วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

100เหตุผล


“สุชล น้องแป้งเขาอยากออกเดทกับนายน่ะ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ น้องเขาแอบชอบนายมานานแล้วนะ” พี่สุภาพเอ่ยทักทายผม เมื่อผมเดินผ่านประตูร้านสะดวกซื้อเข้ามา วันนี้ผมจะมาเข้ากะต่อจากพี่สุภาพครับ แต่ผมต้องมาล่วงหน้าประมาณ 10 นาทีเพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสอบยอดเงิน

 “โธ่พี่ แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าแป้งเขาชอบผม” ผมเก็บกระเป๋าและเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คตัวเลข

“พวกผู้หญิงเขาพูดกันจนรู้กันหมดทั้งร้านแล้ว แกก็น่าจะรู้แต่แกล้งไม่รู้มากกว่า” พี่สุภาพพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาเตรียมตัวเก็บของเพื่อออกจานงานกะดึกไป

“นี่ฉันจะขอเตือนนายไว้อย่างนะ นายก็ไม่ใช่จะอายุน้อยๆแล้ว รีบหาคู่ซะ เดี๋ยวแก่ไปจะได้อยู่คนเดียว ชีวิตนี้มันเหงานัก แต่งงานมีลูกมีเมียเหมือนคนอื่นบ้าง”

“โธ่พี่ ผมยังไม่พร้อม เงินเดือนพนักงานแคชเชียร์อย่างเราจะไปพอเลี้ยงใครได้” ผมยังบ่นตัดพ้อกับพี่สุภาพ

“แล้วยังไง ดูข้าสิ เงินเดือนก็พอๆกันแต่ข้าก็ลูกสองแล้วนะโว้ย อย่าทำเป็นข้ออ้างเยอะไปหน่อยเลยน่า ยังไงก็ลองคิดดูนะ ข้าไปล่ะ” พี่สุภาพพูดเสร็จก็เดินออกจากร้านไป

สิ่งที่พี่สุภาพพูดนั้นก็ถูกนะครับ เพื่อนๆผมที่เรียนจบมาพร้อมกันก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปเกือบจะหมดแล้ว แต่ที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้เพราะผมยังคิดว่าตัวเองไม่พร้อมนี่สิ ชีวิตของผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลย เงินเก็บก็ไม่มีเพราะเงินเดือนที่ได้ก็แบ่งใช้จ่ายกับทางบ้านหมด รถยนต์สักคันก็ไม่ มีแต่มอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ  บ้านช่องห้องหับก็ไม่พร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่ๆเพิ่มเข้ามา ถ้าจะให้ไปซื้อบ้านใหม่เหรอ อันนั้นยิ่งหมดหวังเข้าไปใหญ่

ความจริงแล้วผมรู้ตัวเองดีครับว่าผมชอบน้องแป้ง เธอน่ารักและนิสัยดี เธอยังไม่มีแฟน และผมก็ยังรู้ดีอีกด้วยว่าน้องเขาก็รอผมอยู่ แต่ตัวผมก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทุกครั้งที่ความคิดเริ่มจะคล้อยไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีต่อแป้ง ผมจะคิดก่อนเสมอว่า ผมพร้อมหรือยัง หมายถึงพร้อมในเรื่องการเงินที่จะสามารถดูแลแป้งได้ แค่เมื่อคิดว่ายังไม่พร้อม ผมก็หยุดความคิดที่จะคบกับแป้งเป็นแฟนไป

เวรของพนักงานที่นี่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามตารางของผู้จัดการจะจัดให้ มีหลายครั้งที่ผมกับแป้งต้องมาจับคู่กัน ความจริงแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองชอบ แต่ด้วยเหตุผลที่ผมบอกไปว่าผมนั้นยังไม่พร้อมที่จะคบใคร ผมจึงแสดงออกเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานกับแป้งตลอดเวลา จนเธอเองก็คงคิดว่าผมไม่เคยมีใจให้ตัวเธอเองเลยสักนิด และแน่นอนว่าทั้งร้านก็คงไม่มีใครล่วงรู้ถึงความในใจนี้แน่นอน

“ว่าไงชล วันนี้ไม่ได้อยู่กะเดียวกับหวานใจล่ะสิ เสียใจด้วยนะ” เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมชื่อติ เขาเข้างานตรงเวลาและไม่ลืมที่จะพูดแซวผมเกี่ยวกับเรื่องแป้ง

“เอาอีกคนละ เรายังไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยนะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าแป้งเสียหายหมดสิแบบนี้” ผมเผยความในใจของตัวเองออกไปไม่ได้ ติยังคงหัวเราะร่าที่แกล้งแหย่ผมเล่น

“ไม่เป็นไรๆ ถ้านายไม่สนใจแป้งจริงๆงั้นเราจองละกันนะ” ติยังไม่เลิก เจ้านี่ยังจงใจจะแกล้งผม

“อ้าว แล้วแฟนนายล่ะ มีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าติมันมีแฟนอยู่แล้ว เรื่องนี้ใครๆในร้านก็รู้

“แล้วนายจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่รึ” เจ้าติพูดเสร็จมันก็หัวเราะร่า ในขณะที่ผมก็พูดอะไรไม่ออกถึงกับควันออกหู แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้


เวลาทำงานในช่วงกะดึก ช่วงเวลาประมาณตี 2 ถึงตี 3 เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ผมแอบสารภาพว่าบางครั้งผมก็มีหน้าของแป้งโผล่มาในหัวของผมเหมือนกัน ผมเข้ามาทำงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้หลายปีแล้ว เหตุผลเพราะมันใกล้บ้านมาก และเจ้าของกับแม่ของผมก็รู้จักกันดี ผมเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงก่อนที่จะเรียนจบ แต่ทำไปทำมาผมก็อยู่ทำประจำที่นี่เลย โดยทิ้งวุฒิวิศวกรไว้ไม่ยอมไปสมัครงานที่ไหน

ความจริงแล้วเพื่อนของแม่ผมเปิดโรงงานพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องจักร ซึ่งนั่นก็ตรงสายกับที่ผมเรียนพอดีเลย แม่สามารถฝากงานและเพื่อนแม่ก็จะรับเข้าทำงานทันที แต่ผมก็คิดว่าโรงงานแห่งนั้นไกลบ้านเกินไป ไกลเกินกว่าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปทำงานได้ จะขึ้นรถประจำทางก็ไม่มีเพราะบ้านผมออกมานอกตัวเมืองเยอะ มีทางเดียวคือต้องซื้อรถยนต์ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นภาระระยะยาวอีก

ผมใช้วิชาคำนวณความคุ้มทุนที่จะซื้อรถยนต์สักคัน เมื่อคำนวณจากสมการที่ผมคิดขึ้นเอง โดยใส่ตัวแปรเป็นราคารถ  โอกาสในการเดินทาง ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัยฯ ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ผลปรากฏว่ามันจะใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าที่จะคุ้มทุน ซึ่งผมมองว่ามันนานเกินไป

แม่มักจะคะยั้นคะยอผมทุกอาทิตย์ ให้ไปสมัครงานกับเฮียเพ้ง ซึ่งทุกครั้งผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จะเอาไปเถียงกับแม่ จนทุกครั้งที่เราพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้จบ แม่มักจะถอนหายใจ แล้วก็ส่ายหน้าทุกครั้งก่อนจะเดินหลบหนีหายไป


ใกล้ฟ้าสาง ถึงเวลาที่ผมต้องออกจากกะนี้ และกะต่อไปแป้งก็จะเข้ามาทำงาน หากผมอยากเจอหน้าเธอ ผมก็จะออกงานช้าหน่อยโดยทำเป็นเก็บข้าวของเคลียร์บัญชีไป และครั้งนี้ผมก็แกล้งทำเป็นออกจากกะช้ากว่าเวลาเลิกนิดหน่อย เหมือนทุกครั้งที่ผมรู้ว่ากะต่อไปจะเป็นเวรของแป้ง

“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าชลอยู่รอเห็นหน้าแป้งก่อน” สาวสวยคนที่ผมแอบชอบเธอพูดเย้าแหย่ผม เธอมักจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้ผมด้วยการหยอดคำพูดที่ฟังแล้วคันๆใส่ผม ผมทำได้แค่ยิ้มอายๆให้เธอ ในใจผมอยากจะหยอดคำหวานให้เธอบ้าง แต่เจ้าเหตุผลของผมนี่สิเป็นตัวคอยอุดปากผมไว้ไม่ให้พูดคำพูดที่ชวนเลี่ยนนั่นออกมา

“เปล่าหรอก เรากำลังจะกลับพอดีน่ะ” ผมรู้ตัวดีว่าได้พูดประโยคนั้นออกไปที่จะทำให้เธอรู้สึกผิดหวังหรืออาจจะเสียหน้า ผมก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีกว่านี้แล้ว

ผมสะพายกะเป๋าเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองใบหน้าของเธอผ่านกระจกใส แน่นอนว่าแป้งเองก็ยิ้มส่งให้ผมพร้อมโบกไม้โบกมือ ผมดีใจจนเนื้อเต้นจนเกือบจะเผลอโบกมือกลับ

“ลูกชล เฮียเพ้งเขาถามแม่มาอีกแล้วนะว่าเมื่อไหร่ลูกจะไปอยู่ที่โรงงานกับเขา” เป็นกิจวัตรไปแล้วที่แม่พูดเรื่องนี้กับผมในมื้ออาหาร

“ผมก็อยากไปอยู่นะแม่ จะว่าไปโรงงานของเฮียแกก็อยู่ใกล้บ้านเราที่สุด แต่นั่นก็ยังไกลโขอยู่นะ ถ้าเปรียบเทียบค่าเดินทางไปทำงานที่โรงงานเฮีย กับผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเรา อยู่ร้านสะดวกซื้อยังเหลือเงินมากกว่าอยู่นะ ดูสิ ผมยังมีเหลือให้แม่แต่ละเดือนเกือบ 5-6 พันเลย” ทุกครั้งที่แม่พูดเรื่องนี้ ผมก็จะใช้ประโยคเหล่านี้มาพูดบ้าง

“แต่แม่เสียดายความรู้ของลูกนะ อุตส่าห์เรียนจบมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้ทางนี้มาทำงาน ถ้าไปทำทางนู้นก็มีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอีก ส่วนเรื่องเดินทางเรอะ แม่มีเงินก้อนสะสมอยู่จำนวนหนึ่ง ลูกจะเอาไปดาวน์รถมาก่อนก็ได้นะ แม่ไม่ได้ใช้เงินหรอก”

เป็นครั้งแรกที่แม่พูดเหตุผลแบบนี้ใส่ผม เมื่อแม่พูดแบบนี้พร้อมแสดงความอาทรที่จะให้ผมนำเงินเก็บของแม่ส่วนหนึ่งไปดาวน์รถยนต์ ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมทำได้แต่เพียงตอบรับความปรารถนาดีนั้นไว้

“ครับแม่ ผมจะลองไปคิดดูครับ”

หลายวันมานี้ผมทำงานในร้านสะดวกซื้อด้วยจิตใจที่สับสนลังเลกับชีวิต บางครั้งแล้วผมก็คิดว่าผมใช้เหตุผลมากไป ไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสินใจใดๆเลย ใช่ครับ อารมณ์ความรักที่ผมมีให้กับแป้ง รวมถึงอารมณ์ที่อยากจะทำงานตรงสายที่เรียนจบมา แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลที่ผมคิดเองเป็นตัวขัดขวางไว้ไม่ให้ผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

วันนี้เป็นวันหยุดของผม ผมนัดแนะกับเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันไว้ว่าจะไปเที่ยวหามันที่บ้าน บ้านของเพื่อนก็ไกลอยู่พอสมควร ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์และไปต่อรถเพื่อเข้าไปในเมือง ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อทันให้ไปถึงบ้านเพื่อนช่วงสายๆ เพราะการเดินทางด้วยรถประจำทางนั้นค่อนข้างใช้เวลา

ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านเพื่อนในช่วงสายๆ ผมลงรถเมล์ที่ถนนใหญ่และต่อมอเตอร์ไซค์วินเข้ามาในซอยลึก ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพื่อนเขียนแผนที่อย่างละเอียดให้ผม และบ้านที่ผมเห็นนั้นช่างสวยงามและใหญ่โตจริงๆ ผมเห็นรถยนต์คันใหม่สวยหรูอีกคันจอดในที่จอดรถข้างบ้าน

“อ้าวชล มาถึงนานหรือยัง เข้ามาในบ้านก่อน เข้าไปตากแอร์เย็นๆในบ้านเร็ว ข้างนอกมันร้อนเหลือเกิน” เพื่อนของผมที่ชื่อเอโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างบ้าน พร้อมเรียกให้ผมเข้าไปข้างใน

เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวบ้านสิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ ลมเย็นสบายนี้ทำให้ความเหนื่อยจากการเดินทางก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น จะว่าไปแล้วลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศนี้ก็เหมือนกับในร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของผม แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าที่นี่คือบ้าน

“ไม่น่าเชื่อ แกเพิ่งจะเข้ามาทำงานในเมืองได้ 2-3 ปีเก็บเงินซื้อบ้านได้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” ผมยังทึ่งกับบ้านหลังใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

“เฮ้ย... เดี๋ยวนี้ใครเค้าซื้อเงินสดกัน ขอแค่มีสเตทเม้นท์ก็ทำเรื่องกู้ได้แล้ว เป็นวิศวกรในโรงงานได้เงินเดือนเยอะจะตาย”

“โรงงานที่แกอยู่นี่ไกลมั้ย”

“ใกล้ไกลไม่ใช่ปัญหา ขอแค่เรามีรถก็พอแล้ว”

ผมดีใจกับเพื่อนที่ตอนนี้มันมีชีวิตที่แทบจะสมบูรณ์แล้ว ผมเหลือบไปเห็นรูปเพื่อนถ่ายรูปกับเมียและลูกอีก 2 คน

“มี 2 หน่อแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว มี 2 คนก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่มันก็เป็นความสุขด้วย พอมาเห็นหน้าลูกๆก็หายเหนื่อยจากงานแล้ว”

“ดีจัง” ผมชื่นชมกับสิ่งที่เพื่อนมี บางครั้งก็แอบสะท้อนบางเรื่องมายังตัวผมเอง

“ว่าแค่นายทำงานที่ไหนเนี่ย ได้ทำตรงสายที่เราจบกันมามั้ย” ในที่สุดเพื่อนผมก็ถามเรื่องนี้กับผม ผมยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบกับมันยังไงดี

“ข้าเหรอ” ผมหยุดชะงักคำพูดไป “ตอนนี้ก็รอโรงงานเรียกตัวอยู่น่ะ ช่วงนี้ก็หาอะไรทำแถวบ้านไปก่อน” ผมพยายามบอกเลี่ยงๆ และเพื่อนผมก็ไม่ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ได้ข่าวเน็ทเพื่อนเรามั้ย เดือนที่แล้วบริษัทส่งมันไปอยู่สาขาที่ไต้หวันน่ะ ไปที่นั่นเป็นสวรรค์ของคนทำงานอย่างพวกเราเลยนะ”

“โห... มันก้าวหน้าถึงขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย น่าอิจฉาจริงๆ” ผมรู้ดีว่าที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ถูกนำเข้ามายังประเทศไทย ดังนั้นแล้ววิศวกรคนไหนที่ได้ไปดูงานที่ไต้หวัน นั่นหมายถึงโอกาสก้าวหน้าทางสายงาน

“ช่วงนี้ข้าไม่ได้ติดต่อใครเลยน่ะ แต่ละคนก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น เปลี่ยนที่อยู่บ้างล่ะ” ผมที่ไม่ได้ไปเที่ยวหากลุ่มเพื่อนๆนานมากแล้วพยายามหาข้ออ้าง

“เดือนแล้วพวกเราก็เพิ่งจะนัดกินเลี้ยงกันนิดหน่อยที่ร้านอาหาร เอาไว้คราวหน้าสิแกมาด้วยกัน มาหาข้าที่บ้านก็ได้”

ผมใช้เวลาตลอดบ่ายนั้นนั่งคุยกับเพื่อน พอใกล้เย็น เพื่อนอาสาที่จะขับรถเก๋งคันโก้มาส่งผมขึ้นรถประจำทางที่หน้าปากซอย ระหว่างทางก่อนออกจากซอยที่ผมนั่งบนเบาะนุ่มในรถเก๋ง ผมเริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนี้หลายๆเรื่อง การก้าวเดินต่อไปข้างหน้านั้นจำเป็นกับชีวิตหรือไม่ เหตุผลร้อยพันประการที่มักจะเอามาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วเหรอ ในเมื่อผมเองก็ยังมีความต้องการที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และยังเป็นทุกข์กับสถานะที่เรียกว่าจมปลักอยู่ตรงนี้

“โชคดีนะเพื่อน แล้วเจอกัน” เพื่อนผมล่ำลาก่อนเร่งรถออกไปจากป้ายรถเมล์ที่คนเริ่มพลุกพล่าน

ผมเห็นภาพของเพื่อนที่แต่งตัวดีขับรถยนต์ กับผมที่แต่งตัวธรรมดายืนรอรถเมล์อยู่ริมถนน ความขัดแย้งนี้มันช่างไม่น่าจะบรรจบเข้ามาหากันได้เลย หากผมและเจ้าเอไม่เคยเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน เราสองคนก็คงไม่มีทางได้มาโคจรพบกันได้


หลายวันผ่านมาหลังจากที่ผมกลับจากไปเที่ยวหาเจ้าเอที่บ้าน ผมยังคงทำงานด้วยจิตใจที่สับสนกว่าเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น ผมลังเลระหว่างคำว่าพอใจในชีวิตที่ตัวเองเป็น กับชีวิตที่เติบโตขึ้น ผมมักจะยึดติดกับคำแรกมากเกินไป บางทีแล้วอาจจะมีจุดสมดุลระหว่างคำสองคำนี้ก็ได้
หลายวันมานี้ผมบังเอิญได้เจอหน้ากับแป้งบ่อยขึ้น ใบหน้าของเธอยังปรากฏผ่านสายตาของผมหลายครั้ง และยังล่องลอยในมโนสำนึกของผมอีกหลายหน คำพูดเย้าแหย่จากเธอยังมีให้ผมอย่างสม่ำเสมอ

คืนหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน ผมนอนคิดเกี่ยวกับเรื่องไปทำงานกับเฮียเพ้ง นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะเริ่มเขาทำงานจริงๆจังๆเสียที ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะตอบรับคำขอของแม่ที่จะให้ไปทำงานกับเฮีย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก คือเรื่องของแป้ง ผมคิดว่านี่คงถึงเวลาที่จะต้องบอกความในใจของผมให้กับคนที่ผมรักได้รู้เสียที ผมได้ตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเธอ เมื่อเจอกับเธอในครั้งต่อไป



Happy Ending
“ลูกคุยกับเฮียเรื่องงานหรือยัง วันนั้นแม่คุยกับแก น้ำเสียงแกดีใจมากเลยนะที่จะได้ลูกไปช่วยงาน” น้ำเสียงของแม่ก็ดีใจไม่แพ้กับน้ำเสียงของเฮียเพ้ง วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจที่ทำให้แม่ดีใจได้ด้วย
“ผมโทรไปคุยกับเฮียแล้วครับ เริ่มงานสิ้นเดือนนี้เลย”
“ดีแล้วลูก นี่เงินก้อนนี้ลูกเอาไปดาวน์รถเลยนะ จะได้ขับไปทำงานได้ไม่ลำบาก”
“ขอบคุณครับแม่”
ผมรับเงินก้อนนั้นมาโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเมื่อผมได้เริ่มงานใหม่ บ่ายนี้ผมได้นัดแป้งไว้ว่าจะไปกินข้าวและอาจจะไปดูหนังด้วยกันสักเรื่อง หลังดูหนังจบผมกะว่าจะไปโชว์รูมรถเพื่อหาซื้อรถขนาดพอดีๆสักคัน
และแผนการต่อไปของผมคือ หากผมทำงานที่โรงงานครบหนึ่งปีแล้ว ผมจะขอแป้งแต่งงาน

Real Life Ending
“แม่เสียใจด้วยนะลูก พอดีว่าโรงงานของเฮียเพ้งกำลังเริ่มจะขาดทุน ทำ-ให้ไม่สามารถรับพนักงานใหม่เข้าไป” แม่พูดประโยคสั้นๆ แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บช้ำ ผมไม่รู้ว่าจะโทษใครดีระหว่างโชคชะตากับตัวเองที่ตัดสินใจช้าไป
เรื่องงานเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดอาการซึมเศร้า แต่นั่นมันคงไม่หนักหนาพอที่จะทำให้ผมหลั่งน้ำตาได้เท่ากับเรื่องของแป้ง
เมื่อเช้าผมไปหาเธอที่ร้านสะดวกซื้อช่วงที่เธออยู่กะ ผมเข้าไปหาพร้อมมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นแป้ง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกะนั้นบอกว่า แป้งกลับบ้านไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่พ่อของแม่เธอเลือกไว้ให้นานแล้ว ก่อนไปแป้งบอกว่าหากภายใน 3 ปีก่อนหน้านี้ถ้าเธอเจอคนที่ถูกใจและพาไปพบหน้าพ่อแม่ของเธอได้ สัญญาหมั้นจะถูกยกเลิก แต่เธอไม่เจอคนที่จะพาไปหาพ่อกับแม่ได้จึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก ก่อนออกจากร้านเธอเดินออกไปพร้อมน้ำตา
คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่บอกว่าแป้งเดินออกไปพร้อมน้ำตานั้น มันช่างเสียดแทงจิตใจของผมยิ่งกว่าถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงไปที่หัวใจ

ผมเดินออกจากร้านพร้อมน้ำตา

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชีวิตใหม่


“หลังจากที่จำเลยได้อยู่ในเรือนจำ 48 ปีในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์จลาจลเมื่อ 48 ปีที่แล้ว ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ยื่นฟ้องและยื่นอุทธรณ์มาแล้วถึงสองครั้งเมื่อศาลจะยกฟ้องจำเลย และเพราะโจทก์ไม่สามารถหาหลักฐานมัดตัวจำเลยและคดีก็ล่วงเลยมานานกว่าโทษของคดีที่จำเลยอาจจะต้องชดใช้ ศาลมีความเห็นว่าควรยกฟ้องและจะไม่รับคำร้องอุทธรณ์ใดๆจากรัฐเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก จำเลยจะได้รับการปล่อยตัวแบบไม่มีเงื่อนไข”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอ่านคำพิพากษาบนบัลลังก์ เสียงฮือฮาดังลั่นศาลทั้งพวกที่ดีใจกับคำตัดสินและฝ่ายที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน
“สำหรับคำร้องของนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของนักโทษที่เรียกร้องให้มีการชดเชยตามจำนวนวันที่จำเลยติดคุก ศาลลงความเห็นแล้วว่าจำเลยสมควรได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท เงินค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพอีกวันละ 200 บาท และค่าฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจอีก 50,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,058,000 บาท ทางฝ่ายรัฐจะต้องชดใช้เงินจำนวนนี้ให้กับจำเลยทันทีหลังจากศาลสรุปคำพิพากษานี้”
เสียงโห่ร้องดีใจดังมาจากที่นั่งฝ่ายนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน พวกเขาจับไม้จับมือกันแสดงความยินดีที่ต่อสู้ในเรื่องสิทธิ์ของคดีนี้มายาวนานกว่า 30 ปี และวันนี้ก็เป็นเหมือนชัยชนะที่อาจจะเป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ของความยุติธรรม

อาทิตย์ในวัย 78 ปี เดินมาที่ประตูเหล็กหน้าเรือนจำ เขาค่อยๆเดินออกมาเห็นท้องฟ้าจากภายนอกรั้วเป็นครั้งแรกในรอบ 48 ปี ท่าทางที่มะงุมมะงาหราของอาทิตย์สร้างความรำคาญให้กับผู้คุม จนผู้คุมต้องรีบผลักไสให้อาทิตย์รีบเดินไปให้พ้นๆรั้ว
บนท้องถนนสายยาวแสงแดดแรงกล้า รูม่านตาที่ขยายกว้างเพราะเคยชินอยู่แต่กับความมืดในห้องขังมาเกือบตลอดชีวิต แต่เมื่อมาเจอกับแสงแดดสว่างจ้าทำให้สายตาของเขาปรับตัวไม่ทัน กว่าที่สายตาจะปรับสภาพเพื่อให้รับแสงได้นั้น เป็นความทรมานแก่เจ้าของดวงตานั้นไม่น้อย อาทิตย์ก็เดินเรื่อยเปื่อยมาถึงสี่แยกกลางเมือง ที่นั่นเขาหันซ้ายแลขวาไปรอบทิศทาง เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ชายผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากคุกได้แต่หันไปมองสายตาคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา สายตาแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์หลายคู่มองมาที่เขา สภาพของอาทิตย์ที่ใส่เสื้อยืดสีขาวเก่าๆ มีรอยเปื้อน กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินกับรองเท้าแตะเก่าๆสกปรกสภาพไม่ต่างจากเสื้อผ้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อาทิตย์เกิดความสังเวชตัวเองเท่ากับความงงงันกับสิ่งที่จะดำเนินต่อไป
รถยนต์วิ่งบนถนนด้วยความเร็วเฉียดที่จะชนกับอาทิตย์ เสียงแตรจากรถคันหรูดังตามหลังมาแม้มันจะขับออกไปไกลแล้ว อาทิตย์ไม่รู้ว่าเหล็กสี่เหลี่ยมที่วิ่งผ่านเขาไปนั้นคืออะไรกันแน่ และยังมีเหล็กวิ่งได้อีกหลายคันบนท้องถนนวิ่งไปมาจนอาทิตย์ต้องวิ่งหนีไปที่กว้าง เขาเห็นตึกรามบ้านช่องปูนตั้งสูงตระหง่านฟ้าพลันสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร
หลายชั่วโมงผ่านไปแต่อาทิตย์ก็ยังคงเดิน เขาเดินโดยไร้จุดหมายผ่านสายตาหลายคู่ที่มองเขาอย่างเวทนา เมื่ออาทิตย์เดินผ่านร้านอาหาร เขาไปยืนเกาะตู้กระจกพร้อมทำท่าทางหิว
“ไป ! ออกไปไอ้ขอทาน” เจ้าของร้านตะโกนขับไล่อาทิตย์ นั่นเรียกเสียงหัวเราะจากลูกค้าที่นั่งอยู่เต็มร้าน “รีบไปก่อนที่มึงจะจมตีนตาย เฮ้ย ! ไอ้โจส่งแขกหน่อย” ชายแก่เจ้าของร้านสั่งให้เด็กเสิร์ฟออกไปไล่อาทิตย์ เด็กเสิร์ฟร่างใหญ่หุนหันเดินตรงไปหน้าร้านจนอาทิตย์ตกใจกลัวลนลานรีบเดินออกไป เสียงหัวเราะขบขันดังมาจากเหล่าลูกค้ายิ่งขึ้น เหมือนพวกเขาจะพอใจที่จะกดหัวใครสักคนหนึ่งในสังคมให้จมดิ่งลงไป
ความหิวและหมดหนทางจะเดินต่อไปทำให้อาทิตย์นั่งฟุบลงกับพื้นพร้อมร้องร่ำไห้เสียงสะอื้น หลายคนเดินถนนแต่งตัวดีภูมิฐานต่างรีบเดินหนีไปให้ไกลจากต้นเสียง ไม่มีใครสักคนที่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่ไม่น่าไว้วางใจคนนี้ แต่ทว่าชายคนหนึ่งที่กำลังลากรถเข็นเก็บขยะผ่านถนนเส้นนั้นกลับหยุดรถและเดินมาที่อาทิตย์
“เป็นอะไรเพื่อน นายมาจากที่ไหนล่ะ ท่าทางคงจะหิวนะ” ชายเก็บขยะพูดเสร็จก็หยิบห่อข้าวเหนียวพร้อมหมูปิ้งอีกสามไม้ยื่นให้อาทิตย์
อาทิตย์ยิ้มพร้อมรับห่ออาหารเหล่านั้นมากินด้วยความดีใจ เขายิ้มออกให้ชายผู้มีพระคุณ
“นายมาจากที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ชายเก็บขยะยื่นขวดน้ำพลาสติกสีขุ่นให้อาทิตย์
“ผมจำไม่ได้ แต่รู้สึกว่าจะพลัดหลงออกมาจากบ้าน” อาทิตย์พูดด้วยแววตาที่เลื่อนลอย
“ฉันชื่อบุญ นายชื่ออะไร” คนเก็บขยะถาม
“อาทิตย์”
บุญหันมามองอาทิตย์อีกครั้ง บางทีแล้วบุญอาจจะคิดว่าอาทิตย์นั้นเป็นโรคความจำเสื่อมหลงๆลืมๆ และพลัดหลงออกมาจากบ้าน
“เอาอย่างนี้พ่ออาทิตย์ ไปอยู่บ้านฉันก่อนก็ได้ ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว ถ้าเธอยังไม่มีที่ไปนะ”
อาทิตย์ไม่ตอบอะไร เขายังคงทำสีหน้าเฉื่อยชาและมึนงงไม่ตอบสนองอะไร แต่เมื่อบุญลุกขึ้นยืนและทำท่าจะจากไป อาทิตย์ก็รีบเดินตามบุญไปอย่างคนที่กลัวจะถูกทิ้ง
ภาพของคนเก็บขยะที่ลากรถเข็นไปมา เป็นภาพปกติที่คนในซอยจะเห็นกันจนชินตา แต่วันนี้มีผู้ติดตามชายเก็บขยะมาด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งสภาพของทั้งคู่ไม่ต่างกันมากนัก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็เหมือนจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกัน
“บ้านไม่กว้างนะ ออกจะคับแคบไปหน่อย พอดีฉันต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับสินค้า” บุญอธิบายสภาพบ้านที่ล้วนแต่มีกองขยะที่ถูกคัดแยกไว้เตรียมขาย กลิ่นเหม็นจากกองขยะที่หึ่งโชยไม่ได้สร้างความลำบากใจให้อาทิตย์เท่าไหร่นัก
อาทิตย์ล้มตัวลงนอนข้างๆเสาไม้ทันที นั่นทำให้บุญหัวเราะเล็กๆออกมา
“เอ้า... อยากจะนอนตรงนั้นเหรอ งั้นก็ตามสบายเลยนะ” บุญพูดเสร็จก็ถอยรถประจำตำแหน่งเข้าที่จอดรถ เจ้าของบ้านเข้าไปบ้านไปอาบน้ำนอนตามปกติ

เช้าตรู่ บุญเดินออกมาหน้าบ้าน เขาไม่เห็นอาทิตย์นอนอยู่ที่เดิมแล้ว
“ไปซะแล้ว เฮ้อ... สงสัยจะสติไม่สมประกอบหลงทางออกจากบ้านน่าสงสารจัง แต่ช่างเถอะ เราเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะไปช่วยใครได้อีกล่ะ” บุญผู้ใจดีบ่นรำพันถึงเพื่อนใหม่ที่จากไปแล้ว
ถนนถัดไปไม่ไกลนัก อาทิตย์ยังคงเดินบนถนนในเสื้อผ้าชุดเดิมที่สกปรก บวกกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงนั้นทำให้เขาเหมือนเป็นส่วนเกินจากสังคม ที่นี่ไม่มีใครต้องการคนอย่างอาทิตย์
“ไปๆ ! ไอ้คนบ้า ออกไปจากหน้าบ้านของฉันนะ” หญิงชราที่เพิ่งจะเสร็จจากการบิณฑบาตพระ ตะโกนขับไล่คนจรจัดให้ออกไปจากหน้าบ้านด้วยท่าทางที่รังเกียจเดียดฉันท์ พระสองรูปที่เสร็จกิจก็รีบเดินจากไป อาทิตย์ที่เดินผ่านมาเฉยๆตกใจกับเสียงวี้ดว้ายนั้น เขาหันหน้ามาทางต้นเสียงด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ว้าย ! ช่วยด้วยๆ” หญิงชราร้องตกใจ เธอถือขันรองน้ำจากการกวดน้ำตอนที่พระสวดให้พร สาดน้ำที่อยู่ในนั้นไปที่อาทิตย์ น้ำสาดเข้าไปเต็มใบหน้าของชายโชคร้าย อาทิตย์ตกใจรีบวิ่งหนีทันที
อาทิตย์วิ่งพ้นบ้านของหญิงชราใจร้ายมาไกลแล้ว แต่เขาคงไม่สามารถหลบพ้นสายตาของคนในสังคมหลายคู่ ที่ต่างก็ลงความเห็นว่าชายผู้นี้ก็คือขยะคนหนึ่งนั่นเอง เขาเดินต่อไปเรื่อยๆจนผ่านถังขยะขนาดใหญ่วางเรียงรายกันหลายใบ
ชายคนหนึ่งใส่กางเกงสกปรกเปลือยท่อนบนกำลังคุ้ยเขี่ยถังขยะ เขารู้สึกได้ถึงการมาของอาทิตย์จึงโงหัวขึ้นมาจากถังขยะ

“อ้าว... ถ้าจะหิวนี่... หมูแดงชิ้นโต กลิ่นยังพอใช้ได้อยู่เลยรับไปสิ” ชายคนที่เพิ่งจะโผล่หัวมาจากถังขยะยื่นชิ้นหมูแดงที่เขาค้นเจอจากถังขยะให้กับอาทิตย์ พร้อมรอยยิ้มแสดงความมีน้ำใจ
อาทิตย์รับชิ้นหมูนั้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาบรรจงค่อยๆกัดกินชิ้นเนื้อนั้นด้วยความอร่อย แม้ชิ้นหมูนี้จะอาจจะถูกเมินจากคนทั่วไปในยุคปัจจุบัน แต่กับคนอย่างอาทิตย์ที่ไม่เคยกินอาหารชั้นดีแบบนี้มาตลอด 48 ปีในคุก และก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีได้ลิ้มลองอาหารแบบนี้ กับชิ้นหมูแดงที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่บ้าง แต่นั่นก็ถือเป็นลาภปากของอาทิตย์แล้ว
“ขอบใจ” อาทิตย์พูดเรียกรอยยิ้มจากเจ้าถิ่น
“นายมาจากไหนล่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”
“ฉันเหรอ ฉันหลงทางออกมาจากบ้าน กลับบ้านไม่ถูก”
“เหรอ” ชายเจ้าถิ่นหัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นไรๆ นายไปอยู่บ้านฉันได้ มีที่นอนเยอะแยะเลย” ชายเจ้าของเสียงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“แล้วบ้านนายอยู่ไหนล่ะ”
ชายเก็บขยะชี้นิ้วไปที่ใต้สะพานลอย ที่นั่นมีผ้าขาดๆวางปูพร้อมหมอนเก่าๆอีกหนึ่งใบ อาทิตย์มองไปยังทิศทางที่ชายคนนั้นชี้นิ้ว จากนั้นทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างสบายอารมณ์ นั่นเรียกความสนใจจากคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา แต่ชายทั้งสองนั้นต่างไม่สนใจสายตาเหล่านั้นอยู่แล้ว
หลังจากท้องของอาทิตย์เริ่มตึง เขาเดินตามชายเจ้าของที่นอนใต้สะพานลอยไปยังใต้สะพายลอย แสงแดดในบ่ายนี้ไม่แรงมากนักเพราะเมฆจำนวนมากมาบดบัง ลมพัดเย็นสบายทำให้อาทิตย์ล้มตัวลงนอนกับพื้นใต้สะพานลอย
“คุณอาทิตย์ๆ” อาทิตย์ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาในยามที่เขากำลังฝัน จนทำให้เขาคิดว่ามีคนเรียกชื่อของเขาในฝัน แต่เมื่อเขาพ้นจากความฝันแล้วเสียงนั่นก็ยังคงดังต่อเนื่อง อาทิตย์ลืมตาขึ้น เขาเห็นกลุ่มชายหญิง 3 คนแต่งกายชุดภูมิฐานยืนล้อมเขาอยู่
“โธ่... นึกว่าคุณหายไปไหน เราตามหาคุณอาทิตย์ซะทั่ว” หญิงใส่แว่นคนหนึ่งพูด
“วันนั้นเขาคงจะออกมาจากเรือนจำเร็วไป และเราคงไปรับไม่ทัน ไปกันเถอะคุณอาทิตย์ ต่อไปนี้เราจะดูแลชีวิตของคุณเอง” ชายอีกคนพูด
อาทิตย์เดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นไปด้วยความงงงวย เพื่อนใหม่ของอาทิตย์ก็ยืนงงอยู่ตรงนั้นด้วย
ชายคนหนึ่งเปิดประตูรถให้อาทิตย์ อาทิตย์ยืนทำท่างงทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่พอมองเข้าไปในตัวรถเห็นเบาะนั่ง จึงยอมก้มหัวมุดเข้าในอยู่ในตัวรถ จากนั้นคนทั้ง 3 ก็มุดตามเข้าไป
“คุณอาทิตย์ครับ นี่คือเงินสดจำนวน 7 ล้าน 5 หมื่น 8 พันบาท เราจะนำเงินจำนวนนี้โอนเข้าบัญชีของคุณ แต่ทางเราทราบดีว่าคุณอยู่แต่ในคุกถึง 48 ปี จึงทำให้คุณไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกได้ เราจึงให้คนของเราคอยจัดการเรื่องการเรื่องชีวิตของคุณในช่วงแรก และตอนนี้เราเอาเงินสดจำนวนหนึ่งไปซื้อบ้านให้คนอยู่ แน่นอนครับจะมีคอยช่วยดูแลคุณด้วย” หัวหน้ากลุ่มนักเคลื่อนไหวที่คอยผลักดันเรื่องของอาทิตย์มาตลอดหลายปีนี้ นั่งชี้แจงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้อาทิตย์ฟังในห้องสำนักงาน
“ขอบใจนะ แล้วผมจะต้องไปที่ไหนต่อ” อาทิตย์ยังคงทำท่างงกับชีวิต
“ใจเย็นๆคุณอาทิตย์ เดี๋ยววันนี้เราจะเริ่มปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคุณ”
ในวันนั้น มีเจ้าหน้าที่พาอาทิตย์ไปขัดสีฉวีวัน ตัดเผ้าตัดผมและพาไปเลือกชุดสูทจากห้องเสื้อชั้นนำ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจ้าของห้องเสื้อให้อาทิตย์ดูตัวเองในกระจก
เมื่อภาพสะท้อนอาทิตย์ให้เห็นตัวเองในกระจก หัวสมองเขาถึงกับตกตะลึงและสับสนกับสิ่งที่เขาเห็น ในใจของอาทิตย์เขาสาบานว่าเขาไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน โดยผมที่ถูกจัดทรงเรียบร้อยพร้อมปาดด้วยน้ำมันเรียบแปล้ หนวดเคราที่เคยยาวรุงรังถูกโกนทิ้งจนเห็นแต่เนื้อ เสื้อผ้าชั้นดีที่มีแต่คนมีเงินเท่านั้นที่จะมีโอกาสสวมใส่ รองเท้าหนังสีดำมันวาวทรงอเมริกา อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่อาทิตย์จะคุ้นชินกับชายที่อยู่ในกระจกนี้
“คุณดูดีมากเลยครับคุณอาทิตย์ วันนี้เราลองแต่งตัวให้คุณ ต่อไปเราจะพาคุณไปส่งที่บ้านที่ถูกซื้อด้วยเงินของคุณเอง ที่นั่นจะมีคนรับใช้คอยดูแลคุณตลอดเวลา” หัวหน้าขับรถพาอาทิตย์ไปยังบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง
เมื่อถึงที่หมาย อาทิตย์จำได้แม่นยำว่าบ้านข้างๆนั้นคือบ้านของหญิงใจร้ายที่สาดน้ำใส่เขาเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อรถจอดหน้าบ้าน อาทิตย์ถึงกับขนหัวลุกที่อาจจะเจอหญิงชราใจร้ายคนนั้น แต่เขายังไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้ใครเห็น
“นี่ครับคุณอาทิตย์ นี่คือบ้านหลังใหม่ของคุณ ในนี้มีทุกอย่างเพียงพอที่คุณจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย มีคนรับใช้ตลอด 24 ชั่วโมง” หัวหน้าเดินพาอาทิตย์เข้าไปในบ้าน ในนั้นมีสาวใช้สองคนนั่งรออยู่แล้ว
“และนี่คือห้องนอนของคุณ สะดวกสบายมาก อ้อ... แล้วเรื่องเงินของคุณไม่ต้องห่วง เราจะนำเงินของคุณอาทิตย์ไปลงทุนให้ออกดอกออกผลจนคุณไม่ต้องทำงานไปเลยตลอดชีวิต” หัวหน้ากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
อาทิตย์ยืนอยู่คนเดียวในห้องนอน เขารู้สึกไม่เคยชินกับความหรูหราของสถานที่แบบนี้ อาการเก้ๆกังๆแม้ยามที่เขาอยู่คนเดียวในห้องดูขัดกับเครื่องแต่งกายหรูหราที่เขาสวมและเตียงนอนกว้างใหญ่
คืนนั้นอาทิตย์ออกมานอนกับพื้นนอกระเบียงบ้าน สายลมเย็นๆพัดผ่านทำให้เขาหายใจโล่งสบาย
เฮ้อ... เราอยู่ในห้องขังมา 48 ปี แล้วทำไมยังจะต้องไปนอนในห้องแคบๆอีก ไม่เข้าใจจริงๆคนพวกนี้อาทิตย์นึกบ่นขึ้นมาในใจ

รุ่งเช้า อาทิตย์เดินออกมายังสนามหญ้าหน้าบ้าน เขาออกมาชมท้องฟ้ายามเช้าที่มีหมู่นกกาบินไปมา แสงแดดอ่อนทำให้จิตใจของอาทิตย์เหมือนจะสงบลง แต่ทันใดนั้นอาทิตย์มองออกไปนอกรั้วก็เห็นหญิงชราคนนั้นกำลังยื่นถุงกับข้าวใส่บาตรพระ เธอรับพรจากพระเสร็จก็หันหน้ากลับเข้าบ้าน
“อ้าว... เพื่อนบ้านใหม่ สวัสดีค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่หรือคะ” หญิงชราจำไม่ได้ว่าเคยเจออาทิตย์แล้ว แต่ในครั้งนั้นกับครั้งนี้สภาพของอาทิตย์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ไม่แปลกใจที่หญิงชราจะจำไม่ได้ แต่อาทิตย์จดจำความโหดร้ายของหญิงชราได้ เขารีบวิ่งเข้าบ้านอย่ารวดเร็ว
“เฮ่ๆ จะวิ่งหนีไปไหนล่ะคะเพื่อนบ้านใหม่ ทำความรู้จักกันก่อนสิ”
อาทิตย์วิ่งหนีเข้าบ้านไปนานแล้ว
“แปลกคนจริงๆ สงสัยไปอยู่แต่ในป่ามานานไม่เคยเข้าสังคม”
เขาระแวงไม่กล้าแม้แต่จะออกไปยืนหน้าบ้าน อาทิตย์เริ่มคิดถึงสายตาหลายคู่ที่อยู่ข้างนอกนั่นในวันก่อนๆ มันเริ่มที่จะสร้างความหดหู่ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ สุดท้ายแล้วอาทิตย์ก็ยอมที่จะขังตัวเองเอาไว้ในบ้าน เขาคงเคยชินกับสถานที่ที่มีกำแพงล้อมรอบมากกว่า
ไม่นานหัวหน้านักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของนักโทษมาหาอาทิตย์ที่บ้าน
“คุณอาทิตย์ วันนี้เราจะมีงานแถลงข่าวการได้รับอิสรภาพของนักโทษที่ไม่มีความผิดและถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งเหยื่อของกระบวนการเหล่านั้นและหลุดพ้นมันมาได้ เราจะจัดงานเพื่อสัมภาษณ์คุณออกทีวี” หัวหน้าพูดเสร็จก็ขอให้อาทิตย์แต่งตัวออกไปกับเขาทันที


ในเวทีกลางแจ้งขนาดไม่ใหญ่มากนัก ป้ายผ้าแสดงตัวอักษรสื่อถึงการสัมภาษณ์นักโทษที่ถูกขังมานานเกือบครึ่งศตวรรษ เรียกความสนใจจากผู้คนให้เข้ามารับฟัง บนเวทีมีชุดโซฟาง่ายๆหนึ่งชุด มีคนสองคนนั่งอยู่แล้วในนั้น คนหนึ่งคืออาทิตย์ และอีกคนหนึ่งคือดาราพิธีกรชื่อดัง
พิธีกรยิงคำถามแรกไปให้อาทิตย์
“คุณอาทิตย์คุณรู้สึกอย่างไรที่ต้องโทษคุมขังถึง 48 ปีโดยที่ไม่มีความผิด”
“ในตอนที่ผมติดคุกใหม่ๆ ผมรู้ตัวดีเสมอว่าผมไม่ผิด ตอนนั้นผมแค้นมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเงินจ้างทนาย” อาทิตย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ตอนนี้ความแค้นของคุณยังมีอยู่มั้ยครับ”
“ผมลืมมันไปหมดแล้ว”
พิธีกรเตรียมยิงคำถามถัดไป เขาก้มลงไปอ่านสคริป
“คุณคิดว่าสภาพแวดล้อมในเรือนจำเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับโลกภายนอกเรือนจำ”
“มันเป็นเรื่องที่อาจจะอธิบายยากครับ พวกคุณอาจจะลืมไปหมดแล้วว่าสภาพสังคมเมื่อ 48 ปีที่แล้วเป็นยังไง เพราะพวกคุณอาจจะคุ้นชินกับสังคมสมัยใหม่ที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับผมนั้นจำภาพของเมื่อ 48 ปีที่แล้วของโลกภายนอกได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อผมออกมาจากเรือนจำผมกับไม่คุ้นชินกับสังคมที่เปลี่ยนไป วัตถุก็เปลี่ยนไป คนก็เปลี่ยนไป”
พิธีกรทำหน้างงกับคำตอบเล็กน้อย ไม่ต่างจากผู้คนที่เข้ามารับฟัง พวกเขาก็ทำสีหน้าประหลาดใจ พิธีกรทำได้แต่อ่านคำถามถัดไป
“เอ่อ... คุณอาทิตย์ครับ ตอนที่คุณอยู่ในเรือนจำ คุณเคยโหยหาอิสรภาพมั้ยครับ”
“แน่นอนครับ ผมเคยคิดถึงอิสรภาพเมื่ออยู่ในห้องขัง เคยคิดมานานแล้วว่าอยากออกจากห้องขังเพื่อมาทำอะไรตามที่ใจอยากจะทำ แต่พอผมออกจากคุกหลังติดอยู่ในนั้นนานถึง 48 ปี เมื่อผมออกมาทุกวันนี้ยังรู้สึกสับสน บ่อยครั้ง งงๆ ว่าอยู่ที่ไหน หรือควรอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหนต่อหรือจะทำอะไรต่อไป”
พิธีกรทำท่าทีอึกอัก เขาไม่สามารถคิดคำถามสดๆออกมาจากในหัวได้เหมือนที่เคยทำ เขารีบก้มดูคำถามถัดไปในกระดาษ
“และมาถึงคำถามข้อสุดท้ายครับคุณอาทิตย์ คุณคิดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงครับ”
อาทิตย์นิ่งเงียบ เขาใช้เวลาทบทวนความคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบ
“อายุผมก็เยอะแล้ว อีกไม่กี่ปีก็คงจะตาย ผมอยากจะไปอยู่ที่ที่สงบๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจและมีอะไรให้ทำแก้เบื่อ มีอาหารที่คุ้นเคยให้กิน” อาทิตย์หยุดเว้นจังหวะการพูด
“ที่แห่งไหนครับที่คุณอาทิตย์อยากไป”
“ผมอยากกลับอยู่ในคุกเหมือนเดิมครับ ผมไม่เข้าใจว่าจะเอาผมออกมาจากที่ที่แสนสุขสบายแบบนั้นทำไมกัน”

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...