะที่สุดในโลก


ผมเดินเข้าบู๊ทขายหนังสือของสำนักพิมพ์เกี่ยวกับดนตรีในงานสัปดาห์หนังสือที่จัดขึ้นในปีนี้  ผมตั้งใจจะไปหาข้อมูลของศิลปินใหม่ๆ หรือศิลปินที่เล่นเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีสักชิ้น เพื่อหาท่วงทำนองและสำนวนทางดนตรีใหม่ๆรวมถึงท่วงทำนองเสียงประสานที่จะขับกล่อมจิตใจของผม
สำนักพิมพ์มิวสิคกูรู (ชื่อสมมุติ) คือสำนักพิมพ์ที่ผมหาข้อมูลมาทางอินเตอร์เน็ท นิตยสารที่ใช้ชื่อหัวเดียวกันกับชื่อสำนักพิมพ์ฉบับล่าสุดวางเด่นหราอยู่บนชั้นหน้าบู๊ท ผมหยิบขึ้นมาและเปิดออกดู
 ‘ไมเคิล จาคอบ (ชื่อสมมุติ) นักร้องเพลงป๊อบที่ผสมผสานความเป็นบลูเข้าด้วยกัน ถือเป็นงานดนตรีที่ไม่เหมือนใครด้วยคำร้องที่แต่งขึ้นเอง เนื้อเพลงส่วนใหญ่พูดถึงการแบ่งชนชั้นในวัยเด็กที่เขาเจอ เนื่องจากครอบครัวของเขาเป็นคนอเมริกันแอฟริกัน จึงมีเรื่องราวคล้ายๆกับนักร้องเพลงบลูหลายๆคน แต่งานครั้งนี้ผสานความเป็นป๊อบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในอัลบั้มชุดนี้...’
“สวัสดีค่ะผู้เข้าชมงานทุกท่าน วันนี้สำนักพิมพ์เมนี่เลิฟ (ชื่อสมมุติ) จัดโปรโมชั่นซื้อ 3 แถม 1 เพื่อเอาใจคนรักหนังสือโดยเฉพาะ พิเศษ! พบกับนักเขียนตัวจริงเสียงจริงได้ในบู๊ทหนังสือ พร้อมรับของแถมอีกมากมาย ขอเชิญนะคะ ที่บู๊ทหนังสือเมนี่เลิฟ”
ผมสะดุดการอ่านด้วยเสียงประกาศผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ทำให้สมาธิในการอ่านรายละเอียดนักร้องนั้นขาดสะบั้นไป ผมพลิกไปอ่านหน้าถัดๆไป
 ‘สตีฟ แฟรงค์ (ชื่อสมมุติ) เขาสามารถบรรเลงแซกโซโฟนบนเวทีโดยสะกดผู้ชมนับหมื่นให้หยุดหายใจ ด้วยท่อนฮุคอันทรงพลัง แม้จะเป็นการโซโล่เดี่ยวจากเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวก็ตาม กับอัลบั้มงานเพลงที่จะออกวางตลาดในช่วงปลายซัมเมอร์นี้ อาจจะทุบทุกสถิติยอดขายเพลงผ่านอินเตอร์เน็ท ถ้านับเฉพาะงานเพลงบรรเลงที่ไม่ค่อยจะนิยมมากนักในตลาดเพลงออนไลน์…’
 “ตอนนี้ที่บู๊ทหนังสือสำนักพิมพ์นิยายสยาม (ชื่อสมมุติ) พบกับนักเขียนนามปากกาฟ้าลั่น (นามสมมุติ)ได้แล้วค่ะ นักเขียนพร้อมแล้วที่จะแจกลายเซ็นพร้อมพูดคุยกับแฟนหนังสือ ขอเชิญนะคะที่บู๊ทสำนักพิมพ์นิยายสยาม”
สมาธิจากการอ่านผมขาดสะบั้นลงอีกครั้ง ผมพยายามพลิกหน้าถัดๆไปเพื่อหาศิลปินใหม่ๆ แต่เสียงประกาศก็ดังขึ้นและพูดติดต่อกันจากหลายๆบู๊ทจนทำให้ผมไม่สามารถอ่านนิตยสารเล่มนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ผมควักเงินตามราคาหน้าปกนิตยสารเล่มนี้ส่งให้กับพนักงานและเดินออกมาทันที
ผมเดินผ่านโซนหนังสือนิยายเผื่อจะเห็นหนังสือเล่มไหนน่าสนใจ แต่ตลอดทางที่ผมเดินผ่านกลับเต็มไปด้วยเสียงจอแจจากพนักงานขาย เสียงดังจากการสนทนาของผู้เข้าชมงาน แต่นั่นไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับเสียงประกาศผ่านลำโพงดังมาไม่ขาดช่วง
 “นาทีทองค่ะ หนังสือลด 30%...”
 “พบกับหนังสือที่มียอดขายถล่มทะลาย แต่มาในงานนี้ด้วยราคาสุดพิเศษสำหรับผู้เข้าชมงาน...”
 “จัดกิจกรรมแจกหนังสือฟรีค่ะ พบกันที่บู๊ท...”
 “พบนักเขียน...”
 “เล่นเกมส์...”
“ชิงรางวัล...”
ผมเดินออกมาจากศูนย์ประชุมฯทันทีโดยไม่สนใจจะมองหาหนังสือใดๆอีกแล้ว พอคิดถึงงานหนังสือของประเทศไทยแล้ว แม้ผมจะไม่เคยไปงานหนังสือที่ประเทศใดๆมาก่อน แต่ผมคิดว่างานหนังสือในบ้านเราเป็นงานหนังสือที่ดังที่สุดในโลก ดังในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงมีชื่อเสียงโด่งดัง หากแต่หมายถึงเป็นงานที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมตลอดทั้งงาน ความจริงแล้วงานหนังสือควรจะเป็นงานที่เงียบสงบ ให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินใจเนื้อหาในหนังสืออย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้พนักงานขายมาตัดสินใจแทนลูกค้าโดยประกาศเสียงผ่านลำโพงดังกึกก้องทั่วหอประชุม
 
ผมเดินลงบันไดลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน ในสถานีนี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายและหลีกหนีความวุ่นวายจอแจลงมาได้บ้าง แม้ผู้โดยสารในช่วงนี้จะเยอะเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ทำเสียงดังมากนัก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อต่อการรอรถไฟเที่ยวถัดไป
ระหว่างที่ผมยืนรอรถไฟผมหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีกรอบ ความเงียบสงบในครั้งนี้ทำให้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปินได้หลายคน เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจซื้อเพลงผ่านอินเตอร์เน็ทของผมได้
ไม่นานรถไฟก็จอดเทียบชานชาลา ผมเก็บหนังสือลงในกระเป๋า กะว่าจะไปเปิดอ่านอีกทีบนรถไฟฟ้า เมื่อขึ้นมายืนบนรถผมหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดอ่านต่อจากหน้าที่อ่านค้างไว้
แต่ทว่า! เสียงโฆษณาในรถไฟฟ้าที่ฉายออกมาทางจอทีวีจอเล็กและเสียงดังผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้รอบตัวรถ ทำลายสมาธิในการอ่านของผมอีกครั้ง ด้วยเสียงที่ดังเกินค่ามาตรฐาน แม้ผู้ที่ไม่ตั้งใจฟังก็ยังสัมผัสได้ยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมเก็บนิตยสารลงในกระเป๋าอีกครั้งและพยายามปิดหูปิดตาไม่รับฟังเสียงใดๆ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมลพิษทางเสียงนั้นก็ยังเล็ดลอดเข้ามาในหูผมได้ตลอดเส้นทาง
ผมอดทนแค่ช่วงสถานีเดียว เพราะผมจะลงรถที่สถานีสวนลุมฯนี้แล้ว ผมคงจะเดินเข้าไปหามุมสงบๆในสวนลุมพินีเพื่อนั่งอ่านนิตยสารเล่มนี้ให้จบเล่มเสียที
ผมเจอร่มไม้ที่คงจะเงียบสงบจากเสียงจอแจจากผู้คน เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายๆที่ยังไม่ค่อยมีคนมาออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ผมเปิดหน้านิตยสารที่ยังอ่านค้างไว้และตั้งหน้าตั้งตาอ่าน
ทันใดนั้นเสียงเพลงบรรเลงสำหรับรำมวยจีนที่แสนจะปวดแก้วหูก็ดังขึ้น ผมยังคิดว่าเวลานี้จะมีใครมารำมวยจีนกันนะ ปกติเขาจะรำกันช่วงเช้าๆนี่
ผมมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นอาม่าเพียงแค่สองคนยืนสอนท่าทางมวยจีนกันอยู่ แม้ตรงนั้นจะมีเพียงแค่สองคน แกก็เปิดเครื่องเสียงดังเหมือนมีคนอยู่บริเวณนั้นนับร้อย
ผมย้ายที่ออกจากจุดนั้นให้ไกลพอจะไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญนั้น ผมไปนั่งบริเวณใกล้ๆกับรั้วฝั่งถนนพระราม 4 เสียงเครื่องยนต์รถวิ่งพร้อมเสียงบีบแตรก็สร้างความรำคาญให้ผมไม่แพ้กัน บวกกับกลิ่นควันรถจางๆที่ลอยเข้ามาทำให้ผมตัดสินใจย้ายที่นั่งอีกครั้ง
คราวนี้ผมย้ายไปตรงกลางสวนอีกฟากหนึ่งที่มั่นใจว่าจะสงบ แต่ทันใดที่หย่อนก้นลงกับพื้น เสียงร้องคาราโอเกะกลางสวนก็ดังขึ้นจนนกกาแถวนั้นบินหนี บางทีแล้วคนร้องเพลงอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าคนอื่นชอบฟังเสียงร้องของตัวเองก็เป็นได้
ผมตัดสินใจไม่ย้ายที่นั่งไปทางไหนอีกในสวน แต่ตัดสินใจเดินออกจากสวนทันที ผมเดินออกทางประตูฝั่งถนนสีลมเพื่อตั้งใจจะเดินเท้าไปให้ถึงเกือบถึงแยกนนทรีย์เพื่อจะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดของผม
 
ตลอดทางที่ผมเดินผ่านถนนสีลมทุกๆช่วงตึก ยามที่คอยโบกรถให้คนเข้าออกจะเป่านกหวีดเต็มแรงเพื่อให้สัญญาณกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารพอจะได้ยินเสียง แต่กับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนที่ได้รับเสียงนกหวีดเต็มๆ บวกกับเสียงแตรรถจากผู้ขับรถยนต์ แม้เสียงแตรจะไม่สร้างความรำคาญให้คนในห้องโดยสาร แต่คนที่อยู่นอกตัวรถกลับรำคาญเป็นอย่างมาก
เสียงนกหวีดดังที่ 120 เดซิเบล ในขณะที่เสียงแตรรถดังที่ 110 เดซิเบล ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนาน ๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย
ผมสงสัยว่าคนที่ทำงานอยู่กับเสียงดังขนาดนี้นานๆหูอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วก็เป็นได้ และทุกๆ 10 ก้าวผมก็จะเจอยามเป่านกหวีดในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างในเวลานี้ และคงจะไม่แปลกอะไรที่ผมจะยกให้ถนนสีลมแห่งนี้เป็นถนนเส้นที่ดังมากแห่งหนึ่งในโลกนี้
 
หลังจากผมแวะทานก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดและต่อรถไฟฟ้ามาอีกหนึ่งสถานีมาลงยังสถานีสุรศักดิ์เพื่อเดินเข้าหอพักของผม ที่อยู่ติดกับสุสานแต้จิ๋ว ผมต้องเดินเข้าตรอกซอกซอยอีกประมาณเกือบกิโลฯ ในซอยนี้เป็นทั้งชุมชนมุสลิมที่มีมัสยิด และสมาคมของคนจีนที่อยู่ร่วมกันได้
ที่นี่จึงค่อนข้างเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ผมค้นพบ เมื่อถึงหอพักผมหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านจนทะลุปรุโปร่งทั้งเล่ม ทำให้ผมมั่นใจว่าจะเลือกซื้อเพลงของศิลปินคนไหนมาฟังในคืนนี้
ค่ำคืนนี้ผมปิดไฟและเปิดหน้าต่างหลังห้องเพื่อรับลมเย็นๆให้พัดเข้ามาในห้องของผม ผมเปิดเพลงบรรเลงชุดใหม่ที่ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ท ผมเปิดลำโพงเบาๆให้พอได้ยินเสียงทุกๆตัวโน๊ตที่ขับกล่อมผ่านสายกีตาร์จากศิลปิน ความเพลิดเพลินนี้เกิดจากเมโลดี้ที่เรียงร้อยถ้อยคำได้อย่างลงตัว ช่วงจังหวะทำนองที่หนักเบาสลับกันแต่ลงตัวทำให้เพิ่มอรรถรสในการฟังได้ดียิ่งนัก
เสียงประสานจากเครื่องดนตรีอิเล็คทรอนิกส์กลมกลืนกับเสียงสั่นจากสายเหล็กของกีตาร์ ผมเข้าใจแล้วว่าเสียงที่ไพเราะเพียงใดนั้นมันจะต้องประกอบไปด้วยความสงบ ความเงียบสงบจะเป็นตัวขับความไพเราะออกมาจากคลื่นเสียงที่ประกอบกันเป็นท่วงทำนอง
หรือบางทีผมยังคิดว่า แค่เสียงแห่งความเงียบสงบนั้น ก็เป็นเสียงที่เพราะที่สุดในโลกแล้วก็เป็นได้ ผมค่อยๆงีบหลับไปเมื่อฟังเพลงครบทุกเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ความเงียบสงบกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วในคืนนี้
 
ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!

ผมตกใจตื่นในช่วงสายๆของวันหยุด ด้วยเสียงจุดประทัดดังเป็นชุด ผมพลันมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นลูกหลานบรรพบุรุษต่างมาทำพิธีต่อหน้าหลุมศพในสุสานแต้จิ๋วที่ติดหลังห้องผมพอดี ผมอยากจะทวงคืนเช้านี้ที่แสนจะเงียบสงบจากใครสักคน แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะยังเห็นลูกหลานอีกหลายกลุ่มที่เตรียมตัวจะจุดประทัดดังอีกนับสิบครอบครัว
ใจหนึ่งผมก็ยินดีกับความมีน้ำใจของลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันสร้างเสียงดังเพื่อต้องการให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของพวกเขารับรู้ว่าลูกหลานมาเยี่ยม
แต่ผมว่าแค่กระซิบบอกพวกท่านเบาๆพวกท่านก็รับรู้และดีใจแล้วกระมังครับ ไม่ต้องส่งเสียงป่าวประกาศให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมารับรู้ด้วยก็ได้

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สายใยชีวิต



ในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง ใจผมรู้สึกละล้าละลังที่เดินเข้าไปหาเธอในบ้าน
ยุพินคือแฟนสาวที่เคยคบหากับผมเมื่อกว่าหกปีก่อน ผมทิ้งเธอไปโดยไม่ได้ล่ำลากัน เมื่อครั้งที่ผมยังวัยรุ่นผมไม่ได้คิดถึงเกี่ยวกับความรับผิดชอบอะไรมากมาย แต่ครั้งนี้มีอะไรบางอย่างทำให้ผมกลับมายืนที่นี่อีกครั้งในรอบหกปี
ออด...!! ผมกดสวิทซ์ไฟที่มีรูประฆังติดอยู่
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากบ้าน นั่นทำให้หัวใจผมเต้นเร็วและรัวจนคิดว่าอยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปทั้งอย่างนั้น
"คมสัน" เธอพูดเมื่อเห็นหน้าผมอย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเธอกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ทั้งๆผมควรจะถูกเธอเกลียดเข้าไส้
"เธอมาที่นี่ทำไม"
"ยุพิน ผมดีใจจริงๆที่เจอเธออีก คือว่าผม..."
"เธอมาที่นี่ทำไม" น้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
ผมอยากจะกลับหันหลังและเดินจากไปให้พ้นจากตรงนี้ เพราะคำถามของเธอผมไม่สามารถตอบได้ และจะมีเหตุผลอะไรให้ผมต้องมาเจอหน้ากัน
"ไหนๆเธอก็มาแล้ว เข้าไปข้างในบ้านก่อนก็ได้นะ" ยุพินพูดเสร็จก็เปิดประตูรั้วให้ผม
 ผมเดินผ่านประตูบ้านที่ค่อนข้างเงียบและวังเวงเข้าไป แต่เมื่อพ้นขอบประตูผมเห็นภาพพ่อและแม่ของเธอแขวนอยู่บนผนังและมีกระถางธูปเล็กวางอยู่ใกล้ๆกัน
"พ่อและแม่ของเธอ..." ผมพูดพร้อมจ้องมองไปที่ภาพนั้น
"พ่อฉันเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะโดนรถชน และไม่นานแม่ฉันก็เป็นไข้หวัดใหญ่แต่รักษาไม่ทัน" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอีกครั้ง
"เสียใจด้วยนะ"
"ขอบคุณ"
เราทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งกันไปสักพัก ก่อนจะเธอจะถาม
"ว่าแต่อะไรทำให้เธอมาทีนี่ได้" เธอพูดด้วยสายตาที่อาวรณ์แต่พยายามปิดบังแววตานั้นไว้
"อยู่ๆผมก็คิดถึงคุณขึ้นมา เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ดึงให้ผมมาที่นี่" ผมพูดตามความรู้สึกในหัวใจ
"จริงเหรอ"
เธอหลบสายตามผมพร้อมทำท่าครุ่นคิด ผมก็พยายามทบทวนความรู้สึกนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่
"เป็นไปไม่ได้" เธอรำพึงเบาๆแต่ยังดังพอให้ผมได้ยิน
"อะไรเป็นไปไม่ได้" ผมถาม
"เอ่อ... ไม่มีอะไร" เธอบ่ายเบี่ยงอะไรบางอย่าง "ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบใจเธอมาในวันนี้นะ"
"ขอบคุณเช่นกัน" ในใจผมกลับซาบซึ้งมากกว่าที่เธอยอมคุยกับผม เพราะในอดีตนั้นผมทำผิดกับเธอหลายเรื่องจนยากเกินอภัย "แล้วเธออยู่บ้านคนเดียวหรือ"
"อยู่คนเดียว ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่"
"แล้วทำอะไรอยู่ล่ะตอนนี้" เธออึกอักไม่พูดไม่อะไร "หมายถึงทำงานอะไรอยู่เหรอ"
"คือฉันไม่ได้ทำงานที่ไหน ก็หารับจ้างทั่วไปแถวบ้านนี่ล่ะ"
"ถ้าเธอมีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็บอกได้นะ อย่างน้อยเราก็เคย..." ผมยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงแก้วแตกดังมาจากหลังบ้าน
เพล้ง...!!
ผมหันไปมองต้นเสียง
"เสียงอะไร" ผมถาม
"ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแมวก็ได้ ข้างบ้านเลี้ยงแมว มันชอบเข้ามาจับหนูในบ้านนี้"
ผมไม่คิดอะไร อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูด
“อย่างน้อยเราก็...” เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ “อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจ ถ้าหากมีเรื่องอะไรฉันจะติดต่อไปนะ”
เธอพูดเชิงเหมือนจะตัดบท ผมคิดอย่างนั้น
“แล้วผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
ผมลุกขึ้นยืนเตรียมหันหลังกลับ แต่ !
ครื่ด...!!
เสียงเลื่อนของโต๊ะหรือเก้าอี้ดังมาจากหลังบ้าน น่าจะเป็นทิศทางเดียวกับเสียงแก้วแตก
“นั่นไม่ใช่แมวแล้ว หรือว่าจะเป็นขโมย” ผมไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ รีบเดินตรงไปยังต้นเสียงนั่น
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าเข้าไปในนั้น” เธอพูด แต่ผมไม่สนใจ
ภาพที่ผมเห็นในห้องครัว นั่นคือแก้วน้ำที่แตกกระจายอยู่บนพื้นและรอยหยดเลือดจางๆรอบข้าง ถัดไปผมเห็นเด็กผู้ชายอายุไม่โตมากนักนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ดูเหมือนเด็กน้อยไม่แสดงอาการร้องไห้หรือแยแสกับบาดแผลที่เท้าของเขา
และดูจากใบหน้าของเด็ก ทำให้รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีอาการดาวน์ซินโดรม
เมื่อยุพินเห็นบาดแผลที่เท้าของเด็ก เธอรีบกุลีกุจอเข้ามาเช็ดบาดแผลและใช้ผ้าพันแผลทันที
“คุณดูแลเด็กคนนี้เหรอ”
“ใช่” เธอตอบไม่เต็มเสียง “ฉันรับจ้างดูแลเด็กคนนี้”
“คุณรับจ้างเลี้ยงเด็กคนนี้นี่เอง ถึงมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้”
“ใช่ ญาติของฉันให้ฉันดูแลเด็กคนนี้พร้อมค่าตอบแทน”
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องไปที่แววตาของเด็ก ความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ลำคอของผม แววตาของเด็กจ้องมองมาที่ผมเช่นกัน
นี่มันอะไรกันนะ เมื่อผมมองเข้าไปในแววตาบริสุทธิ์ ผมกลับมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น ความรู้สึกนี้เองหรือที่ชักนำให้ผมมาที่นี่ แล้วเหตุผลล่ะ ?
“เขาช่วยเหลือตัวเองได้ไหม ได้พาไปโรงเรียนหรือเปล่า ตอนนี้เด็กอายุเท่าไหร่แล้ว” ผมถามเพราะมีความสนใจในตัวเด็ก
“ญาติของฉันกำลังจะส่งเงินมาเพื่อพาเด็กเข้าโรงเรียน เขาก็ช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่งแต่ก็ยังต้องมีคนช่วยดูแล” เธอเงียบไปชั่วครู่ “ตอนนี้เขาก็ 5 ขวบกว่าแล้ว”
ผมได้แต่เฝ้าดูรอยยิ้มที่สดใสไร้ความคลางแคลงใจใดๆ

เมื่อผมขับรถออกมาจากบ้านเธอ รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นยังไม่จางหายไปจากความคิดของผม ผมย้อนคิดถึงยุพินที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกของญาติเธอที่เป็นเด็กพิเศษ มันคงจะเหนื่อยแสนสาหัสเมื่อทำหน้าที่ผู้ปกครองเพียงคนเดียว ไร้ผู้ช่วย
เวลาผ่านไปหลายวัน แต่ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความคิดเป็นห่วงเป็นใยทั้งยุพินและเด็กคนนั้นออกไปได้ ความรู้สึกแปลกนี้รบกวนจิตใจของผมอย่างมาก แต่มันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้ผมเลยแม้แต่น้อย มีแต่ผมเองที่เฝ้าจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดนั้นอย่างจริงจัง แม้กระทั่งตอนที่นั่งกินข้าวอยู่กับภรรยาของผม
“ช่วงนี้คุณเป็นอะไรคะ เห็นเหม่อลอยบ่อยๆ” สุนีย์ภรรยาของผมถามด้วยความห่วงใย
“ช่วงนี้งานคงจะหนักไปหน่อย ผมไม่เป็นอะไรหรอก คงต้องพักผ่อนเยอะๆหน่อยน่ะช่วงนี้” ผมไม่สารถอธิบายความรู้สึกในจิตใจของผมให้เธอฟังได้ เพราะความคิดที่อยู่ในหัวของผมเองนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
“ค่ะ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะ เจ้าตัวน้อยของผมก็โตขึ้นทุกวันๆ” เธอพูดพร้อมหันไปมองเด็กทารกอายุไม่กี่เดือนที่นอนอยู่ในเปล
ผมหันไปมองลูกน้อยที่นอนหลับสบาย ทำให้ผมคิดถึงเด็กพิเศษคนนั้นทันที สายสัมพันธ์แบบนี้หรือที่ชักนำพาให้ผมกลับไปหายุพินที่บ้าน
ในคืนนั้นผมเฝ้านอนคิดถึงคำพูดของยุพินที่พูดถึงเด็ก ตอนนี้อายุ 5 ขวบกว่าแล้ว  5 ปีก็เกือบเท่ากับเวลาที่ผมจากเธอมา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้น แท้จริงแล้วคือลูกของผม

ผมนอนบนเตียงแต่นอนไม่หลับ หันไปข้างๆก็เห็นสุนีย์นอนหลับไปแล้วโดยมีเจ้าตัวเล็กนอนตรงกลางระหว่างเราสองคน ผมเฝ้าคิดว่าหากนั่นเป็นลูกของผมจริงๆผมจะรับตรงนั้นได้หรือไม่ ผมควรจะแกล้งทำเป็นไม่สนในและลืมเรื่องนี้ไปจะเป็นไปได้ไหม
แต่คงจะยากที่จะลืม เพราะสายเลือดยังไงก็ไม่สามารถทำใจให้ลืมได้ หากเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่ผมคิด แสดงว่าเธอก็แบกรับความรับผิดชอบนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันถัดมาผมลางานเพื่อไปสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญาแห่งหนึ่งเท่าที่ผมจะหาข้อมูลได้ในเช้าวันนั้น
เมื่อไปถึงผมเห็นเด็กหลายคนที่สภาพแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไป พวกเขามีหลายระดับตั้งแต่เด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนไปถึงเด็กบางคนที่ดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปมากนัก
“สวัสดีครับ ใช่คุณที่โทรมานัดไว้ไหมครับ”
“ใช่ครับ คุณคงเป็น ผอ. ของที่นี่”
“ใช่ครับ” ผอ. ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนอื่นเลยผมขอมอบเงินบริจาคก่อนครับ ผมตั้งใจจะมาทำบุญ”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะเขียนเป็นใบอนุโมทนนาบัตรให้ครับ”
“ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากหรอกครับ” ผมตอบ
“ไม่ได้ครับ ผมต้องทำตามระเบียบขององค์กร ไว้หลังจากที่ผมพาคุณไปแนะนำสถานที่เสร็จ ผมจะให้เจ้าหน้าที่นำใบอนุโมทนาบัตรมาให้”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณคมสันทางนี้ครับ”
ผอ. พูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังห้องที่มีเตียงวางเรียงราย
“เริ่มจากห้องนี้ก่อนครับ ห้องนี้เป็นเด็กที่มีความพิการทางสมองค่อนข้างรุนแรง พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยดูแลกิจวัตรประจำวันให้ตลอด 24 ชั่วโมง”
ผมเห็นเด็กหลายคนนั่งนอนยิ้มหัวเราะกัน เจ้าหน้าที่หลายคนต่างเฝ้าคอยดูแล
“เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่พ่อแม่อาจจะมีปัญหาไม่สามารถดูแลได้ หากผมไม่รับเข้ามาดูแลพวกเขาก็อาจจะเป็นปัญหากับสังคม ทั้งๆที่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
เด็กหลายคนหันมาส่งยิ้มให้ผม นั่นทำให้หัวใจผมพองโตและยิ้มตอบ
“เด็กพวกนี้บางคนอาจจะมีความพิการทางด้านร่างกาย ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือตัวเอง หากต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้ผมต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน”
“ฟื้นฟู” ผมงงกับคำคำนี้
“เชิญมาดูทางนี้ครับ”
ผอ. เดินนำทางไปฝั่งหนึ่งของอาดาร
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆนี่ก็คือการทำกายภาพบำบัดให้กับเด็กที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย ขั้นตอนนี้สำคัญมาก”
ผมเห็นเด็กหลายคนใช้เครื่องมือทางการแพทย์โดยมีผู้ช่วยตามประกบอย่างใกล้ชิด
“น่าประทับใจมากครับ ผมเห็นภาพนี้แล้วแสดงให้เห็นว่าสังคมผมไม่ทอดทิ้งคนเหล่านี้”
“ใช่ครับ ผมทำตามกำลังที่ผมจะสามารถทำได้”
“ผอ. ช่วยอธิบายของคนที่มีอาการดาวน์ซินโดรมให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ครับ คำอธิบายสั้นๆก็คือคนพวกนี้จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าคนปกติทั่วไปแค่นั้นเองครับ ทั้งทางด้านสติปัญญา อารมณ์และการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านสังคม”
“แสดงว่าหากถึงจุดๆหนึ่งแล้วพวกเขาจะเป็นเหมือนคนปกติเลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ หากเราดูแลพวกเขาดีๆ เขาก็จะพัฒนาได้เหมือนคนปกติทั่วไปเลยครับ ผมจะพาคุณไปดูห้องเรียนของเรา”
ผอ. เดินน้ำผมห้องถัดไปไม่ไกลนัก
“นี่คือห้องที่ผมจำลองเป็นบ้านและห้องนอนของเขา เราพยายามสอนกิจวัตรประจำวันให้เขาและให้เขาเรียนรู้จดจำไปใช้เมื่อถึงเวลากลับบ้าน”
“พ่อแม่เด็กจะส่งลูกของเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตที่นี่หรือครับ”
“ไม่เสมอไปหรอกครับ เด็กแทบทุกคนที่มาที่นี่คือเด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กได้ แต่ถ้าบ้านไหนที่มีคนคอยดูแลและช่วยสอนกิจกรรมเหล่านั้นให้เด็ก เด็กก็จะพัฒนาได้ดีกว่าที่นี่หลายเท่าตัวนัก เพราะเด็กเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตจริงกับครอบครัว”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“และอีกสิ่งที่สำคัญคือ หากเด็กที่มีอาการดาวน์ซินโดรมได้ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป เช่นพ่อแม่พาไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่นๆ หากมีพี่น้องช่วยดูแลด้วย พวกเขาก็แทบจะสามารถดูแลตัวเองต่อไปในอนาคตได้เลยครับ ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่นี่ ผมเคยเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์”
“จริงหรือครับ” ผมถาม
“คุณคมสันเชื่อไหมว่า พ่อแม่บางคนมารู้ตอนหลังคลอดว่าเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม พวกเขาจะช็อกไปช่วงหนึ่ง พ่อแม่บางคู่ท้อแท้และสิ้นหวังมากจนไม่อยากจะเลี้ยงดูลูกอีกต่อไป แต่เมื่อพ่อแม่ทุกคนเริ่มทำใจยอมรับสภาพได้ พวกเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ มีการพูดคุยระหว่างพ่อแม่ที่ลูกเป็นดาวน์ด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนมีการศึกษาการพัฒนาการ สุดท้ายพ่อแม่ล้วนมีความสุขที่ได้เลี้ยงเด็กเหล่านี้”

ผ่านมาหลายวันหลังจากที่ผมไปหาข้อมูลในสถานสงเคราะห์ฯและได้พูดคุยกับ ผอ. ผมกลับมานั่งคิดนอนคิดถึงยุพา เธอคงจะท้อแท้และหมดหวังเพียงใดในยามรู้ว่าลูกของเธอมีอาการดาวน์ซินโดรม กำลังใจและความเข็มแข็งเธอไปหามาจากไหนนะในเวลานั้น ผู้เป็นแม่ที่ต้องคอยดูแลลูกน้อยเพียงคนเดียวโดยปราศจากเงาของพ่อ
ช่วงเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของผม และเมื่อรวมถึงความรู้สึกที่ผมมองแววตาคู่นั้น ผมสัมผัสได้ถึงสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกติดผมไว้ด้วยกัน แววตาที่เหมือนกับจะอ้อนวอนขอร้องฉายออกมา ความรู้สึกที่อยากจะดูแลอยากจะรับผิดชอบของผมเมื่อเห็นแววตาคู่นั้น
ขั้นแรกผมต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกของผมจริงๆหรือเปล่า ถ้าหากใช่เล่า ผมคงจะช่วยดูแลและส่งเสียเด็กคนนั้นให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ผมตัดสินใจไปหาเธอทันทีที่คิดเรื่องนี้
“สวัสดียุพิน ขอเข้าไปได้ไหม”
“เข้ามาสิ” เธอต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม
ผมเดินไปหยิบของในรถ มีทั้งขนมและของเล่นสำหรับเสริมพัฒนาการที่ ผอ. แนะนำผมมา
“ผมซื้อของมาฝากเด็กน่ะ” ผมยื่นของให้เธอ และเธอรับไป “มีทั้งขนมและของเล่น”
“ขอบคุณมากคมสัน” เธอเริ่มเผยรอยยิ้มให้ผมเห็นบ้างแล้ว
ผมแกะของเล่นและนำไปยื่นให้เด็ก
“เขาชื่ออะไร”
“เขาชื่อเพชร” เธอพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ผมสองคนเล่นของเล่นชิ้นนั้นไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่ยุพินที่จะแสดงรอยยิ้มออกมา เพชรก็ยิ้มเริงร่าสนุกสนานไปด้วยเช่นกัน บางครั้งสิ่งที่เพชรแสดงออกมาผมก็มองว่าเขาก็เป็นเด็กปกติคนหนึ่ง โดยเฉพาะรอยยิ้มและความสนุกสนาน
“วันนี้ผมอยากจะพาเพชรไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ผมน่าจะพาเขาออกไปวิ่งเล่นบ้างนะ”
“ที่สวนเหรอ ที่นั่นคนเยอะจะตาย” ดูเหมือนเธอจะกังวลกับอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไรหรอก เพชรควรจะได้ไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นๆบ้าง” ผมนึกถึงคำแนะนำของ ผอ.

ผมขับรถพาทั้งยุพินและเพชรออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปยังสวนที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
“ดูสิ เพชรคงดีใจที่ได้ออกมาดูนั่นดูนี่บ้าง” ผมพูดพร้อมเหลียวไปมองยังเบาะหลัง เพชรกำลังจดจ้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
“ฉันไม่ค่อยได้พาเขาออกมาข้างนอก”
เมื่อถึงสวน คนหลายคนต่างมาพักผ่อน เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ผมเดินนำทั้งคู่ไปยังสนามหญ้าที่มีเด็กวิ่งเล่น และเพชรก็วิ่งตรงไปยังกลุ่มที่มีเด็กอายุไล่เลี่ยกันกับเขาเล่นอยู่
“ดูสิ เขาคงอยากมีเพื่อน”
“ดีจังเลย ก่อนหน้านี้ฉันกลัวว่าจะมีแต่คนรังเกียจเด็กแบบเพชร”
“ไม่หรอก ตอนนี้ทัศนคติของสังคมเริ่มยอมรับกับความแตกต่างมากขึ้น สังคมพร้อมจะให้โอกาสคนเหล่านี้เสมอ”
เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่มองเห็นกลุ่มเด็กก่อนหน้านี้ต่างยินดีวิ่งเล่นกับเพชร โดยไม่มีท่าทีรังเกียจหรือแปลกแยกแต่อย่างใด โดยเฉพาะยุพินที่เธอยิ้มและภูมิใจกับสิ่งที่เห็น
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ผมถาม
ยุพินนิ่งชะงักไปช่วงหนึ่ง  เธอสลัดสายตาจากกลุ่มเด็กหันมามองหน้าผม
“ได้สิ คุณอยากถามอะไร”
“เพชรใช่ลูกของผมหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่คาใจผมออกไปแล้ว
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
เป็นคราวของผมบ้างที่จะนิ่งเงียบ ผมพยายามทบทวนความคิดในหัวอีกครั้ง
“ข้อแรกคือช่วงเวลาอายุของเด็กกับช่วงเวลาที่เราทั้งคู่เคยคบหากัน ก็มีความเป็นไปได้ที่เพชรจะเป็นลูกของผม และอีกสิ่งหนึ่ง...” ผมพยายามรวบรวมคำพูด “แววตาของเขาฟ้องว่าเขาคือลูกของผมด้วย”
เธอทำท่าตกตะลึงกับคำถาม แต่ลึกๆก็ยังเห็นว่าแฝงไว้ด้วยความโล่งใจ
“คุณแน่ใจหรือ”
“ใช่ ทุกครั้งที่ผมสบตาที่หรือสัมผัสกับเพชร เลือดอุ่นในกายของผมมันสูบฉีดเหมือนกับตอนที่ผมอุ้มลูกน้อยของผมเอง”
“ลูกน้อย ?”
“ใช่ ผมกับภรรยาเพิ่งจะมีลูกด้วยกัน ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี”
“ฉันขอถามหน่อย ถ้าหากเพชรใช่ลูกของคุณจริงๆ คุณจะรับได้เหรอกับการที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษแบบนี้”
“ผมรับได้ ผมพร้อมที่จะมาช่วยเหลือดูแลเขา” ผมตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“คุณจะเอาเวลาที่ไหนมดูแลเพชรได้ล่ะ ในเมื่อคุณต้องดูแลภรรยาและลูกน้อย”
คำถามนี้ทำให้ผมนิ่ง ผมยังหาคำตอบไม่ได้
“แต่เอาล่ะ อย่างแรกเลยฉันขอบอกว่าฉันดีใจและประทับใจมากกับความมีน้ำใจของคุณ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า ความจริงแล้วเพชรคือลูกของฉันเอง ไม่ใช่เด็กที่รับจ้างดูแลอย่างที่เคยบอกไป” เธอหยุดพูดพร้อมกลืนน้ำลาย “และคุณก็เป็นพ่อของเพชรจริงๆ”
ความรู้สึกหลังจากได้ยินคำตอบนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีใจหรือเสียใจ แต่เป็นความรู้สึกของหัวใจที่พองโต
“แต่ว่าคุณไม่ต้องมาช่วยเลี้ยงดูหรือรับผิดชอบอะไรหรอก ฉันอยู่ของฉันได้”

ผมขับรถกลับบ้านหลังจากที่ไปส่งยุพินและเพชรที่บ้าน ผมไม่ตอบคำถามและไม่รบเร้าอะไรในเรื่องที่จะขอเป็นผู้อุปการะเด็ก ในหัวของผมตอนนี้ยังคิดว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินใจอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทั้งสุนีย์และลูกของผมยังเล็กและต้องการเวลาจากผมเช่นเดียวกัน ผมจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีนะ
“งานที่บริษัทยังไม่หายยุ่งหรือคะ” สุนีย์ถามบนโต๊ะอาหาร
ผมได้แต่มองหน้าเธอพร้อมรอยยิ้มที่แสดงความอ่อนแอของจิตใจออกมา ที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีว่าสุนีย์เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีวุฒิภาวะเกินตัว บางครั้งที่ยังมีมากกว่าผมเสียอีก ผมจึงไม่ลังเลที่จะเล่าเรื่องยุพินและเพชรให้เธอฟัง รวมทั้งคำขอที่ผมจะไปมีส่วนรับผิดชอบเด็กคนนั้นอีกด้วย
หลังจากผมเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง สีหน้าของเธอไม่แสดงความตระหนกใดๆออกมา ผมทึ่งในความมีน้ำใจตรงนั้นของเธอ
“เรื่องนี้นี่เองที่ทำให้คุณดูเศร้าหมอง” เธอยังตอบผมด้วยน้ำเสียงอาทร
“คุณไม่โกรธผมหรือ”
“ฉันจะไปโกรธคุณได้อย่างไร เรื่องมันเกิดนานมาแล้ว และสิ่งที่คุณทำก็คือการแสดงความรับผิดชอบ ฉันภูมิใจที่คุณไม่ทอดทิ้งเลือดเนื้อของคุณ”
“ถ้าผมจะแบ่งเวลาไปดูแลเด็กคนนั้นคุณจะว่าอะไรไหม” ผมคาดหวังให้เธอยอมรับ
“ได้สิคะ คุณจัดสรรเวลาให้เหมาะสมและไปดูแลเด็กตามที่คุณต้องการเถอะ ฉันสนับสนุนคุณในเรื่องนี้”
สุนีย์ยินยอมให้ผมเจียดเวลาหลังเลิกงานบางวันและวันอาทิตย์ให้ผมไปดูแลเพชรได้ ผมไปบ้านของยุพินตามวันเวลาไม่เคยขาดหรือไปสายเลยแม้แต่วันเดียว
บางวันผมเข้าไปเล่นเข้าไปกอดกับเพชรเหมือนอยากจะชดเชยเวลาที่ผ่านมา ในวันหยุดผมพาเขาออกไปเที่ยวหลายที่ พาไปพบพ่อแม่เด็กที่เด็กเป็นดาวน์ซินโดรมเหมือนกัน พาไปออกกำลังกายไปกายภาพบำบัด พาไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหาร ผมทำกิจกรรมเหล่านี้ตลอด 3 เดือนโดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

วันในหนึ่งขณะที่ผมยืนดูเพชรวิ่งเล่นกับเด็กๆในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ผมสังเกตเห็นยุพินมองผมที่มีสภาพเหนื่อยอ่อนเพราะต้องทำทั้งงานประจำ กลับไปดูแลครอบครัวและต้องมาหายุพินและเพชร วันหยุดวันอาทิตย์ยังต้องมาพาเพชรออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งวันอีกด้วย
“เหนื่อยไหมที่ทำแบบนี้” ยุพินถาม ผมค่อยๆหันไปมองหน้าเธอ
“เหนื่อยแต่มีความสุข ผมดีใจที่ได้ทำแบบนี้”
เธอหลบสายตาผมไปอีกครั้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณมากที่คุณทุ่มเทเวลามากมายให้กับเด็ก ต่อไปนี้เราคงจะไม่ต้องรบกวนเวลาคุณอีกต่อไปแล้ว นานๆทีจะมาเยี่ยมเพชรบ้างก็ได้นะ แต่ไม่ต้องมาเป็นประจำเหมือนอย่างเคย” เธอพูดไม่เต็มเสียงนัก “มีอีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกคุณ เพชรไม่ใช่ลูกของคุณ ฉันแกล้งบอกคุณไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลยสักนิด” น้ำตาใสๆเริ่มรินออกมาจากดวงตาของเธอ
ความจริงที่ได้ยินจากปากของเธอนั้นไม่ได้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกใดๆ ผมไม่สนใจหรอกว่าเพชรจะเป็นลูกของผมหรือไม่ ผมแค่หวังว่าจะได้ลบล้างความผิดที่เคยหักหาญน้ำใจของยุพินบ้าง
“มาบอกอะไรกันตอนนี้ ผมรักเพชรไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่สายเลือดของผมหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” ผมตอบสั้น
ยุพินร้องไห้ทันทีเมื่อผมพูดจบ เธอเข้ามากอดและซบหน้าลงกับอกของผมพร้อมยังร้องไห้ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด


ผมมองไปที่เพชรที่กำลังวิ่งเล่นเริงร่า ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาเป็นลูกของผมอย่างแน่นอน เพราะสายใยบางๆที่ชักนำพาให้ผมไปหายุพินวันนั้น มันคงเป็นสายใยแห่งชีวิตที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้ระหว่างพ่อกับลูก

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...