วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

โทษประหาร




"ผมฆ่า..."

ชายวัยกลางคน ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้พิพากษา

"ผมฆ่ามาแล้ว 5 คน ถ้าไม่ฆ่าพวกนั้นก็ไปแจ้งความน่ะสิ"

เสียงฮือฮาดังลั่นศาลเมื่อจำเลยยอมรับสารภาพด้วยความกลัวสุดขีด มีแต่คณะผู้พิพากษาที่นั่งหน้าเครียด รวมถึงอนันต์ทนายฝ่ายจำเลยที่ลุกขึ้นยืนทำหน้าซีดและตกตะลึงกับคำพูดของลูกความ

"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่อยากโดนจับ ถ้าโดนจับผมต้องโดนโทษประหารแหงๆเลย"

โจทย์ทำสีหน้าเครียดแค้น

"เป็นที่แน่นอนแล้วว่า จำเลยฆ่าผู้บริสุทธิ์ถึง 5 คน"

อนันต์พูดขึ้นทันที่หลังจากลูกความของเขาพูดจบ

"แถมจำเลยยังต้องจำนนต่อหลักฐาน แต่..."

ทนายหยุดพูดและมองไปที่ลูกความ

"แต่ผมไม่ยอมรับต่อโทษประหาร เพราะมันเป็นการกระทำที่โหดร้าย ทำให้จำเลยต้อง 'ฆ่าปิดปาก' ในปัจจุบันประเทศของเราเจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว จึงไม่สมควรที่จะมีการลงโทษที่ไร้อารยะเช่นนี้"

"เหลวไหลสิ้นดี !"

โจทย์ลุกขึ้นยืนก่อนตะโกนเสียงเต็มแรง

"สิทธิ์ของจำเลยอะไรกัน โทษประหารเป็นความโหดเหี้ยมยังงั้นรึ แล้วนายคิดถึงผู้เสียหายหรือเปล่า คิดถึงผู้หญิงที่ถูกฆ่าบ้างมั้ย"

นิ้วชี้ของโจทย์ชี้ไปที่หน้าของอนันต์ เสียงจากผู้พิพากษาดังขึ้นให้เงียบเสียง แต่มันไม่ได้ผลกับคนที่สติขาดไปแล้ว

"ทนายคนนั้นเข้าข้างคนผิดเพราะอยากได้เงิน ! ไม่รู้จักอายซะเลย เจ้านั่นฆ่าตั้ง 5 คน เมื่อก่อนอีก 8 สมควรโดนโทษประหารแล้ว"

ฝ่ายโจทย์ยังส่งเสียงเอะอะโวยวายจนกระทั้งศาลเลิกไป


"ลำบากใจเนอะ เป็นทนายให้ฆาตรกรหยั่งงี้"

ผู้ช่วยทนายอนันต์ถามในขณะที่เดินออกมาข้างนอกศาลแล้ว

"เราต้องเป็นทนายให้กับผู้ร้องขอ บางครั้งก็โดนเข้าใจผิดแบบนี้แหละ"

ผู้ช่วยอีกคนออกความเห็น

"ทั้งๆที่คดีนี้หมดทางชนะไปแล้ว ทำไม่คุณอนันต์ยังรับทำอีกละครับ พวกที่สำนักงานก็ไม่เห็นด้วย

ผู้ช่วยคนแรกยังตั้งคำถาม

"ใช่แล้ว รับทำพวกคดีใส่ร้ายยังจะง่ายกว่าอีก ฉันมาช่วยนายเพื่อยกระดับตัวเอง เป็นอันเหลวอีก"

ผู้ช่วยอีกคนเสริม

"ฉันรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะ"

อนันต์อธิบาย

"หมายความว่ายังไงครับ ?"

"แค่ฉันไม่อยากให้โดนโทษประหาร"

ผู้ช่วยทั้งสองยืนอึ้งกับคำตอบของอนันต์ ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกเป็นร้านขายตุ๊กตา ทนายอนันต์เดินเข้าไปในร้านและเลือกหยิบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

"ขอตุ๊กตาหมีตัวนั้นครับ"

เสียงข่าวดังมาจากโทรทัศน์ในร้าน

'ข่าวด่วน เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่คอนโดมิเนี่ยมฮิลล์ปาร์ค'

"ตัวโตจังครับ ซื้อให้ลูกเหรอ"

"วันเกิดแกน่ะ"

อนันต์ตอบ แต่ในระหว่างนั้นมีชายหนุ่มสวนแว่นตาเดินเข้ามา

"เอ่อ คุณทนายอนันต์ใช่มั้ยครับ ผมอ่านหนังสือของคุณแล้ว ขอลายเซ็นด้วยครับ"

ชายหนุ่มหยิบหนังสือยื่นให้อนันต์ หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือต่อต้านโทษประหารที่เขียนโดยอนันต์ อนันต์เซ็นชื่อและคืนหนังสือไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

"ได้ข้อคิดมากมาย พยายามต่อไปด้วยนะครับ"

ชายหนุ่มใส่แว่นเดินจากไปแล้ว

"ได้พบกับแฟนหนังสือ ไม่เสียแรงจริงๆที่เขียนหนังสือ"

"นายมันบ้า ดังเกินไปก็ลำบากเหมือนกันนะ"

"ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ"

ทั้งสามพูดคุยหยอกล้อกัน แต่ทันใดนั้นเสียงภาพในทีวีก็ดังขึ้น

'สาเหตุความวุ่นวายที่คอนโดฮิลล์ปารค์เกิดจากแก๊ซพิษชนิดใหม่'

ทั้ง 3 เหลียวไปดูทีจอโทรทัศน์โดยพร้อมเพียงกัน

'นี่คือภาพจากที่เกิดเหตุ มีคนตายเป็นจำนวนมาก'

"เฮ้ย !?"

ผู้ช่วยของอนันต์คนหนึ่งชี้ไปที่จอโทรทัศน์ทันที

"ภรรยาของทนายอนันต์นี่นา"

อนันต์มองภาพภรรยาตัวเองที่หมดสติไปแล้ว เธอถูกหิ้วปีกจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ภาพในโทรทัศน์ทำให้อนันต์ที่ยืนกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ถึงกับเหงื่อแตก

"ต้องใช่แน่ๆ..."

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของผู้ช่วย อนันต์ออกวิ่งทันที และในที่สุดเขาก็ไปถึงยังโรงพยาบาล

เสียงโหวกเหวกจากอนันต์และผู้ช่วยดังข้างเตียงภรรยยาของอนันต์

"คุณคะ ลูกสาวเรากับคุณแม่"

ผู้ป่วยบนเตียงพยายามพูดทั้งๆที่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว นั่นทำให้อนันต์แสดงสีหน้าตกใจ

"2 คนนั่นอยู่ด้วยเรอะ"

อนันต์รีบออกไปตามหาลูกสาวทันที

"ขอโทษครับ เด็กสาวอายุ 3 ขวบ"

"เอ่อ คุณป้าอาการหนักกว่านะคะ"

พยาบาลตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถัดไปเขาเห็นแม่ของเขานอนที่โถงทางเดิน มีสายน้ำเกลือผูกระโยงระยาง

"คุณแม่ !!"

เสียงกะโกนลั่น

"ลูกผมล่ะ !?"

เด็กน้อยนอนใส่หน้ากากช่วยหายใจบนเตียง เสียงหายใจของเธอดังและถี่เร็วขึ้น

"จะตายมั้ยครับคุณหมอ"

"ยังไม่ทราบผลหรอก"

หมอที่ยืนเฝ้าอาการคนไข้ตอบ

"อย่าให้แกตายนะ"

ผู้ช่วยของอนันต์เปิดประดูห้องเข้ามาก่อนจะพูด

"ภะ... ภรรยาของนาย"

อนันต์ตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง เขาถึงกับช็อค

"อะไรกันนี่ !!??"

อนันต์เปิดผ้ามองดูใบหน้าของภรรยา ที่ตอนนี้ไม่มีแล้วซึ่งลมหายใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยแผลพุพลองอันเนื่องมาจากแก๊ซพิษ

"ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมกัน"

สายน้ำไหลรินออกมาจากเบ้าตาของผู้สูญเสีย อนันต์คิดถูงผู้หญิงทั้ง 3 ยามที่นั่งกินเข้าอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในที่สุดหยดน้ำเล็กๆก็กระทบลงบนใบหน้าของคนตาย

"ให้ตายสิโว้ย !!"


ในงานศพแม่และภรรยาของอนันต์ ทุกอย่างอยู่ในความโศกเศร้าของอนันต์และผู้ร่วมงาน

"เสียคนรักพร้อมกัน 2 คนคงทำใจยาก"

เสียงปลอบใจลอยมาจากใครบางคน



หลังจากพิธีเผาทั้ง 2 แล้ว อนันต์ได้แต่จมอยู่ข้างเตียงของลูกสาว

"ใครเป็นคนทำ"

อนันต์ได้แต่น้ำตาซึมและบ่นกับตัวเอง


ในสำนักงานทนายของอนันต์ เสียงโทรทัศน์จากข่าวดังขึ้น

'กล้องวิดีโอของคอนโดฮิลล์ปาร์คถ่ายรูปคนร้ายไว้ได้ จากการสืบสวนของตำรวจพบว่า เป็นนักศึกษาแผนกวิทย์ฯแห่งหนึ่งจากมหาลัยAAA'

คนทั้งสำนักงานต่างหันหน้าไปดูข่าว จากนั้นภาพของคนร้ายก็ปรากฏบนหน้าจอ

"คุณอนันต์ นี่มัน !!"

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ เพราะแท้จริงแล้วใบหน้าของคนร้ายคือชายหนุ่มใส่แว่น คนที่มายื่นหนังสือขอลายเซ็นในวันที่เกิดเหตุนั้น

อนันต์ถึงกลับมีภาพชายใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นลอยเข้ามาในสมอง เขายังนึกถึงคำพูดของชายคนนั้นพูดว่า

'พยายามต่อไปด้วยนะครับ'

อนันต์ยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเขาบ่นขึ้นในใจ

"อะไรกัน ??"

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น

"ของคุณอนันต์ค่ะ"

อนันต์เดินมารับสาย

"ทนายอนันต์พูดครับ"

"ช่วยด้วยครับ !!"

เสียงปลายสายดังขึ้น

"หา !?"

"ผมชัยยศคนที่ปล่อยแก๊ซฆ่าคน... คนที่เคยขอลายเซ็นคุณทนายไง"

อนันต์ตกใจอย่างสุดขีดในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน

"ถ้าโดนจับผมถูกประหารแน่ ช่วยเป็นทนายให้ผมด้วยเถอะ จะติดคุกกี่ปีก็ได้ แต่ขออย่าให้โดนประหารก็พอ ถึงโดนตลอดชีวิต แต่แค่ 10 ปีก็ได้ออกมาแล้วใช่มั้ยครับ"

อนันต์คิดถึงภาพแม่ ภรรยาและลูกของเขาที่สำลักแก๊ซในตอนนั้น มันคงจะทรมานมากเกินใครจะทนได้

"ถ้าคุณไม่รับทำผมจะฆ่าตัวตาย หน้าผมออกทีวีแล้ว ไม่ช้าตำรวจคงตามได้ ผมเชื่อว่าคุณอนันต์คงช่วยได้ กรุณาเถอะครับ"

อนันต์ได้ฟังดังนั้นทำให้เขาคิดถึงภาพลูกสาว ที่ตอนนี้เธอกำลังนอนในโรงพยาบาลโดยที่เป็นตายเท่ากัน

"เอาย่างนี้ ผมขอพบคุณก่อน ทุ่มตรงที่สวนสาธารณะใกล้สถานีรถไฟ ผมจะไปคนเดียว"

อนันต์พูดตอบไป แต่ในหัวของเขายังคงนึกถึงภาพลูกสาว

"มีอะไรเหรอคะ"

เจ้าหน้าที่สาวที่รับโทรศัพท์ถาม

"โทรมาล้อเล่นน่ะ"

อนันต์ตอบโดยพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจของเขา เขาทำหน้าเคร่งเครียดพลางหยิบหนังสือต่อต้านโทษประหารของเขาออกมาดู เขานึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดในศาลครั้งล่าสุดเมื่อครั้งที่ผ่านมา เกี่ยวกับโทษประหาร

"คุณอนันต์คะ บ่ายวันนี้มีการปราศรัยต่อต้านโทษประหาร จะไปมั้ยคะ"

เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมถาม


บนเวทีปราศัยการรณรงค์ต่อต้านโทษประหาร ผู้บรรยายบนเวทีกำลังกล่าวเปิดงาน

"มีเสียงเรียกร้องให้ประหารคนร้ายใช้แก๊ซฆ่าคน เราจึงได้จัดงานนี้ขึ้น พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์จัดการชีวิตมนุษย์ "

เสียงตบมือจากผู้ร่วมงานดัง เป็นสัญญาณว่ามีผู้ร่วมอุดมการณ์มาก

"ต่อไปขอเชิญคุณทนายอนันต์ขึ้นมากล่าวอะไรหน่อยครับ"

เจ้าของเสียงคนเดิมพูด เสียงตบมือดังอีกครั้ง อนันต์ขึ้นมาบนเวที ในหัวของเขาคิดถึงชายหนุ่มที่ฆ่าครอบครัวของเขา อนันต์ยังไม่ลืมคำพูดเหล่านั้น

'อย่าให้ผมต้องถูกประหารชีวิตเลยครับ กรุณาด้วยเถอะ'

"เอ่อ ถ้าเราไม่ลงโทษคนร้าย ก็จะเป็นการผิดต่อผู้เสียหาย แต่ ! เราก็ไม่ควรเอาชีวิตของคนร้ายเช่นเดียวกัน เพราะเราไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นมนุษย์ทีมีเหตุผล"

เสียงตบมือดังอีกครับเป็นการแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดเมื่อสักครู่นี้ อนันต์พูด แต่ในหัวก็ยังวนเวียนอยู่กับครอบครัวที่เขาสูญเสียไป

"ตามที่คุณอนันต์พูด เราไม่ควรเอาชีวิต แต่ควรให้โอกาสเค้าได้เริ่มต้นใหม่ครับ"

ผู้บรรยายเน้นเจตนารมย์ของการปราศรัย ก่อนที่เขาจะพูดปิดท้าย

"เพื่อสิทธิมนุษยชน"


ในโรงพยาบาล ลูกสาวของอนันต์นอนไม่ได้สติบนเตียง เสียงหายใจของเธอไม่สู้ดีนัก อนันต์นั่งข้างเตียงกุมมือลูกสาวของเขาไว้

สักพักผู้ช่วยของเขาเดินเข้ามาในห้อง

"อาการเป็นอย่างไรบ้าง ? นี่ยังไม่ได้สติเลยเหรอ น่าสงสารจัง เป็นเพราะคนร้ายนั่นแหละ"

อนันต์ไม่พูดอะไร

"ได้ยินมาว่าคนที่ขอลายเซ็นนั่นเป็นคนร้ายใช้มั้ย โลกแคบจริงๆ แล้วจะยังต่อต้านโทษประหารอีกหรือเปล่า"

อนันต์คิดถึงคนร้ายที่ร้องขอชีวิต และคำพูดของเขาที่พูดบนเวที เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาที่เขานัดไว้กับชัยยศที่สวนสาธารณะ อนันต์รีบเดินทางไปทันที แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงสถานที่ ก็เห็นคนมุงมากมายและรถตำรวจหลายคัน ชัยยศโดนตำรวจจับได้แล้ว แต่ไม่นานโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เรื่องอาการป่วยของลูกสาวที่โรงพยาบาล

เมื่อมาถึง คนป่วยมีอาการเสียเลือดมาก อนันต์ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเลือดทะลักออกจากปากของลูกสาว

"เลือดยังไม่มาอีกเรอะ ดูดเลือดออกมาอย่าให้ลงคอ"

หมอตะโกนเรียก อนันต์ถึงกับก้มลงไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยลูกสาวของเขา และเหมือนกับคำร้องขอของเขาได้รับการตอบรับ ระดับชีพจรของคนป่วยอยู่ในระดับที่หน้าพอใจ

"ปลอดภัยแล้ว อดทนได้ดีมาก"

หมอพูด อนันต์ถึงกับน้ำตาไหล


ที่สำนักงานทนายความของอนันต์ พ่อแม่ของชัยยศเดินทางมาเพื่อขอพบเขา ฝ่ายพ่อวางหนังสือต่อต้านโทษประหารที่เขียนโดยอนันต์วางบนโต๊ะ

"ลูกของผมให้อ่าน เขาเชื่อมั่นคุณมากนะครับ ได้โปรดเป็นทนายให้ลูกผมด้วยครับ"

ทั้งคู่แทบจะก้มหัวหมอบกราบลงบนโต๊ะ

"ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกโดนโทษประหาร "

"กรุณาด้วยเถอะค่ะ"

ฝ่ายภรรยาเสริม

"เรามีลูกคนเดียว ถ้าเค้าตายล่ะก็ กรุณาเถอะ"

"ขอโทษครับ ผมขอคุยกับเจ้าตัวก่อนละกัน"

อนันต์เข้าไปเยี่ยมชัยยศที่ห้องขังทันที


"คุณทนายมาจริงๆด้วย ผมมั่นใจว่าคุณอนันต์ต้องรับเป็นทนายให้ผมแน่ๆ"

สีหน้าของชัยยศดูมีความหวัง

"ยังไม่ตกลง"

"อะไรกัน"

"มีเรื่องอยากถามนายก่อน คุณใช้แก๊ซฆ่าคนจริงรึเปล่า"

"ถ้าจริงคุณจะเป็นทนายให้มั้ย"

"ถามว่าจริงหรือเปล่า !?"

อนันต์ทำเสียงแข็ง

"จริงครับ คุณทนายช่วยผมด้วยเถอะ ผมยังไม่อยากตาย"

ขัยยศสีหน้าตื่นกลัวสุดขีด

"จุดประสงค์ล่ะ ?"

"เพื่อทดลองครับ"

"ทดลอง ?"

"ผมกำลังทดลองอยู่ บังเอิญได้แก๊ซนั่นมา ผมทดลองกับหนู ปรากฏว่ามันตายหมดภายในไม่ถึงวินาที ผมอยากรู้ว่าแก๊ซแค่นั้นมีฤทธิ์แค่ไหน"

"เหตุผลแค่นั้น ถึงกับฆ่าคนบริสุทธิ์มากมาย !?"

อนันต์ตกตะลึง

"ทำไมคนตายถึงผิดล่ะ ที่ทำหนูตายยังไม่เป็นไรเลย ผมทำเพื่อการทดลองนะครับ ไม่ไร้เหตุผลเกินไปเหรอ"

"นี่พูดจริงหรือนี่ !!"

"นี่คุณทนาย ถึงผมจะมีความผืด แต่ในอนาคตผมอาจจะเป็นอัจฉริยะที่ช่วยโลกก็ได้นะ ถ้าผมตาย อาจเป็นการสูญเสียของมนุษยชาติก็ได้นะครับ มันก็คล้ายๆกับที่คุณทนายเขียนไว้ในหนังสือไง"

"นาย... เคยคิดถึงคนตายบ้างหรือเปล่า"

"ถ้าการทดลองมั่วแต่คิดเรื่องหนู จะทดลองได้อย่างไรล่ะครับ"

ชัยยศพูดด้วยความมั่นใจในความคิดของเขา  อนันต์ตกตะลึงยิ่งกว่ากับความคิดนี้

"ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รับทำ"

"ดะ... เดี๋ยวสิครับ สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดในหนังสือเป็นเรื่องโกหกรึไง ? การรณรงค์ต่อต้านโทษประหารเป็นการเสแสร้งอย่างนั้นเหรอ !?"

อนันต์เดินกลับหลังออกจากห้องทันที แต่มีเสียงของชัยยศตามท้ายมาก่อนที่อนันต์จะเดินพ้นออกจากห้องไป

"คุณเคารพในสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เหรอครับ เป็นทนายที่ต่อต้านโทษประหารไง"

อนันต์เดินจากไป


"หรือว่านายจะรับทำงั้นเรอะ นั่นมันคนที่ฆ่าเมียนายเลยนะ"

ผู้ช่วยของอนันต์ถามเขา จากนั้นอนันต์ไปเยี่ยมลูกสาวที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงปรากฏว่าลูกสาวของเขาตายแล้ว อนันต์ร้องไห้ด้วยความโกรธแค้นสุดขีด ในหัวของเขาวนเวียนถึงชัยยศ คนทีฆ่าครอบครัวของเขาไป ยังนึกไปถึงโจทย์ในคดีก่อนหน้านี้ที่เขาเคยช่วยเหลือฆาตกรให้พ้นโทษคดีประหาร และยังคงคิดถึงอุดมการณ์ของหนักแน่นของเขา แต่ทว่าอนันต์กลับตัดสินใจว่าความให้กลับชัยยศ


ข่าวนี้รู้ถึงชัยยศ เขาดีใจอย่างสุดขีดเมื่อมีความหวังขึ้นมาบ้าง

"เอาแน่รึ คิดอะไรของนายน่ะ"

ผู่ช่วยถาม

"แม่เมียของฉันโดนหมอนั่นมันฆ่าจริงๆ แต่อุดมคติของฉันก็ยังไม่เปลี่ยน ฉันจะเป็นทนายให้หมอนั่นจนหมดความสามารถ"

"ปวดหมองจริงๆโว้ย ไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจคนที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างนาย"


ที่ห้องเยี่ยมนักโทษ

"ผมจะบอกว่าคุณยังไม่รับสารภาพ"

"ครับ"

"และผมก็จะทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าคุณไม่ได้ทำ"

"แนะนำอย่างนี้ดีหรือครับ ??"

"ไม่ดีหรอก แต่ทนายคือพวกของผู้ขอร้อง ไม่ใช่ความยุติธรรม ต้องช่วยปกปิดและแสดงความดีของผู้ขอร้องออกมา"

"แต่เค้ามีหลักฐานนะครับ"

"ช่างประไร ศาลมีหน้าที่ปกป้องคนที่ถูกใส่ร้าย ไม่ใช่เปิดเผยความจริงหรือความถูกต้อง หลักฐานที่ได้มา ถ้าเราแก้ต่างได้ก็ไร้ความหมาย น้ำหนักของหลักฐานแม้มันจะมากขนาดไหน ถ้าทำให้มันเบาลงได้ก็ไม่น่าห่วงอะไร"

อนันต์อธิบายให้ชัยยศเข้าใจ

"เข้าใจรึเปล่า"

"?"

"ถึงจะถูกสงสัยแต่ไม่จำเป็นต้องยอมรับ เพียงแต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเป็นพอ"

สีหน้าของชัยยศแสดงออกถึงความหวัง

"ตราบใดที่ทางโจทย์ชี้ชัดไม่ได้ จำเลยก็จะไม่ผิด ผมจะใช้จุดนี้ปกป้องคุณจากโทษประหาร คุณจะใช้แก๊ซฆ่าคนหรือเปล่าผมไม่สน สิ่งที่จะต่อสู้กันในศาลก็คือทางโจทย์มีหลักฐานยืนยันหรือเปล่าเท่านั้น"

"คุณทนายอนันต์"

ชัยยศยิ้มเริงร่าพร้อมเรียกชื่อฝ่ายตรงข้าม ด้วยท่าทีที่มีความหวัง


อนันต์ถูกนักข่าวรุมล้อม หลังจากรู้กว่าเขารับว่าความให้ชัยยศ

"คุณรับเป็นทนายให้ชัยยศจริงๆหรือคะ หมอนั่นเป็นคนฆ่าทั้งครอบครัวคุณไม่ใช่เรอะ แล้วทำไมถึงไปรับทำล่ะ คุณไม่แค้นฆาตกรบ้างหรือ"

"ตอนนี้ผู้ร้องขอยังไม่ถูกชี้ชัดว่าทำความผิดจริงๆครับ แต่ถึงทำผิดจริงผมจะคัดค้านโทษประหาร ผมจะต่อสู้เพื่อให้เค้าพ้นโทษตาย"


ที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาคุยกับชัยยศ

"อะไรนะ !?"

"แม่ เมียและลูกของเขาตายเพราะแก๊ซพิษของคุณหมด พอขึ้นศาลจะเป็นยังไงบ้างรู้มั้ย เค้าจะเป็นพวกคุณเรอะ"

เมื่อชัยยศได้รู้ความจริงในข้อนี้ เขาก็เริ่มเกิดความวิตก อีกด้านหนึ่ง อนันต์ยังคงนอนฝันร้ายทุกคืนถึงเรื่องการสูญเสียครอบครัวของเขา และเช้าวันต่อมาอนันต์เขาไปเยี่ยมชัยยศที่โรงพัก

"จริงหรือครับ ?"

"ใช่ คุณฆ่าครอบครัวผมตายหมดทั้ง 3 คน"

"แล้วคุณทนายไม่แค้นผมหรือครับ"

"แค้นสิ แต่... ผมต่อต้านโทษประหาร แม้ครอบครัวผมจะตายหมด แต่ผมก็จะไม่เปลี่ยนอุดมคติหรือความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อใจก็เปลี่ยนทนายความใหม่ก็ได้"

"ผมเชื่อ! ผมเชื่อครับ"

ชัยยศร้องตะโกนลั่นในขณะที่อนันต์เดินจากไป


และแล้วก็มาถึงวันที่ชัยยศนั้นต้องขึ้นศาลเพื่อไตร่สวนความผิดจากคณะผู้พืพากษา

"ถึงจำเลยจะปฏิเสธ แต่เรามีรูปถ่ายจากคอนโด ยังไงจำเลยก็ดิ้นไม่หลุดแน่"

ทนายฝ่ายโจทย์พูด

"จริงอยู่ กล้องที่ถ่ายในที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปถุงที่มีแก๊ซพิษไว้ในห้องน้ำกับตัวจำเลยที่ถือถุง แต่นั่นเป็นถุงธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่รึ ไม่มีอะไรยืนยันเป็นพิเศษว่าถุงนั่นใส่แก๊ซพิษไว้ อย่างที่ตำรวจบอก จำเลยอยู่ในคอนโดขณะเกิดเหตุ เนื่องจากไปตรวจค้นที่ห้องทดลองที่มหาวิทยาลัยแล้ว  แถมยังมีความรู้ในการทำแก๊ซพิษอีก ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้ผลิตแก๊ซชนิดหนึ่งขึ้นมา แต่สถานะการณ์มันไม่บ่งชี้เกินไปหน่อยหรือครับว่าจำเลยเป็นคนร้าย เรายังตัดสินไม่ได้หรอกว่าจำเลยเป็นคนผลิตแก๊ซแล้วนำไปปล่อยที่คอนโด"

สิ้นสุดการไตร่สวนพิจารณาคดี


ในสำนักงานทนายความของอนันต์

"ทำไมนายมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับงานของเจ้านั่นนะ ทำไมต้องพยายามเพื่อเจ้านั่นด้วย เงินก็ไม่ได้ งานอื่นก็ไม่มีทำ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายสำหรับสำนักงานล่ะ ให้พนักงานคนอื่นลาออก คิดอะไรของนายน่ะ"

"ไม่เป็นไร ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง"

อนันต์โต้ตอบเพื่อนร่วมงาน

"ทำไมต้องช่วยฆาตกรฆ่าครอบครัวตัวเองแบบนี้ด้วย ไม่แค้นหรือไง"

"นี่เป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบมาให้"

"นายจะบ้าหรือไง"

"ฉันไม่มีครอบครัวอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานสร้างอนาคต"

"ทั้งหมดเป็นเพราะมันนั่นแหละ"

"ถึงไม่มีเงินเหลือ ก็อาจเหลือชื่อ"

อนันต์พูดพร้อมรอยยิ้ม

"แต่ฉันทำใจไม่ได้ว่ะ"

เพื่อนร่วมงานเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจในตัวของอนันต์ แต่เขายังไม่ทันจะเดินออกไปอนันต์ส่งเสียงตาม

"พรุ่งนี้ตัดสินแล้วนะ"

"ถึงไม่โดนประหาร ตำรวจก็จะอุธรณ์คดีนี้ยาวแน่ นายจะเป็นทนายให้หมอนั่นจนถึงที่สุดหรือเปล่า"

"อืม..."

อนันต์ตอบรับ ทำให้เพื่อนของเขายิ่งไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

"ไม่อยากเชื่อเลย"


ในที่สุดวันที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาก็มาถึง

"ขอตัดสินว่า จำเลยชัยยศไม่มีความผิด แม้หลักฐานที่ปรากฏในที่เกิดเหตุจะมีมากมาย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะผูกมัด เราจึงยกประโยชน์ให้จำเลย ถือว่าจำเลยไม่มีความผิดในคดีนี้"

เสียงฮือฮาจากผู้เข้าร่วมรับฟังดังลั่นศาล


ในวัดที่ใช้สำหรับฝังร่างครอบครัวของอนันต์

"พอใจแล้วเรอะ ?"

เพื่อนร่วมงานของอนันต์ถาม

"พอใจอย่างมากเลยล่ะ"

"ฉันไม่เข้าใจสักนิด"

อนันต์ยังคงไหว้หลุมศพของครอบครัว


ที่สำนักงานทนายของอนันต์ ในที่สุดชัยยศก็สามารถฉลองความสำเร็จในคดีนี้กับอนันต์ได้

"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะไม่มีความผิด ขอบคุณมากๆนะครับ"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ แตผมทำเพื่ออุดมคติของผมเองต่างหากล่ะ"

อนันต์ตอบแบบยิ้มๆ

"ที่นี่คุณทนายจะดังระเบิดแล้วใช้มั้ย"

ชัยยศพูดแกมล้อ

"มาดื่มกันเถอะ ฉลองชัยชนะของเรา"

"ครับ ขอบคุณครับ"

ชัยยศยกแก้วไวน์เทใส่ปาก

"ว่าแต่ศาลนี่งี่เง่าจังนะครับ ผมฆ่าคนตั้งเยอะยังไม่มีความผิดเลย"

อนันต์อึ้งไปชั่วครู่

"ศาลก็เหมือนคนน่ะแหละ  ไม่ใช่ที่ๆจะชี้สีขาวหรือดำได้อย่างชัดเจน ถ้าแก้ต่างได้ก็ไร้ความผิด ขนาดสีเทาแทบจะดำยังไม่มีความผืดเลย แม้จะทำให้ดำเป็นขาวไม่ได้ แต่ทำให้ดำเป็นเทาได้ง่ายมาก แค่ให้ควันปกคลุมหลักฐานแค่นั้นแหละ"

"คุณทนาย แล้วผมจะได้ค่าเสียหายจากที่ถูกขังบ้างหรือเปล่า"

"แน่นอน ได้วันละ 200 เชียวนะ"

ชัยยศหัวเราะชอบใจ

"ฆ่าคนแล้วยังได้เงินอีก มันดีจริงๆเลย แล้วถ้าเกิดเค้าอุธรณ์ล่ะครับ"

"ไม่ต้องห่วง บางทีตำรวจก็ขี้เกียจเหมือนกันน่ะ"

"จริงหรือครับ"

อนันต์หยิบภาพถ่ายครอบครัวของเขาในกรอบรูป ขึ้นมาวางบนโต๊ะ

และทันใดนั้น ! ชัยยศเกิดอาการแปลกๆเสียการทรงตัววูบลงไปกับพื้น

"อ๊ะ !!"

"ในไวน์มียาบางๆน่ะ"

ชัยยศหน้าถอดสีแสดงความตกใจอย่างสุดขีด มีดพกของทหารถูกดึงออกจากปลอก ไม่รอช้าอนันต์ใช้มีดเข้าไปจี้ที่หน้าของชัยยศ

"บอกแล้วไง ฉันจะปกป้องนายจากโทษประหารก็เพื่อตัวฉันเอง"

"หมายความว่าไง !? ล้อเล่นใช่มั้ยครับ"

"ฉันจะล้างแค้นด้วยมือของฉันเอง"

"อ๊ะ !! คุณทนายต่อต้านโทษประหาร ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะฆ่าคนเพื่อล้างแค้นได้"

"คนบริสุทธิ์มากมายต้องตายเพราะนายโดยไร้ความผิด นายเคยคิดถึงความรู้สึกของครอบครัวเค้าบ้างมั้ย"

ปลายมีแหลมๆจิ้มเข้าในเนื้อที่คอของชัยยศจนเลือดซึมออกมา

"ฉันสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่านายฆ่าครอบครัวของฉัน คำพูดที่พูดแก้ต่างให้นายฉันไม่อยากพูดหรอกเว้ย !!"

อารมณ์ของอนันต์พุ่งสูงขึ้นสุดขีด มีดด้ามนั้นถูกตวัดผ่านเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของชัยยศ ผู้ได้รับฝากบาดแผลดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

"แต่ฉันอยากฆ่านายด้วยมือของฉันเอง ฉันต้องล้างแค้นคนร้ายด้วยมือของฉัน นี่แหละที่ฉันต่อต้านโทษประหาร"

ชัยยศนอนจมกองเลือด เขาหายใจแรงขึ้นๆ

"รู้สึกถึงความกลัวตายรึยังล่ะ"

น้ำตาแห่งความคับแค้นถูกระบายออกมาบนใบหน้าของอนันต์


ในงานปราศรัยการต่อต้านโทษประหารที่ถูกจัดขึ้นในเวลานั้น ผู้บรรยายกล่าวเปิดงาน

"โทษประหารเป็นสิ่งโหดเหี้ยม ดูอย่างคุณทนายอนันต์ยังต่อต้าน ถึงขนาดยอมเป็นทนายให้กับผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าครอบครัวตัวเอง"

ผู้คนจำนวนมากที่เข้ามารับฟังคำปราศัยต่างตั้งใจฟัง

"เราจึงควรเผยแพร่แนวความคิดนี้ต่อไป"


วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ลักไก่



บนโต๊ะม้าหินอ่อนที่ปูด้วยผ้าสักหลาดสีเขียว ชาย 2 คนกำลังคลี่ไพ่ในฝ่ามือและเพ่งพินิจตัวเลขและตัวอักษรประจำไพ่แต่ละใบ รวมไปถึงสีดอกในนั้นด้วย ฝ่ายตรงข้ามท่าทางสีหน้าเคร่งเครียด ต่างจากอนุชิตที่ทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่กังวลใจใดๆ
ชายหน้าเครียดผลักกองปึกธนบัตรมูลค่ากว่าล้านบาทเกทับลงไปในกลางวง เขายอมเทหมดหน้าตักเพื่อต้องการจะถอนทุนคืนก่อนหน้านี้ ที่เขาเสียพนันไพ่ให้กับอนุชิตไป
"เอาอย่างนั้นเลยเหรอคุณทรงเดช คุณทรงเดชเทหมดหน้าตักเลยแสดงว่าไพ่ของคุณคงจะดีมาก"
อนุชิตพูดด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน หลังจากเขาได้เงินจากทรงเดชไปแล้วหลายแสนบาท
"ถ้าผมไม่มั่นใจก็คงไม่ลงเงินทุกบาททุกสตางค์ของผมลงไปหรอกนะ ไพ่ตานี้จะทดแทนโชคร้ายของผมตั้งแต่เริ่มเล่นกับคุณมา ผมสาบานว่าจะไม่ยอมให้คุณหิ้วเงินออกไปจากบ้านของผมอย่างแน่นอน"
ทรงเดชพูดจบก็วางไพ่คว่ำลงกับพื้นโต๊ะ แต่อนุชิตก็ไม่สนใจคำขู่ของทรงเดช เขาผลักกองเงินจำนวนเท่าเดียวกันกับที่ทรงเดชเกทับมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่อนุชิตจะหัวเราะชอบใจเล็กน้อย
อนุชิตหงายไพ่ 5 ใบหงายลงบนพื้นโต๊ะ ทำให้ทรงเดชถึงกับหน้าซีดเผือด ทรงเดชหงายไพ่ของตัวเอง ทำให้รู้ว่าผู้ชนะของเกมพนันรอบนี้คืออนุชิต ผู้ชนะหัวเราะอย่างสะใจ ยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นให้กับผู้ปราชัย อนุชิตกำลังจะเอื้อมมือไปคว้ากองเงินตรงกลางโต๊ะ แต่ปรากฏว่า!!
ทรงเดชคว้าปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อมเล็งมาที่อนุชิต
"ผมบอกคุณแล้วไง ว่าผมไม่ยอมให้คุณหิ้วเงินของผมออกไปจากบ้านของผมอย่างแน่นอน ถ้าคุณยังไม่อยากตายก็เดินออกไปจากบ้านของผมและทิ้งเงินทั้งหมดไว้ที่โต๊ะ"
อนุชิตหยุดนิ่ง เขาได้แต่จ้องตาของทรงเดชไว้อย่างแน่นิ่ง มีเพียงแต่ทรงเดชที่ทำสายตาสั่นเครือ และบางทีก็ขบริมฝีปากเบาๆ เหมือนคนที่กำลังกังวลอะไรบางอย่าง
เวลาผ่านไปประมาณเกือบครึ่งนาที อนุชิตระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ก็ดังกว่าครั้งก่อนหน้า เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเอื้อมมือไปโกยเงินที่กลางโต๊ะ โดยที่อนุชิตยังไม่คลายจากเสียงหัวเราะของตัวเอง เขาทำเหมือนกับว่าด้ามปืนที่จ่อมาที่หัวของอนุชิตเป็นเพียงแค่ปืนเด็กเล่นเท่านั้นเอง
"นี่คุณไม่กลัวตายจริงๆหรือ ผมมีปืนนะ"
ทรงเดชพูดขู่อีกครั้ง ทำให้อนุชิตยอมที่จะวางมือจากกองเงินและหันมาจ้องตาทรงเดชอีกครั้ง
"เอาล่ะคุณทรงเดช ผมจะบอกอะไรคุณให้ คุณรู้มั้ยว่าทำไมคุณถึงเป็นผู้แพ้ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะเรื่องโชคร้ายอะไรที่คุณว่าหรอก ไพ่ของผมกับของคุณก็สลับกันดีหรือไม่ดีเท่าๆกัน เพียงแต่ว่าตาไหนที่ไพ่คุณดี คุณทรงเดชก็จะทำท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าไพ่ของคุณต้องดีแน่ๆ ผมจึงหมอบหนีก่อนถ้าไพ่ผมไม่ดี และหากว่าตาไหนไพ่ของคุณไม่ดี แต่คุณจะลักไก่ จะทำให้ผมยอมหมอบก่อนแต่ผมก็ดูออกจึงไม่ยอมหมอบ  นั่นไม่แปลกเลยที่คุณจะเสียหมดตัว"
อนุชิตพูดอย่างมั่นใจเหมือนเขาเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า ทั้งๆที่อนุชิตถือปืน
"นั่นมันเป็นเรื่องของเกม แต่ตอนนี้ผมถือปืนอยู่ในมือ คุณคงต้องเป็นฝ่ายแพ้ในเกมนี้แล้วล่ะ"
ทรงเดชพูดขู่อีกครั้ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้อนุชิตกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกันอนุชิตหัวเราะร่าอีกครั้ง และคราวนี้ก็เสียงดังและแสดงความสะใจยิ่งกว่า 2 ครั้งแรก
"ไม่เอาน่าคุณทรงเดช คุณพยายามจะลักไก่ผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ดูออกว่าคุณจะลักไก่ผม"
"คุณแน่ใจเหรอ อะไรทำให้คุณมั่นใจแบบนั้น"
ทรงเดชพูดจบก็ขยับปืนเล็งไปที่อนุชิต เหมือนจะแสดงท่าทีที่เอาจริง
"ทุกครั้งที่คุณทรงเดชจะลักไก่ผม ม่านตาคุณจะขยาย ลูกตาดำจะหดลงเล็กน้อย นั่นหมายถึงคุณกำลังกลัว บางครั้งคุณก็กัดริมฝีปากซึ่งแสดงถึงว่าคุณกำลังไม่มั่นใจ และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมเห็นแววตาและท่าทางของคุณผมก็มั่นใจแล้วว่าคุณต้องลักไก่ ในปืนกระบอกนั้นไม่มีลูกกระสุน หรือคุณก็ไม่กล้าที่จะยิงปืนใส่ผมอย่างแน่นอน"
สิ้นเสียงอนุชิตพูด เป็นทีที่ทรงกลดจะหัวเราะออกมาบ้าง
"นี่คุณกำลังล้อเล่นกับความตายเลยนะ"
"ผมเป็นนักพนัน ผมยอมรับผลลัพธ์ที่มันจะออกมา แม้มันจะทำให้ผมเป็นผู้แพ้ก็ตาม"
บรรยากาศเริ่มตรึงเครียดอีกครั้ง ทรงเดชยืนจ่อปืนมาที่หัวของอนุชิต แม้แต่อนุชิตเองก็เริ่มไม่มั่นใจที่เขาเดาเกี่ยวกับเรื่องปืนนั่น เพราะความมั่นใจบนใบหน้าของอนุชิตที่เคยมีได้หายไปแล้วจนหมดสิ้น
ทรงเดชเหนี่ยวไกปืน
'แกร๊ก!'
ปืนไม่มีลูก ทรงเดชรัวไกปืนอีก 2-3 ครั้ง อนุชิตตกใจก่อนทำท่าโล่งอก
"โอเคคุณชนะ เงินทั้งหมดบนโต๊ะนี้เป็นของคุณ ออกจากบ้านของผมไปได้แล้ว"
อนุชิตเก็บเงินทั้งหมดลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป อนุชิตโบกรถแท๊กซี่ออกไปแต่เขาไม่ทันได้สังเกตว่ามีรถมอเตอร์ไซค์แอบขี่ตามเขา และในที่สุดแท๊กซี่ก็มาส่งอนุชิตที่ขนส่งฯ เขาตั้งใจจะนั่งรถทัวร์กลับบ้านที่ต่างจังหวัด
ก่อนหน้าอนุชิตถูกชักชวนให้มาเล่นไพ่กับทรงเดช โดยคนรู้จักของอนุชิตที่เป็นคู่อริกันกับทรงเดช เป็นที่รู้กันว่าทรงเดชเป็นนักเลงที่คนยำเกรงนัก และยังติดการพนันอีกด้วย เมื่อคู่อริของทรงเดชรู้จุดอ่อนข้อนี้ จึงส่งอนุชิตมาเพื่อสั่งสอนทรงเดช
บนรถทัวร์ปรับอากาสแอร์เย็นฉ่ำ บวกกลับอากาศภายนอกที่หนาวเย็นในตอนกลางคืนท่ามกลางถนนระหว่างเมือง อนุชิตนอนกอดกระเป๋าพร้อมห่มผ้ากำลังจะม่อยหลับ แต่เขาก็ต้องสะดุ้งตื่นทันทีที่คนขับรถทัวร์เหยียบเบรคอย่างรุนแรงจนผู้โดยสารหัวแทบทิ่ม ไม่นานไฟบนรถถูกเปิดสว่างจ้าและมีคน 3 คนโพกหัวปิดบังใบหน้ามิดชิดเดินขึ้นมาบนรถพร้อมปืน หนึ่งใน 3 โจรที่ใส่แว่นตาดำตะโกนขึ้น
"ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ! นี่ไม่ใช่การปล้น เราไม่ต้องการเงินของพวกคุณ เราขอแค่เวลาของคุณแค่แป๊บเดียว ขอให้ทุกคนนั่งอยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียง ห้ามลุก ห้ามหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป ผมไม่อยากจะให้ใครตายโดยไม่จำเป็น"
เสียงพูดของโจรดุดันจนคนที่ได้ยินต่างพร้อมใจกันทำตามคำสั่งโดยเคร่งครัด อนุชิตลืมตาขึ้นเขาทำท่าเหมือนจะคุ้นๆกับเสียงๆนี้ แต่ยังไม่ทันที่อนุชิตจะนึกออกว่านั่นเป็นเสียงของใครที่เขารู้จัก ชายเจ้าของเสียงก็มายืนอยู่ตรงหน้าของอนุชิตแล้ว
"เจอกันอีกแล้วนะคุณอนุชิต คุณกล้ามากที่ไปหยามผมถึงในบ้าน คุณคงคิดว่าจะชนะคนอื่นไปตลอดได้อย่างนั้นเหรอ ดูซิว่าครั้งนี้คุณจะเอาชนะผมได้อย่างไร"
อนุชิตมั่นใจแล้วว่าเสียงนี้คือใคร แต่สถานะการณ์ครั้งนี้ต่างกับครั้งก่อนหน้า สีหน้าของเขาจึงไม่เหมือนกับครั้งที่ยืนต่อหน้าทรงเดชก่อนหน้านี้
"คุณต้องการอะไร"
เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นดังลั่น แต่ครั้งนี้เป็นเสียงของทรงเดช
"ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนคุณอนุชิต ผมแค่ต้องการเงินในกระเป๋านั่นและชีวิตของคุณเพื่อล้างอายที่คุณมาหยามผมถึงบ้าน"
"คุณจะกล้ายิงผมจริงๆเหรอ ถ้าจะยิงจริงๆทำไมไม่ยิงตั้งแต่ที่บ้านของคุณไม่ง่ายกว่าเหรอ ยิงผมตรงนี้มีพยานเยอะแยะ ยังไงคุณก็ไม่มีทางรอดหรอก"
"ครั้งนี้ก็ลองใช้ความสามารถของคุณดูสิ ดูว่าผมจะลักไก่คุณอีกหรือเปล่า แต่เสียใจด้วยนะเพราะครั้งนี้ผมใส่แว่นตาดำและปิดบังริมฝีปากไว้"
ทรงเดชหัวเราะด้วยความสะใจ
"อ้อ! มีอีกเรื่องนึงที่ผมลืมบอกคุณ ครั้งแล้วผมตั้งใจจะระเบิดสมองคุณจริงๆ แต่ผมเพียงแค่ลืมใส่กระสุนลงในปืนแค่นั้นเอง ครั้งนั้นคุณยังโชคดี แต่ครั้งนี้ผมเช็คลูกกระสุนในกระบอกเรียบร้อยแล้ว รู้มั้ยว่าผมต้องการอะไรอีกอย่าง"
"คุณต้องการอะไร"
อนุชิตถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
"ผมอยากเห็นแววตาที่หวาดกลัวจากคุณ อยากได้ยินเสียงร้องขอชีวิตดังจากปากของคุณ อยากให้คุณคุกเข่าหมอบกราบผมเพื่อให้ไว้ชีวิตของคุณ"
น้ำเสียงของทรงเดชฟังเหมือนคนที่ต้องการสำเร็จความปราถนาอะไรสักอย่าง นั่นยิ่งสร้างความสะพรึงกลัวให้กับอนุชิต
"ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเกมกันอีกสักเกมดีกว่า เกมนี้มีกติกาง่ายๆเหมือนกับเกมล่าสุดที่เราเล่นกัน แค่คุณอนุชิตส่งกระเป๋าใบนั้นมาให้ผม แล้วคุณจะไม่ถูกยิง แต่ถ้าคุณไม่ยื่นกระเป๋าใบนั้นมาก็ได้ แต่ก็เดาเอาเองละกันว่าผมจะกล้ายิงคุณหรือเปล่า"
ทรงเดชหยิบด้ามปืนขี้นมาจ่อที่หัวของอนุชิต สีหน้าแววตาของผู้ที่กำลังจะถูกปล้นฉายแววตาหวาดกลัว และเหงื่อท่วมใบหน้าแม้อากาศภายในรถจะหนาวยะเยือกเพียงใด แต่อนุชิตก็ยังกอดกระเป๋าใบนั้นไว้แน่น
ทรงเดชเปร่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจอีกครั้ง เขาเปลี่ยนเป้าหมายของปลายกระบอกปืนจากที่หัวเป็นที่ไหล่ของอนุชิต
"ไม่เป็นไรคุณอนุชิต หากคุณยืนยันที่จะไม่ยอมมอบเงินให้ผม ตอนนี้ผมอยากให้คุณร้องโหยหวนขอชีวิตจากผม ผมจะยิงเข้าที่หัวไหล่ข้างซ้ายของคุณ ผมมั่นใจว่าคุณต้องร้องออกมาดังลั่นด้วยความเจ็บปวด"
ทรงเดชพูดเสร็จก็เหนี่ยวไกปืนทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเหนี่ยวสุดไกปืน อนุชิตตะโกนออกมาด้วยความกลัวสุดขีด
"ยะ..ยะ..ยอมแล้ว นี่เงินของคุณเอาไปเลย"
ในที่สุดอนุชิตก็ยอมที่จะยื่นกระเป๋าเงินให้กับทรงเดช ทรงเดชไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋ามาไว้กับตัว
"คุณทำให้ค่ำคืนนี้ผมไม่ต้องฆ่าใคร ลาก่อนคุณอนุชิต"
ทรงเดชเดินออกมาจากอนุชิตพร้อมกระเป๋าและเตรียมจากรถทัวร์ ก่อนจากเขาหันไปมองอนุชิตที่ท่าทางยังไม่หายตกใจ
"เอาล่ะผู้โดยสารทุกท่าน ผมเสร็จธุระของผมแล้ว ชายคนนี้ขโมยของๆผมไป ผมแค่ต้องการมันคืน ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ เอ้า! ไอ้เสือถอย"
กลุ่มโจรทั้ง 3 เดินลงจากรถทัวร์ จากนั้นรถก็วิ่งไปต่อ
"เป็นยังไงบ้างลูกพี่ สำเร็จมั้ย"
ลูกสมุนโจรพูด ทรงเดชหัวเราะสะใจ
"สำเร็จสิวะ ในที่สุดข้าก็สามารถลักไก่มันได้สำเร็จ ไอ้โง่นั่นถูกปล้นเงินล้านด้วยปืนของเล่น ข้าสะใจจริงๆเลยว่ะ"
โจรทั้ง 3 หัวเราะดังลั่น ทรงเดชถอดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นรอยฟันขบบนริมฝีปาก เขาถอดแว่นตาออก เผยให้เห็นดวงตาที่แดงกร่ำ
"พวกเราก็แค่นักเลงหัวไม้ มากสุดก็แค่กระทืบคน ยิงใครเป็นที่ไหนกันล่ะ เอ้าพวกเรา! คืนนี้ต้องฉลอง"

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ถอดหัวโขน




เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดใหญ่ ได้ตัดสินใจลาสึกออกจากเพศบรรพชิต  ท่านยังไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนเพียงคนเดียวที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับว่าที่อดีตเจ้าอาวาสก็คือ รองเจ้าอาวาส

"โดยส่วนตัวแล้วผมก็เคารพการตัดสินใจของท่านเจ้าอาวาสนะครับ ทุกๆคนย่อมมีความจำเป็นที่ต่างกัน แต่การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงนัก มันไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับตัวท่านเพียงคนเดียว มันต้องกระทบกับความรู้สึกของเหล่าลูกศิษย์ของท่านอีกนับพัน"

ท่านเจ้าอาวาสพูดตอบด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น

"ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงท่านรองฯ สำหรับตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และสำหรับบรรดาลูกศิษย์นั้นพวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไป ผมคงไม่สามารถไปดูแลความทุกข์ของคนเหล่านั้นไปได้ตลอดชีวิตหรอก อีกสาเหตุที่ผมอยากสึกเพราะว่า ผมอยากไปศึกษาทางโลกบ้าง ผมและท่านต่างก็ศึกษาทางธรรมมาตั้งแต่เด็กยันแก่ เราอาจจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างดี แต่พวกเราไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในสถานะที่เป็นทุกข์เลย แล้วนั่นยังจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใจความทุกข์ได้อย่างไรกัน"

"สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมีเหตุผลนัก แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ไปทำไมล่ะ เราก็แค่ใช้สิ่งที่มีเขียนในตำราในการสั่งสอนลูกศิษย์ให้พ้นจากความทุกข์อยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องค้นหาวิธีสอนอะไรใหม่ๆให้ยุ่งยากเลย และที่สำคัญ หากท่านพ้นจากตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ยากที่จะมีใครมาสนใจคำสั่งสอนของท่านอีก"

"มันก็จริงเหมือนอย่างที่ท่านรองฯพูดนะ หากเราคิดจะสั่งสอนลูกศิษย์เราก็เพียงแต่ใช้คำสอนเก่าๆที่สั่งสมกันมานับร้อยๆปีมาสอน ใช้พิธีกรรมต่างๆที่เคยมีมาๆเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคนเหล่านั้นให้เป็นคนดีได้ แต่ว่าสิ่งที่ผมต้องการต่อจากนี้ไม่ใช่การสั่งสอนคนเหล่านั้นแล้ว"

ท่านเจ้าอาวาสหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ทำให้ท่านรองฯชิงถาม

"มีสิ่งใดที่ท่านต้องการต่อจากนี้"

"อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าผมอยากออกไปศึกษาทางโลกบ้าง อยากจะทำความเข้าใจในเรื่องความทุกข์ให้มากกว่านี้ ผมมีความเชื่อว่าคนทุกคนย่อมมีความทุกข์ฝังซ่อนลึกในจิตใจ พวกเราคงจะแสร้งทำเป็นซ่อนมันไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมัน มันก็คงจะกัดกร่อนแทะกินจิตใจเราให้เศร้าหมองลงไปอยู่วันยังค่ำ"

"ผมเข้าใจแล้ว เราทุกคนย่อมต้องคอยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ท่านทำให้ผมรู้ว่าเรานั้นมีความรู้เท่าหางอึ่งจริงๆ อย่าประมาทที่จะหยุดหาสิ่งใหม่เพิ่มเติม แล้วท่านจะลาสึกเมื่อไหร่ล่ะ"

เจ้าอาวาสละสายตาจากท่านรอง เขาทอดสายตาผ่านบานกระจกใหญ่ที่ล้อมรอบศาลาที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ภายนอกบริเวณลานวัดกว้าง คนหลายคนกำลังติดตั้งเวทีการแสดง บางคนกางเต๊นท์ใหญ่จัดแจงทำเป็นร้านค้า ป้ายผ้าขนาดใหญ่แขวนโชว์เด่นหรา ข้อความบนป้ายนั้นแสดงให้เห็นว่า อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานบุญประจำปีของวัดแห่งนี้ เจ้าอาวาสพูดตอบท่านรองฯทันทีหลังจากที่สำรวจความเรียบร้อยของงานด้วยสายตาแล้ว

"ก็คงจะเป็นหลังงานบุญปีนี้ของเราเสร็จก่อน จากนั้นผมจะลาสึกทันทีอย่างเงียบๆ"

"ดีครับ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นมากเกินไป ผมคิดว่าเหตุผลของท่านคนอื่นๆจะเข้าใจมันดี"

และแล้วงานบุญในปีนี้ก็หวนกลับมาครบรอบอีกครั้งในปีนี้ เนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้แต่คนที่อยู่จังหวัดห่างไกลก็ยังเดินทางมา ความยิ่งใหญ่ของงานไม่ต่างอะไรเลยกับงานประจำจังหวัด บางทีแล้วแม้คนในพื้นที่ก็มักจะเข้าใจว่างานวัดแห่งนี้คืองานประจำจังหวัดนี่เอง

แน่นอนว่างานที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ย่อมมีเงินไหลเข้าออกวัดจำนวนมากมหาศาลกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการถึง ไม่ว่าจะเป็นเงินทำบุญเข้าวัด เงินที่ได้มาจากการให้เช่าพื้นที่ในวัดเพื่อตั้งร้านขายของ หรือเงินที่มาจากการเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ หากงานนี้เป็นงานที่หน่วยราชการจัดขึ้น เงินจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้คงจะถูกกระจายไปหลายที่ หากแต่ว่างานแบบนี้มีเพียงวัดเป็นเจ้าภาพ เงินจำนวนมากมายเหล่านี้จึงไปกระจุกรวมตัวกันที่เดียวคือวัดแห่งนี้ และมีเพียงแต่เจ้าอาวาสเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รู้ตัวเลขจำนวนเงินเหล่านี้ และท่านก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจัดสรรก้อนเงินและหั่นแบ่งก้อนเค้กนี้ออกไปทางไหนก็ได้

ในที่สุดงานบุญประจำปีนี้ก็จบลง ตัวเลขยอดเงินที่เข้าวัดนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก และสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสได้เคยพูดเอาไว้กับท่านรองฯก็ถูกทำทันทีที่งานวัดจบลง ท่านเจ้าอาวาสเปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาทันทีที่ผ่านขั้นตอนที่ถูกกำหนดมาแล้ว ภายหลังจากนี้หัวโขนเจ้าอาวาสได้ถูกถอดวางเอาไว้ เพื่อรอให้คิวต่อไปหยิบมันไปสวมใส่ต่ออีกครั้ง

อดีตเจ้าอาวาสแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมราคาแพงและกางเกงยีนส์ยี่ห้อหรู รวมถึงรองเท้าคัชชูที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต เขากำลังขับรถยนต์ยี่ห้อหรูเพื่อเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแต่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตัวบ้านหลังใหญ่ที่สร้างและตกแต่งอย่างวิจิตบรรจงแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของบ้านแถบนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

อดีตเจ้าอาวาสได้โทรไปบอกเจ้าของบ้านที่เขากำลังจะไปหาถึงการมาถึงของเขา เมื่อประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกและอดีตเจ้าอาวาสขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ก็มีหญิงสาวพร้อมเด็กเล็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบเดินออกมาทางหน้าบ้านพอดี

อดีตเจ้าอาวาสเดินลงมาจากรถ จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวและเด็กเดินเข้ามา

"สวัสดีค่ะหลวงพ่อ เอ่อ... พี่บูน"

หญิงสาวพูดและทำท่าบังคับให้เด็กยกมือไหว้ชายที่อยู่ตรงหน้า อดีตเจ้าอาวาสมองมาที่ทั้งสอง และสังเกตถึงสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากทั้งคู่ ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งเมื่อทั้งสองเคยไปกราบอดีตเจ้าอาวาสที่วัดเมื่อหลายเดือนก่อน

"สวัสดี เจ้าเทิดอยู่มั้ย"

"พี่เทิดรออยู่ในบ้านแล้วค่ะ เห็นพี่เทิดบอกว่าวันนี้พี่ทูนจะมาวันนี้ เดี๋ยวเชิญพี่เข้าไปข้างในเลยค่ะ"

หญิงสาวพูดจบก็ยืนนิ่ง เพื่อรอให้อดีตเจ้าอาวาสเดินผ่านหน้าไป สีหน้าของเธอดูเหมือนดูเป็นกังวลถึงการมาถึงของชายคนนี้ เธอยังจ้องมองอดีตเจ้าอาวาสจนเขาเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน

"อ้าว... สวัสดีครับพี่ทูน ไม่คิดว่าจะมาเร็ว เลยไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับ"

ชายที่นั่งรออยู่ในบ้านเมื่อเห็นอดีตเจ้าอาวาสจึงทำท่าดีอกดีใจออกหน้าออกตา เขาโผลเข้าไปกอดชายที่มาเยือน

"เป็นยังบ้างน้องรัก วันนี้ไม่ออกไปทำงานเหรอ"

"โธ่... พี่ก็ว่าไป มหาเศรษฐีร้อยล้านอย่างผมนี่จะต้องออกไปหางานทำให้ลำบากทำไมกัน เอาเวลามาหาความสุขใส่ตัวดีกว่า"

สิ้นเสียงพูดของเทิด เจ้าของคำพูดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่สบอารมณ์มากนัก แต่อดีตเจ้าอาวาสก็แกล้งฝืนยิ้มให้กับเทิด

"มันก็จริงของแกนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีมั้ย"

"สบายดีสิพี่ชาย ความจริงวันนี้ผมมีนัดตีกล๊อฟกับเพื่อน แต่เห็นว่าพี่จะมาวันนี้เลยโทรไปแคนเซิ่ลเพื่อน ว่าแต่วันนี้เราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะครับ"

"เฮ้อ... เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน พี่อยากจะขอพักผ่อนให้เต็มอิ่มจริงๆสักวันให้หายเหนื่อยก่อน ใครว่าเกิดเป็นเจ้าอาวาสนั้นสบาย"

เทิดมองหน้าพี่ชายของตัวเองอย่างเป็นห่วง

"เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย พี่ถึงสึกออกมาเป็นคนธรรมดา"

"นั่นก็ใช่ พี่อยากหลีกหนีความวุ่นวายสับสนเสียบ้าง อยากออกมาเปิดหูเปิดตา อยากออกเดินทางไปหลายๆที่..."

ยังไม่ทันที่อดีตเจ้าอาวาสจบพูดจบ เทิดพูดแทรก

"อยากจะออกมาใช้เงินด้วยใช่มั้ยล่ะพี่"

อดีตเจ้าอาวาสหันมามองตาน้องชายสักครู่ เหมือนเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของเทิด

"ก็ประมาณนั้น"

"ได้สิพี่ พี่อยากได้เงินเท่าไหร่ ผมจะเตรียมไว้ให้พี่ใช้ไม่ขาดมือ"

อดีตเจ้าอาวาสยิ้มเล็กน้อย เหมือนกับเขาจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันกับน้องชาย

"เดี๋ยวนะไอ้เทิด พี่ไม่ได้อยากให้แกคอยเตรียมเงินไว้ให้ข้าใช้ แต่ข้าอยากให้แกโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ข้าฝากแกไว้คืนมาให้ข้า และที่สำคัญ บ้านหลังนี้แกก็ต้องโอนคืนมาเป็นชื่อของข้าด้วย"

"ใจเย็นๆครับพี่ชาย เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องรีบร้อนอะไรไป ยังไงซะเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เงินทองมันไม่รั่วไหลไปไหนหรอก พี่ให้ผมเป็นคนดูแลทรัพย์สินดีกว่า ส่วนตัวพี่จะอยากทำอะไร อยากใช้เงินแค่ไหนพี่ก็มาเบิกเอาที่ผมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว"

"แต่ทรัพย์สินทุกอย่างมันเป็นของข้า ข้าย่อมมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สมบัติทั้งหมด ข้าแค่ฝากแกไว้เฉยๆ นี่แกคิดจะยักยอกของๆข้าไปอย่างนั้นหรือ ไอ้ขี้โกง"

อดีตเจ้าอาวาสหมดสิ้นความอดทน เขาเริ่มรู้สึกตระหงิดๆตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาแล้วที่เจอหน้าลูกและเมียของเทิด และท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ สิ้นเสียงอดีตเจ้าอาวาส เทิดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพักใหญ่

"เงินของพี่ ขอถามหน่อยว่าเงินก้อนไหนที่เป็นของพี่"

"ก็เงินที่ข้าให้แกไปทุกเดือนไง เงินที่ข้าฝากไว้ในบัญชีของแกเดือนละหลายล้านบาท"

"นี่พี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าเงินนั่นเป็นของพี่ ผมรู้ว่าพี่โกงเงินวัดทุกเดือน แล้วเอาเงินที่โกงมาฝากผมไว้ มันน่าแปลกไหมล่ะว่าทำไมพระถึงมีเงินได้เดือนละหลายล้านบาท ถ้าไม่ได้มาจากเงินของวัด"

"แล้วยังไง แกจะแจ้งตำรวจจับข้าเหรอ เอาสิ! เราจะได้ไปนอนคุกด้วยกัน ถึงข้าจะโกงเงินวัดมาแต่นั่นก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถบอกได้ว่าข้าโกง เงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินที่ข้าใช้ชื่อเสียงและความศรัทธาที่สั่งสมมานานหามัน คนที่มอบให้ข้าก็มอบด้วยความศรัทธาที่มีต่อตัวข้า แล้วนั่นมันจะไม่ใช่เงินของข้าได้อย่างไรกัน"

อารมณ์โกรธของอดีตเจ้าอาวาสประทุขึ้นถึงจุดสูงสุด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าคนที่เคยมีถึงอำนาจ มีคนเคารพนับถือกราบไหว้ตลอดเวลา พอสิ่งเหล่านั้นหมดไปและถูกคนอื่นลูบคมแบบนี้ เขาจะรู้สึกหัวเสียเยี่ยงไรกับเรื่องแบบนี้ ในจิตใจของอดีตเจ้าอาวาสที่ลาสึกมานั้นไม่ใช่เขาอยากจะละทิ้งอำนาจที่เคยมีอยู่ในมือหรอก แต่เขาคิดว่าเมื่อเขามีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลนั้นก็จะยังทำให้เขามีอำนาจบารมีเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ต้องสวมหัวโขนเจ้าอาวาสที่จะปิดกั้นไม่ให้เขาสามารถทำได้ในบางสิ่ง อำนาจทรัพย์สินเงินทองที่ไม่อยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้นจะทำให้เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ

"ผมคงไม่สามารถคืนเงินและบ้านหลังนี้ให้พี่ได้ พี่ลองคิดดูสิ ความหอมหวานของเงินที่สามารถทำให้คนมากราบไหว้ได้ ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน พี่จำได้มั้ยในสมัยที่เรายังเด็ก เราทั้งคู่ยังเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนเวลาที่เราเดินไปไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่ดูตอนนี้สิไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็จะมีแต่คนยกมือไหว้กันทั้งนั้น ถ้าผมคืนเงินให้พี่ไปทั้งหมด ผมก็จะไร้ซึ่งอำนาจที่เคยมีมานับสิบกว่าปี"

"นี่แกลืมบุญคุญของข้าไปแล้วเหรอ ใครกันที่เป็นคนส่งแกเรียน ใครกันที่เป็นคนให้เงินแกใช้จ่าย แกนี่มันเป็นคนเนรคุณจริงๆ"

"ผมไม่ลืมคุณงามความดีที่พี่ทำไว้ให้กับผมหรอก ผมยินดีจะช่วยเหลือพี่เรื่องเงินทองตลอดชีวิต แต่ผมบอกไปแล้วนี่ว่าผมไม่สามารถคืนเงินให้พี่ได้ทั้งหมด ผมบอกเหตุผลของผมไปแล้ว"

เหมาะสมแล้วที่อดีตเจ้าอาวาสและเทิดเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจริงๆ พวกเขาทั้งสองคนนั้นมีนิสัยที่คล้ายกันต้ังแต่เด็ก ความต้องการและความปราถนาในอำนาจวาสนาและความยึดติดนั่นคล้ายกันไม่มีอะไรแตกต่าง เทิดยังคงคิดถึงอำนาจบารมีที่ตัวเองกำไว้อยู่ในมือ และไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดออกจากมือไป

"ถ้าอย่างงั้นเรามาแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ถ้าแบบนี้แกจะว่ายังไง"

"ครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมดมันก็มากโขอยู่นะ ผมจะไม่ยอมหรอกครับ"

เหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดพ่นความร้อนออกไปหมดแล้ว หลังแรงระเบิดคงเหลือไว้แต่ความสงบ วันนี้อดีตเจ้าอาวาสได้ค้นพ้นสัจจะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เนื่องจากอดีตเจ้าอาวาสเคยได้รับการฝึกในเรื่องจิตใจมามากพอสมควร เขาจึงเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้เป็นอย่างดี สีหน้าของอดีตเจ้าอาวาสนั้นเปลี่ยนไปจากอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวเมื่อสักครู่นี้เป็นความสงบ เขาตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เรียกร้องอะไรสักอย่างจากน้องชาย

_______________________

เวลาผ่านไปหลายปี อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบพระทานประจำโบสถ์ในวัดที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน ในตอนนี้เขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา เวลาผ่านไปไม่นานอดีตรองเจ้าอาวาสที่ปัจจุบันนั้นขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสก็เดินเข้ามาในโบสถ์ อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบเจ้าอาวาส

"เป็นอย่างไรบ้างล่ะโยม ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวภักดิ์เป็นอย่างไรบ้าง และการศึกษาเรื่องทางโลกของโยมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"

"นี่ก็หลายปีแล้วนะหลวงพ่อ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นภายนอกวัดที่ผมประสบมา มีหลายเรื่องที่ผมนั้นเข้าใจแต่ไม่เคยเข้าถึงมันเลย จนกระทั่งผมได้ไปเจอกับสิ่งๆนั้นจริงๆ คนเรายากแท้หยั่งถึงนักแม้แต่กับใจของตัวเราเอง"

"ดูโยมพูดสิ เหมือนกับว่าโยมจะเจอแต่เรื่องร้ายๆมามากมายนะ แต่สีหน้าโยมไม่เห็นเหมือนกับคนเป็นทุกข์เลย"

เจ้าอาวาสพูดพลางยิ้ม

"ผมยอมรับว่าอยู่ข้างนอกนั้นมันก็ไม่ได้สุขสบายนัก แต่ผมเองนั้นก็พยายามฝึกจิตใจไว้ไม่ให้ถูกกิเลศครอบงำ หลังจากที่ผมเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากที่ออกจากวัดแห่งนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมได้เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ได้ดียิ่งนัก ความยึดติดนั้นจะทำใจเราเป็นทุกข์"

"เรื่องอะไรเหรอโยม พอจะเล่าให้อาตมาฟังได้มั้ย"

"ผมไม่อยากจะพูดถึงมันอีกแล้วครับ ขอโทษด้วย"

"ไม่เป็นไรโยม อดีตมันผ่านไปแล้ว อ้อ! แล้วตอนนี้โยมทำอะไรอยู่ล่ะ"

บรรยากาศในวัดเงียบสงบ มันเงียบกว่าเมื่อก่อนสมัยที่อดีตเจ้าอาวาสยังคงเป็นเจ้าอาวาสอยู่

"ผมไปสอนหนังสือที่โรงเรียนตามชายแดนครับ ที่นั่นขาดแคลนครู แม้มันจะลำบาก แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อ้อ! แล้วทำไมวัดถึงเงียบแบบนี้ครับ งานบุญปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง"

"งานบุญอะไรนั่นเราไม่ได้จัดแล้วล่ะ มีเจ้าภาพจากวัดอื่นรับไปทำแทน ตั้งแต่โยมออกไปจากวัดเรา เราก็ไม่ค่อยได้พัฒนาวัดเลย มีก็แค่ซ่อมแซมแต่ไม่มีการสร้างอะไรเพิ่มอีกแล้ว"

อดีตเจ้าอาวาสหันมองไปดูรอบวิหารที่อยู่ในสถาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

"ตอนนี้คนที่เข้าวัดมาก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม หรือมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนที่เข้ามาขอโชคขอลาภหรือเลขเด็ดต่างไม่มาที่นี่กันอีกแล้ว ตั้งแต่เขารู้ว่าโยมไม่อยู่ที่นี่"

"นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ครับ ในที่สุดวัดนี้ก็ได้กลับไปเป็นวัดจริงๆซะที"

"โยมคิดแบบนั้นจริงๆรึ"

เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันถามด้วยความแปลกใจ

"ใช่แล้วครับหลวงพ่อ แก่นแท้ของธรรมมะคือความสงบสุข ความสงบสุขจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจในพระพุทธศาสนา วัดควรที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมมะมากกว่าที่จะมาสร้างความเชื่องมงาย"

"โยมพูดได้ดี ดูเหมือนโยมจะเปลี่ยนไปนะ"

"ใช่ครับหลวงพ่อ เมื่อออกไปจากวัดเหมือนได้ไปฝึกจิตภาคปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชีวิตได้ถ่องแท้นัก ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นมันเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย"

หลังจากทั้งคู่พูดคุยกันเสร็จ จากนั้นอดีตเจ้าอาวาสก็ขอตัวลาและเดินออกจากวัดด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข เขากลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบเงียยในที่ที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงมากนัก

ในอีกมุมหนึ่งของเทิด ด้วยความที่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าทันผู้คนมากนัก เขาถูกคนรู้จักหลอกให้ไปเล่นการพนันในบ่อนใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน เทิดเสียพนันหลายครั้งโดยหวังจะไปแก้มือ แต่เขาไม่เคยแก้มือจากบ่อนเลยได้สักครั้ง แท้จริงแล้วเพื่อนของเทิดเป็นนายหน้าหาคนมีเงินเข้าไปในบ่อนการพนัน เมื่อเทิดหมดทั้งเงินและต้องขายบ้านหลังใหญ่ทิ้ง เขากลายเป็นคนล้มละลายและเสียสติไปในที่สุด และเป็นโชคร้ายของลูกเมียของเทิดที่ต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ


วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

น้ำตาของชายหนุ่ม




อาทิตย์กำลังแต่งตัวในชุดนักศึกษาช่างอาชีวะแห่งหนึ่งในเมืองกรุง เขาบรรจงขยับหัวเข็มขัดให้พอดีกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งของเขา รอยขาดปะผุบนกางเกงบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นวัยรุ่นหนุ่มที่ชอบความเซอ ลวดลายของสีย้อมผ้าที่มีริ้วรอยเป็นเส้นตามแนวรอยยับของกางเกงเรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้ดียิ่งนัก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กางเกงตัวนี้จะดูโดดเด่นและถูกอาทิตย์หยิบมาสวมใส่บ่อยครั้งกว่าตัวอื่นๆ เสียงตะโกนจากแม่ของเขาดังลั่นขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน

"ยังไม่ไปเรียนหรือลูก แม่เตรียมอาหารเสร็จแล้วนะ"

"แต่งตัวเสร็จแล้วแม่ กำลังจะลงไป"

อาทิตย์ตอบขณะที่กำลังใช้หวีเสยผมจากหน้าผากขึ้นไปเพื่อให้เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยเจลใสตั้งขึ้นเหมือนดาราวัยรุ่นในจอทีวี จากนั้นเขาจัดแจงหยิบกระเป๋าสะพายที่ข้างในนั้นมีหนังสือเพียง 2-3 เล่มขึ้นมาค้องคอ อาทิตย์เกือบจะเดินออกจากห้องแล้วถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นมีดพับเล่มกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างประตู เขาหยิบมันใส่กระเป๋าทันทีก่อนจะเดินลงบันไดลงไปนั่งยังโต๊ะอาหารที่มีจานข้าววางไว้รอแล้ว

"เป็นยังไงบ้างลูก ที่วิลัยโอเคมั้ย"

ผู้เป็นแม่ถามขณะที่จัดแจงวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ

"ก็ดีครับแม่ ตอนนี้ผมเริ่มจะมีเพื่อนมากขึ้นแล้ว"

"ดีแล้วลูก มีเพื่อนใหม่จะได้ไม่เหงา แล้วเพื่อนๆที่เชียงใหม่ได้ติดต่อกันบ้างมั้ย"

อาทิตย์กำลังเคี้ยวข้าวเช้าของเขาอยู่ แต่เขาก็พยายามตอบเมื่อกลืนคำข้าวในปากแล้ว

"ไม่ได้ติดต่อเลย นี่ก็ผ่านมาจะเกือบปีแล้วนะ พอดีว่าช่วงนี้ผมเรียนหนักไปหน่อย และมีกิจกรรมที่วิลัยเยอะมาก"

"ยังงั้นเหรอลูก ได้เพื่อนใหม่ก็อย่าลืมเพื่อนเก่านะ"

แม่ของอาทิตย์ขยับจานกับข้าวให้เข้าใกล้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

"แน่นอนครับ ผมไม่ลืมเพื่อนพวกนั้นหรอก ได้ยินว่าเพื่อนสนิทของผมย้ายจากเชียงใหม่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพเหมือนผมด้วยนะ แต่ยังไม่มีเวลาไปตามหามันเลยว่าอยู่ที่ไหน"

"เพื่อนลูกที่ชื่อเอน่ะเหรอ ใช่คนที่มานอนบ้านเราบ่อยๆหรือเปล่า"

"ใช่ครับ เรามาสอบเรียนต่อที่กรุงเทพเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามันไปเรียนที่ไหน"

อาทิตย์ก้มมองดูเข็มนาฬิกาที่วิ่งอยู่บนเรือนนาฬิกาที่ข้อมือของเขา เข็มสั้นชี้ไปที่กึ่งกลางระหว่างเลข 7 และ 8 เขารีบกลืนข้าวคำสุดท้ายก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าเตรียมจะออกจากบ้าน

"ผมไปก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวไม่ทันรถเมล์ สวัสดีครับ"

อาทิตย์ดูลนลานออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้แม่ของเขา เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที อาทิตย์ก็ปรากฏตัวอยู่ที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถสายประจำของเขา สักพักโทรศัพท์มือถือของอาทิตย์ก็ดังขึ้น

"ฮัลโหล ไงเพื่อนกำลังรอรถอยู่ ทันคันเวลา 7 โมง 45 อยู่"

"โอเคเพื่อน แกเอาของที่ข้าฝากไว้มาด้วยหรือเปล่า"

เสียงปลายสายตอบกลับมา

"หยิบใส่กระเป๋ามาแล้วไม่ต้องห่วง"

อาทิตย์ตอบกลับไปผ่านไมค์โครโฟนของโทรศัพท์พร้อมใช้มือคลำไปที่ด้ามเหล็กในกระเป๋าสะพาย ยังไม่ทันที่ปลายสายจะตอบรับกลับมา รถเมล์สายที่อาทิตย์รอคอยก็จอดลงที่หน้าป้ายตามเวลาที่ใกล้เคียงกับทุกๆวัน

"เยี่ยมเพื่อน แล้วเจอกันที่ป้ายหน้าบ้านข้า"

อาทิตย์เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นรถทันที ป้ายรถเมล์ที่อาทิตย์รอนั้นอยู่ใกล้กับอู่รถจึงทำให้เวลาที่รถเมล์มาจอดป้ายค่อนข้างจะใกล้เคียงกันทุกวัน และรถสายนี้จะขับผ่านป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนรออยู่เหมือนกัน

เช้าวันนี้ผู้คนไม่หนาแน่นมากนัก อาทิตย์จึงเลือกนั่งเบาะหลังสุดเพื่อจะรอให้เพื่อนที่ 3 คนมานั่งถัดจากเขา รถเมล์วิ่งทำเวลาเหมือนกับทุกวันที่มันทำ จอดรับส่งผู้โดยสารตามป้ายเป็นปกติเหมือนที่มันเคยทำทุกวัน และในที่สุดรถเมล์ก็มาจอดในป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์ยืนรอ เพื่อนทั้ง 3 คนเดินขึ้นมาบนรถและมานั่งยังเบาะที่อาทิตย์เตรียมไว้ให้

"ไงทิด วันนี้เรียนเสร็จไปเที่ยวไหนดี"

เบียร์ เพื่อนหัวโจกของกลุ่มพูดถามเมื่อเจอหน้าอาทิตย์ที่นั่งรออยู่แล้วบนรถเมล์

"ไม่ล่ะเพื่อน วันนี้ข้าขอตัวดีกว่า คราวแล้วพวกแกกลับซะดึก ข้าไม่อยากกลับบ้านค่ำ"

"เอ่อๆ ตามใจแกละกัน ไว้คราวหน้าก็ได้ เดี๋ยวเย็นนี้ข้าไปกัน 3 คนกับต้นและเป้ก็ได้"

หลังจากเบียร์พูดเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างๆกับอาทิตย์ ปล่อยให้เพื่อนอีก 2 คนนั่งด้วยกันอีกเบาะ รถเคลื่อนบนถนนไม่เร็วนักเพราะต้องคอยจอดตามป้าย ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับแออัด ทันใดนั้นเบียร์ก็ทวงถามสิ่งของที่เขาฝากอาทิตย์ไว้เมื่อหลายวันก่อน

"ของๆข้าเอามาด้วยหรือเปล่า"

"เอามาสิ"

อาทิตย์พูดเสร็จก็ล้วงเอามีดพับออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เบียร์ทันที

"คราวหลังไม่ต้องเอามาฝากข้าอีกนะ กลัวแม่เห็นแล้วจะถามว่าไปเอามาจากไหน"

"ได้ๆ ไม่มีปัญหา"

เบียร์ตอบรับคำพูดที่อาทิตย์เสนอ แต่เช้าวันนี้เหมือนกับเป็นเช้าที่โชคร้ายสำหรับพวกเขาเมื่อมีกลุ่มนักเรียนอาชีวะที่เป็นคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา 6 คน เพื่อน 2 คนที่นั่งเบาะข้างหน้าของอาทิตย์สังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนดังกล่าว จึงรีบกระซิบมายังเบาะหลังเพื่อเตือนเพื่อน

"ซวยแล้วไงเช้านี้ พวกเราไป!"

เป็นเรื่องปกติของเด็กอาชีวะที่ถ้าหากว่าเจอคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา และมีจำนวนที่มากกว่า กลุ่มที่มีน้อยกว่าจะต้องเดินลงจากรถเมล์ไป เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนั้น กลุ่มของอาทิตย์จึงเลือกที่จะเดินลงจากรถไปเอง

เหมือนกับจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ดูวิปลิตผิดเพี้ยนไปแล้ว และสีหน้าของนักเรียนคู่อริที่มองมายังกลุ่มของอาทิตย์ก็ทำสีหน้าพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อเพื่อนอีก 2 คนของอาทิตย์กำลังจะเดินลงบันไดรถลงไป และเรื่องราวในเช้านี้คงจะผ่านพ้นไปได้อย่างสงบเหมือนกับหลายๆเช้าที่ผ่านมา ถ้าเบียร์ไม่แสดงท่าทางเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้มือจับที่หัวเข็มขัดของตัวเองแล้วทำเป็นเหมือนจะท้าให้คู่อริมาชิงมันไป

ความจริงแล้วเบียร์เพียงต้องการเพียงแค่จะเย้ยหยันฝ่ายตรงข้ามมากกว่า เขาคิดว่าพอทำท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นเสร็จจะรีบวิ่งลงจากรถไปในจังหวะที่รถเมล์เคลื่อนตัวออกไป เพื่อไม่ให้พวกนั้นวิ่งตามลงมากได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เบียร์คิด กลุ่มนักเรียนอาชีวะคู่อริทั้ง 6 คนต่างวิ่งกรูตามกลุ่มของเบียร์ลงจากรถทันที เบียร์ตกใจมากจึงตะโกนออกมาเสียงดัง

"วิ่ง! เร็ว"

ในสายตาของผู้โดยสารบนรถเมล์ พวกเขาต่างจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างระแวงอยู่แล้ว เพราะคิดว่ามันคงจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง ในบางคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนก็สงสัยว่านักเรียนพวกนั้นมีเรื่องแค้นเคืองบาดหมางอะไรกันมานะ แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนความป่าเถื่อนเหล่านั้นออกมา คือการปลูกฝังค่านิยมจากรุ่นพี่ในเรื่องของคำว่า 'ศักดิ์ศรีของสถาบัน' ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปนั้นย่อมจะไม่เข้าใจ

ทั้ง 4 ออกแรงวิ่งเต็มที่โดยมีกลุ่มนักเรียน 6 คนวิ่งมาไม่ห่างมากนัก กลุ่มนักเรียนที่รวมกันได้ 10 คนกำลังเพิ่มความวุ่นวายให้กับท้องถนนที่แออัดไปด้วยคนที่เดินไปมาอยู่แล้ว คนบางคนถูกกลุ่มนักเรียนวิ่งชนจนล้มระเนระนาดวุ่นวายไปหมด และทันใดนั้นคู่อริคนหนึ่งสามารถวิ่งไล่ทันอาทิตย์ที่วิ่งรั้งท้ายของกลุ่ม อาทิตย์ถูกเตะเข้าที่ต้นขาอย่างแรงทำให้เข้าล้มลงไปนอนกลับพื้น

เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนเมื่อเห็นว่าอาทิตย์ลงไปนอนกองกับพื้น พวกเขาหันกลับมาและพยายามเข้าไปช่วยกันอาทิตย์ไว้ไม่ให้ถูกซ้ำ กลุ่มของคู่อริ 2 คนพยายามเข้ามากระโดดถีบเบียร์ที่ยืนขวาง แต่เบียร์กะจังหวะพลิกตัวหลบลูกถีบจากทั้ง 2 ได้ทันก่อนที่จะใช้หมัดต่อยไปที่ปลายคางของทั้ง 2 ทีละคน

ลีลาการต่อสู้ของเบียร์นั้นไม่ธรรมดานัก ทำให้กลุ่มคู่อริที่เหลือหยุดชะงักไม่กล้าผลีผลามเข้ามารุมสะกรัม เพื่อนอีก 2 คนในกลุ่มของอาทิตย์เข้ามาประจันหน้ากันระหว่าง 3 ต่อ 6 เพราะตอนนี้อาทิตย์ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ อาทิตย์ยังคงมีอาการมึนงง ด้วยเพราะว่าเขานั้นไม่ค่อยถนัดในการต่อสู้มากนัก การถูกเตะลงไปนอนกลิ้งกับพื้นจึงดูเหมือนจะเป็นอะไรที่รุนแรงมากสำหรับอาทิตย์ เขาได้แต่นอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้น

ถึงแม้เบียร์จะมีฝีมือทางการต่อสู้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก และดูเหมือนกลุ่มนักเรียน 6 คนจะสามารถคุมเชิงฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว นักเรียนอาชีวะคนที่ถูกเบียร์เย้ยหยันพูดออกมาเสียงดังลั่น

"ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้ พวกมึงถอดหัวเข็มขัดออกมา"

เบียร์และเพื่อนอีก 2 คนทำท่าทางจะทำตามที่คู่อริพูดแต่โดยดี เพราะสถานการณ์แบบนี้แล้วพวกเขาคิดว่าน่าจะคุ้มกว่า หากยอมสละหัวเข็มขัดไป ส่วนอาทิตย์นั้นยังคงนอนจุกอยู่บนพื้น เรื่องดูท่าทางจะจบลงแค่นี้โดยที่ไม่น่าจะมีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ทว่าคนที่เพิ่งออกคำสั่งนั้นได้พูดคำพูดที่มันเสียดแทงความเชื่อของเบียร์

"สถาบันของพวกมึงมันกระจอกว่ะ ตั้งแต่ครูยันลูกศิษย์แม่_กระจอกทั้งนั้น"

ความจริงแล้วสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของนักเรียนคนนี้ไม่ใช่ความจริง มันก็แค่บทพูดจากรุ่นพี่ที่พยายามกรอกหูให้รุ่นน้องฟัง เพื่อทำให้เกิดความฮึกเหิมในพวกเดียวกันแค่นั้นเอง กลุ่มคนเหล่านั้นอาจจะลืมคิดไปว่าผลลัพธ์จากวลีเหล่านี้มันอาจจะสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด

ในอีกมุมหนึ่ง สถาบันที่ถูกปลูกฝังและหล่อหลอมเขาขึ้นมานั้น มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่สถานศึกษาหรือสถานที่ใดๆ แต่มันคือจิตวิญญาณของเบียร์ และรวมถึงเพื่อนๆร่วมสถาบันด้วย คนอย่างเบียร์มีความคิดที่ว่า ถ้าตัวของเขาเองโดนดูถูกหรือโดนทำร้ายเพียงใดมันก็ยังพอทน แต่การที่สิ่งที่เขารักโดนดูถูกหรือทำร้ายนั้น เบียร์ทนไม่ได้ สติที่เพิ่งจะขาดออกจากกันเมื่อได้ฟังประโยคเหล่านั้น ทำให้เบียร์ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อควักมีดพับปลายแหลมออกมา ไม่รอช้าเบียร์จ้วงแทงมีดไปที่ตรงกลางลิ้นปี่ของเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่

ด้วยความเร็วของนักเรียนที่เป็นเป้าหมายของคมมีด รวมถึงระยะห่างของเบียร์กับคู่อริ นักเรียนหัวโจกคนนั้นสามารถปัดป้องและเบี่ยงเบนวิถีของมีดให้พ้นวิถีโคจรออกจากตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าทิศทางของปลายมีดก็ยังพุ่งเสียบไปที่ร่างของนักเรียนกลุ่มคู่อริอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังและไม่ทันได้ระวังตัว นักเรียนคนนั้นล้มลงนอนไปกองกับพื้นทันทีเพราะหมดสติ เลือดทะลักพุ่งออกมาเพราะปลายมีดเสียบเข้าไปที่อวัยวะสำคัญภายใน 

เบียร์ผงะถอยปล่อยมีดลงกับพื้น เช่นเดียวกับทุกๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่อาทิตย์คนเดียวที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง เมื่ออาทิตย์พยายามพยุงตัวลุกขึ้นมา เขาไม่เห็นเพื่อนๆของตัวเอง และไม่รู้ว่านักเรียนกลุ่มคู่อริหายไปไหน อาทิตย์เห็นเพียงแต่นักเรียนคนที่นอนจมกองเลือดเพียงคนเดียวเท่านั้น อาทิตย์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าจะต้องไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้เร็วที่สุด

เมื่ออาทิตย์เข้าไปใกล้ปรากฏว่า! คนที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นคือเอ เพื่อนสนิทของอาทิตย์ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน อาทิตย์แทบจะไม่เชื่อสายตาเลยว่า เพื่อนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาปีกว่า จะมาเจอกันในสภาพแบบนี้ ร่างของเอนอนแน่นิ่งไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ว่าเขาจะมีความยินดีเพียงใด เมื่อเพื่อนรักมายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว คงมีเพียงแต่อาทิตย์เท่านั้นที่แสดงออกถึงความเศร้าและเสียใจออกมาทางใบหน้า สายนำ้ตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสายคงแสดงออกได้ถึงความสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดแล้ว

อาทิตย์ร้องไห้ฟูมฟายได้แต่พูดเพ้อถึงโชคชะตาของเพื่อนรัก เขาได้แต่เฝ้าคิดว่าใครกันนะที่เป็นคนฆ่าเพื่อนรัก เอจะต้องมาตายตรงนี้เพราะอะไรกัน อาทิตย์ไม่ได้กล่าวโทษถึงกลุ่มคู่อริเลยแม้แต่น้อย เขาไม่โทษเพื่อนของเขาที่เรียนร่วมสถาบันที่พามาเจอสถานการณ์แบบนี้ อาทิตย์ได้แต่คิดถึงคำพูดต่างๆที่เขาได้ยินมาจากรุ่นพี่ที่พยายามพูดกรอกหูเขา นี่น่ะหรือคือสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการ พวกเขาต้องการให้มีคนตายหรือย่างไร

เวลาผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ สิ่งที่ตำรวจเห็นก็คือชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังนอนจมกองเลือดกับพื้น โดยมีชายหนุ่มอีกคนที่ใส่ชุดนักศึกษาต่างสถาบันนั่งข้างๆพร้อมส่งเสียงร้องให้ดังลั่น และใกล้ๆกันนั้นยังมีด้ามมีดพับเหล็กที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดและรอยนิ้วมือของอาทิตย์แฝงอยู่บนนั้น่

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...