วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรงแรมอลวน




ไวพจชายวัย 65 ปี นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องน้ำ ระหว่างทำธุระส่วนตัวบนชักโครกในสำนักงานวางระบบคอมพิวเตอร์ของเขา

'ปัง!'

เสียงประตูถูกถีบแรงจนกลอนประตูแตกกระจาย ไวพจตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงใช้หนังสือพิมพ์ปิดส่วนล่างของเขาไว้ ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำจำนวน 5 คนเข้ามายืนพร้อมกันในห้องน้ำแคบๆ

"เรามาตามนัดที่เราสัญญากันไว้ครับ คุณไวพจ"

ชายหนุ่มคนกลางพูดถึงเหตุผลที่พวกเขามาในครั้งนี้

"เอ่อ! ขอฉันทำธุระในนี้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอ พวกเธอออกไปรอในออฟฟิศชั้นข้างนอกก่อนดีกว่ามั้ย"

'จ๋อม!'

เสียงก้อนของเสียของไวพจหล่มลงน้ำในโถชักโครก ชายหนุ่มในชุดหนังคนหนึ่ง ใช้เท้าเหยียบลงบนคันโยกของชักโครก เสียงน้ำไหลดัง

"พอดีเราต้องรีบไป คุยกันให้เสร็จในนี้เลย"

ชายหนุ่มคนกลางพูดต่อ

"ก่อๆ ก็ได้ พวกเธอมีธุระอะไร"

"วันนี้เรามาเก็บเงินที่คุณยืมจากเราไป ตอนนี้รวมดอกแล้วก็ 3 แสนบาท"

"จะบ้าเรอะ! ชั้นเอาเงินมาแค่ 7 หมื่นเอง"

ไวพจตะโกนเสียงดังลั่น กลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 หันหน้ามองกันไปมา

"ที่เหลือมันค่าทวงหนี้ ไม่เห็นเหรอพวกเรามากันตั้ง 5 คน ค่าทวงหนี้ต้องใช้คนถึง 5 คน"

ไวพจกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบมีดออกมาจากกระเป๋า

"อย่าให้มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเลย ค่าใช้อุปกรณ์เท่ากับคนทวงหนี้ 10 คน"

ไวพจกลืนน้ำลายอีกครั้ง เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแก๊งทวงหนี้พวกนี้มาแล้ว หากใครเบี้ยวครั้งที่ 3 ก็ตายแน่นอน

"งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันพ่อหนุ่ม ชั้นจะเอาเงินจำนวน 3 แสนมาให้ภายในอีก 3 วันข้างหน้า"

"อีก 3 วัน ตกลงตามนี้"

ชายหนุ่มในชุดหนัง 5 คนค่อยๆเดินออกไปจากห้องน้ำและสำนักงานของไวพจอย่างง่ายดาย ไวพจทำท่าเป่าปากก่อนจะรีบทำธุระให้เสร็จ เขาออกมาจากห้องน้ำ ไวพจรีบตรงไปที่โทรศัพท์มือถือ เพื่อต่อสายไปถึงใครบางคน

.......

"โธ่พี่ชาย รับรองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย"

"แกพูดแบบนี้มา 3 ครั้งแล้ว ชั้นควรจะเชื่อแกดีมั้ย ของเดิมแกก็ยังไม่ใช้ให้ชั้นเลย"

เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากสายปลายทางดังลั่น จนไวพจตกใจ

"เอาอย่างนี้ละกัน เงิน 3 แสนมันต้องใช้เวลา ถ้าภายใน 3 วันไม่มีทางแน่ แกมาพบชั้นที่โรงแรมของชั้น แล้วแกก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าชั้นจะเตรียมเงินให้แกได้"

สีหน้าไวพจเริ่มมีรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวพจตั้งใจจะไปขอยืมเงินพี่ชาย เขาเอาเงินก้อนโตจากพี่ชายมาแล้ว 3 ครั้ง 3 ครั้งรวมกันแล้วยังไม่เท่าครั้งนี้ที่มากถึง 3 แสน และทุกครั้งที่ไวพจเอาเงินมา เขาก็ชักดาบทุกครั้ง

"ขอบคุณมากครับพี่ชาย ทั้งชีวิตนี้ผมก็มีพี่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งได้"

"เอ่อๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ยังไงก็รีบมาแล้วกัน เจอกันเย็นนี้"

"ครับพี่ชาย เจอกันที่โรงแรมเอ็มลอร์ดใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่! ครั้งนี้แกมาเจอชั้นที่โรงแรมเล็กๆของชั้นที่นอกเมือง เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ไปให้"

"ได้ครับ"

ไวพจรับคำเสร็จก็รีบวางสายโทรศัพท์ เขารีบจัดแจงเก็บเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และจากนั้นก็รีบโบกแท็กซี่ไปยังที่อยู่ที่ได้รับทางโทรศัพท์ และในที่สุดแท็กซี่ก็มาส่งไวพจยังสถานที่เป้าหมายสำเร็จ

สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงหน้า จากคำบอกเล่าของพี่ชายนั้นคือโรงแรมเล็กๆที่อยู่ชานเมืองออกไปไกล และยังอยู่ในซอกซอยลึกลับ ยากที่จะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะหาเจอหรือเดินผ่าน เขามองครั้งแรกด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่คือโรงแรม เพราะลักษณะภายในที่เงียบเชียบและรั้วรอบขอบชิดเกินกว่าที่มีใครจะอยากเข้าไปพัก แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่สามารถเดินกลับหลังได้แล้ว ไวพจจึงได้แต่หยิบกระเป๋าและค่อยๆเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าแคบๆ เพื่อเข้าไปยังล็อบบี้

"สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีมีคนจองห้องพักไว้ให้ผม นี่ครับบัตร"

สีหน้าของพนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่แก่ชรา เธอทำท่างุ่มง่ามรับบัตรประชาชนจากไวพจ จากนั้นจึงกดโทรศัพท์ไปหาใครคนหนึ่ง หลังจากพนักงานชราสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จ เธอหันหน้ามามองไวพจอีกครั้ง พร้อมใช้มือมาขยับแว่นตาหนาเตอะที่เธอสวม เพื่อให้มองเห็นใบหน้าของไวพจอย่างชัดเจน จากนั้นพนักงานชราบรรจงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่และเรียกชายที่เหมือนกับทำหน้าที่ยกกระเป๋าให้มารับกุญแจ พนักงานยกกระเป๋าเดินตรงเข้ามารับพวงกุญแจและชายตามองมาที่ไวพจไม่กระพริบ ไวพจรู้สึกไม่ชอบหน้าของพนักงานยกกระเป๋าคนนี้เท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายที่สูงและตัวค่อนข้างใหญ่ หวีผมเรียบแปล้และทาลิปสติกสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก นั่นทำให้ไวพจถึงกลับรีบหลบสายตาทันทีที่เขาถูกจ้อง

"เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อยค่ะ"

พนักงานชรายื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไวพจ ไวพจอ่านมันคร่าวๆ เมื่อเห็นว่ามันคือแค่เอกสารขอเข้าพัก เขารีบลงลายมือชื่ออย่างรวดเร็วลงบนเอกสารแผ่นนั้น

'นี่มันโรงแรมบ้าอะไรวะเนี่ย!' ไวพจคิดในใจพร้อมทำหน้าตาไม่ชอบใจและงุนงง แต่สิ่งที่ทำให้ไวพจประหลาดใจมากกว่าก็คือ เมื่อเขาหันหน้าไปทางลานล็อบบี้ที่มีชุดโต๊ะโซฟา เขาเห็นกลุ่มคนหลายคนนั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะไม่ไหวติง มีบางคนเท่านั้นที่หันมาทางไวพจ บางคนมียิ้มที่มุมปากส่งกลับมา และทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้ล้วนเป็นคนแก่ชราแทบทั้งสิ้น ไวพจคิดว่านี่มันโรงแรมหรือบ้านพักคนชรากันแน่นะ

"เชิญคุณไวพจครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่ห้อง"

พนักงานยกกระเป๋าเดินมาหยิบกระเป๋าของไวพจ และนำทางขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ประตูห้องพักถูกเปิดออก ข้างในประดับไว้ด้วยของตกแต่งอย่างดี นั่นทำให้ไวพจอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงแรมจริงๆ ในห้องนี้มีทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกให้ได้

"อา... ห้องช่างสะดวกสบายจริงๆ เอ้านี่ขอบคุณมาก น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน"

ไวพจควักแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อยื่นให้คนยกกระเป๋า

"ขอบคุณมากครับ แต่ที่นี่เราไม่มีนโยบายรับทิปจากแขกผู้เข้ามาพัก ขอให้พักผ่อนให้สบายนะครับ"

พนักงานยกกระเป๋าค่อยๆบรรจงปิดประตูจนแทบจะไม่มีเสียง ไวพจรู้สึกปลอดภัยที่มาอยู่สถานที่แห่งนี้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จไวพจก็มาเปิดทีวีดูและเผลอหลับไปโดยทีวียังถูกเปิดทิ้งไว้

วันถัดมา ไวพจตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น จากการที่เขาได้นอนหลับอย่างเต็มที่แล้ว ไวพจคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนลืมปิดทีวี เขาควานหารีโมททีวีเพื่อจะปิดมัน แต่ยังไม่ทันที่จะหาเจอไวพจก็เห็นทีวีที่ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว และรีโมทก็วางอยู่ข้างๆทีวี ไวพจคิดว่าเมื่อคืนเขาคงปิดมันแล้ว ไวพจลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะออกไปหาอะไรกิน เขาคิดว่าเดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปขอบคุณพี่ชายสักหน่อย แต่เมื่อไวพจค้นหาโทรศัพท์มือถือ เขากลับไม่เจอมัน ไม่ว่าจะหาจากกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่พบมัน ไวพจรีบสำรวจข้าวของๆเขาปรากฏว่าทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นโทรศัพท์มือถือ ไม่รอช้า ไวพจรีบแต่งตัวและออกจากห้องเพื่อไปยังออฟฟิศข้างล่างเพื่อถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พนักงานที่อยู่ประจำออฟฟิศยังเป็นหญิงชราใส่แว่นตาหนาเตอะคนเดิม เธอเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเมื่อไวพจเข้าไปถาม

"คุณครับ เมื่อคืนมีคนเข้าไปในห้องผม และยังเอาโทรศัพท์มือถือผมไปด้วย ช่วยเช็คกล้องวงจรปิดให้หน่อยได้มั้ยว่าใคร"

ไวพจพูดด้วยกับพนักงานชรา เขาไม่แม้จะสบตากับเธอ ส่วนพนักงานชราก็ทำท่าเหมือนไม่โต้ตอบอะไร นั่นยิ่งทำให้ไวพจอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก

"นี่คุณ! นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ ที่นี่มีขโมยครับ ถ้าโรงแรมไม่สามารถตามหาคนร้ายให้ผมได้ ผมคงต้องแจ้งความกับตำรวจแล้วล่ะ"

พนักงานชรายังคงทำสีหน้าไม่รับรู้อะไร ไม่พูดโต้ตอบไม่แม้แต่จะมองหน้าไวพจ เธอยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารที่กำลังคัดแยก ไวพจเริ่มหมดความอดทน เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมเรียกหาโทรศัพท์เพื่อจะโทรแจ้งตำรวจ ไวพจเห็นเครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงานจึงเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่วางเครื่องโทรศัพท์ และใช้มือซ้ายยกหูก่อนใช้มือขวากดเบอร์โทร

ทันใดนั้น! มือๆหนึ่งที่ทั้งนุ่มและนิ้วมือเรียวงาม เล็บที่ถูกตกแต่งพร้อมทาสีชมพูอ่อนก็มาประกบจับที่มือของไวพจที่กำลังกดปุ่มบนเครื่องโทรศัพท์ เจ้าของมือนุ่มนั่นคือชายที่ช่วยไวพจหิ้วกระเป๋าขึ้นห้องนั่นเอง เขาออกแรงบิดข้อมือของไวพจจนไวพจร้องตะโกนลั่น

"นี่เธอเป็นใครกัน มีสิทธ์อะไรมาห้ามฉันไม่ให้ใช้โทรศัพท์ และนี่ยังเข้าข่ายทำร้ายร่างกายกันอีกด้วยนะเนี่ย ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ"

ชายหนุ่มยังคงล็อคข้อมือของไวพจไว้จนไวพจไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ สักพักชายหนุ่มใช้มืออีกข้างมาประคองไหล่ของไวพจ และพยายามบังคับให้เดินไปนั่งยังโต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัว ไวพจถูกลากมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อถูกปล่อยมือไวพจทำท่าทางเจ็บและโวยวาย ไม่ช้าพนักงานหญิงชราที่อยู่นอกห้องสำนักงานก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มานั่งยังเก้าอี้อีกตัว

"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมือนะคะ เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่คนนี้ของเราจะมีหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างในนี้ เขายังเป็นนักกายภาพบำบัดที่มีฝีมือของเราด้วย"

"เจ้าหน้าที่เรอะ? ที่นี่มันโรงแรมแบบไหนกันแน่ แล้วเรื่องโทรศัพท์ของผมจะว่ายังไงกัน"

ไวพจพูดพร้อมหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่หนุ่ม

"คือว่าที่นี่เราไม่มีนโยบายให้ผู้เข้าพักของเราใช้โทรศัพท์มือถือค่ะ เมื่อคืนขณะที่คุณไวพจหลับ พนักงานท่านนี้จึงไปเอาโทรศัพท์ของคุณไวพจมาเก็บไว้"

"นี่มันโรงแรมบ้าประเภทไหนกัน! ต่อสายโทรศัพท์ถึงเจ้าของโรงแรมให้ผมที ผมอยากจะคุยกับเขาหน่อย"

ไวพจพูดเสียงดังจนเป็นที่สนใจของคนอื่นที่อยู่ในล็อบบี้ ผู้คนมากมายต่างมายืนล้อมรอบห้องสำนักงานเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์ พนักงานหญิงชราสบตาพร้อมพยักหน้้าให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปหยิบเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้บนโต๊ะที่ไวพจนั่ง ไม่รอช้าไวพจรีบขยับเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้ตรงหน้า พร้อมยกหูโทรศัพท์และกดหมายเลขที่คุ้นเคยลงไป

"พี่! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมบ้าๆนี่รู้มั้ย"

ไวพจตะโกนเสียงใส่โทรศัพท์

"นี่ๆเจ้าไวพจ แกไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันมากขนาดนี้ก็ได้ เป็นยังไงบ้างคืนแรกกับที่นั่นดีใช่มั้ย"

"ดีกะผีอะไรเล่า มีคนขโมยโทรศัพท์ฉัน และเช้านี้ยังมีเด็กยกของมาบิดข้อมือฉันอีก ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เนี่ย?"

"ใจเย็นๆ อย่าไปทำให้เขาโกรธ ถ้าแกไปทำให้เขาโกรธจัดจะโดนหนักกว่านี้อีกนะฉันขอเตือนไว้ก่อน เอาล่ะ... แกโทรมาก็ดีแล้วฉันจะได้บอกความจริงแก ความจริงที่เป็นสถานที่ๆพวกลูกหลานคนมีเงิน มักจะเอาพ่อแม่ของเขามาฝากไว้ แกเชื่อมั้ยว่าธุรกิจนี้ทำเงินเป็นบ้าเลยว่ะ ลูกๆยอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อให้พ่อแม่ของเขามาอยู่ที่นี่"

เสียงพี่ชายของไวพจตอบกลับมา ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่น

"แกอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้ฉันอีก รู้มั้ยว่าค่าใช่จ่ายต่อคนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องจ่ายปีละ 1 ล้านบาท"

"แต่นี่คือการลักพาตัว กักขังหน่วงเหยี่ยว"

"เอกสารที่แกเซ็นเมื่อวานคือหนังสือยินยอมให้อยู่ในการควบคุมของสถานที่แห่งนี้ แกไม่ได้อ่านเลยเหรอ เอาล่ะ... แกอยู่ในนั้นก็ทำตัวดีๆนะจะได้ไม่เจ็บตัวอีก ไว้ค่อยคุยกันโอกาสหน้า"

"ดะๆ เดี๋ยวๆ"

เสียงปลายสายวางไปแล้ว แต่ไวพจยังไม่หายคับข้องใจ เขาพยายามหาวิธีต่อรองกับคนทั้งสองตรงหน้า

"นี่รู้มั้ยว่าฉันคือน้องชายแท้ๆของเจ้าของที่นี่"

หญิงชราและชายหนุ่มหันมามองหน้ากัน และก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา

"นี่คุณ แขกของเราหลายคนก็ชอบอ้างว่าเคยเป็นคนนู้นเป็นคนนี้อยู่บ่อยๆ เป็นพ่อแม่ของนักการเมืองบ้าง ผู้มีอิทธิพลบ้าง แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อลูกๆของพวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อส่งพ่อแม่มาอยู่ที่นี่แล้ว เราคงไม่ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองแน่ และที่สำคัญพวกเราไม่เจอกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่สักครั้งเลย เราไม่สนใจหรอกครับว่าแขกของเราจะพูดอะไร หน้าที่ของเราคือดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด"

เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมาพูดกับไวพจ

"นี่พวกคุณจะบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่จริงๆเหรอ?"

ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

ไวพจเริ่มเกิดอาการวิตก เขานึกถึงภาพคนชราหลายสิบคนที่นั่งล้อมวงอย่างซึมเศร้าเหงาซึมที่ล๊อบบี้ แม้ไวพจจะมีอายุเลยเลข 6 กลางๆมาแล้ว แต่ตัวเลขแค่นี้ไม่น่าจะถึงกับต้องมาอยู่ในบ้านพักคนชรา ในหัวของเขาตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หนีออกไปจากที่นี่ก่อน คิดได้ดังนั้นไวพจรีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องสำนักงาน เขาพยายามวิ่งออกทางประตูหน้าของอาคาร ทางออกสู่ถนนที่ทั้งแคบและมีสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด ประตูที่จะออกไปสู่ถนนก็ไม่กว้างนัก เพราะที่นี่เป็นสถานที่แบบนี้นี่เอง ทางเข้าออกจึงไม่สะดวกสบาย

อีกแค่ไม่กี่ก้าว ไวพจก็จะรอดผ่านประตูแคบๆออกไปได้ แต่ทันใดนั้น! ร่างใหญ่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยก็โผล่มายืนขวางประตูไว้ ไม่ให้มีสิ่งใดรอดออกไปได้

...

ในที่สุดไวพจก็กลับมาอยู่ในท่าถูกล็อคข้อมือจากเจ้าหน้าที่คนเดิม พนักงานหญิงชรายืนอยู่ต่อหน้าเขา

"เรามีมาตรการสำหรับแขกที่คิดจะหลบหนีคือการถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเป็นเวลา 3 วันโดยไม่ให้ออกไปไหน แต่เราคงไม่ใจร้ายพอที่จะอดข้าวอดน้ำแขกของเราหรอก ใหม่ๆก็เป็นกันแบบนี้ทุกคนแหละคุณไวพจ แต่พอคนถูกขังไว้สักสองสามครั้งเดี๋ยวเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะหนี เพราะยังไงก็ไม่มีใครสามารถหนีไปจากที่นี่หรอก ถึงจะมีคนหนีออกไปจากที่นี่ได้แต่เดี๋ยวก็ถูกลูกหลานส่งกลับเข้ามาอีก"

สีหน้าของไวพจตกใจสุดขีด ถึงกับพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนนิ่ง เขาถูกลากตัวขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน

ไวพจยืนอยู่ในห้องพักของเขา ประตูถูกปิดจากชายคนเดิมแต่ครั้งนี้เสียงดังโครม! เสียงคล้องกุญแจดังขึ้นแสดงว่าประตูห้องนี้ถูกล็อคไว้ไม่ให้คนข้างในออกไปได้ ไวพจเดินไปลองผลักแต่ก็ไม่สามารถออกไปได้ เขาคิดว่าในช่วงเวลา 3 วันนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งวางแผนการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้

ตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว เดี๋ยวคงจะมีคนเอาอาหารมาส่ง ไวพจคิดว่าเขาต้องทำใจอยู่ในห้องนี้อย่างเงียบๆไปก่อน เพื่อที่จะให้คนอื่นตายใจ และอีกชั่วครู่ เสียงไขกุญแจประตูก็ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกให้แม่บ้านเข็นรถที่วางจานอาหารเช้าอย่างดีมาเสิร์ฟให้ถึงในห้อง แต่ภายหลังบานประตูเมื่อไวพจสังเกตดีๆก็เห็นเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่คอยเฝ้าอยู่นอกห้อง แม่บ้านบรรจงยกจานอาหารมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมส่งยิ้มให้กับไวพจเพื่อสร้างมิตรภาพ ไวพจรู้สึกเป็นมิตรจึงเอ่ยปากถามบางสิ่งกับแม่บ้านคนนั้น

"เอ่อ... ขอโทษนะครับ อาหารชั้นดีขนาดนี้ไม่ทราบว่านำมาจากข้างนอกหรือปรุงอาหารกันในโรงแรม?"

ไวพจทำสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นอาหารที่ดูน่ากิน

"เรามีห้องครัวเป็นของตัวเองค่ะ มีพ่อครัวสำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ และพ่อครัวของเราก็ทำอาหารอร่อยด้วย ทำให้บรรดาแขกๆของเราได้เพลิดเพลินกับมื้ออาหารของพวกเขา"

แม่บ้านตอบด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มเจือปน

"โอ้ว... จริงหรือครับนี่ ผมเห็นในนี้มีคนอยู่เป็นร้อย คงต้องใช้วัตถุดิบเยอะมากแน่ๆ ใช่มั้ยครับ"

แม่บ้านหัวเราะชอบใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบ

"ใช่ค่ะ เพราะมีคนเยอะ เราจึงต้องมีระบบจัดการให้ดี แค่ในครัวเราก็มีพ่อครัวเป็นสิบ แบ่งหน้าที่กันชัดเจนเพื่อให้สามารถทำอาหารได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องความสะอาดก็ไม่ต้องห่วงเพราะเรามีเจ้าหน้าในการรักษาความสะอาด เรามีถังขยะขนาดใหญ่หลังครัวเพื่อรวบรวมขยะและเศษอาหารทั้งหมด และจะมีคนเอามันไปทิ้งทุกอาทิตย์"

แม่บ้านวางจานอาหารวางช้อนส้อมเสร็จ จึงเดินออกไปจากห้อง

'ถังขยะขนาดใหญ่ มันจะถูกนำไปทิ้งทุกอาทิตย์' ไวพจคิดถึงคำสองคำนี้แล้วเริ่มมองเห็นหนทางในการหนีทันที แต่ตอนนี้เขาทำได้แต่เพียงต้องคิดว่า ในการแหกคุกครั้งนี้ก็ใช้อะไรบ้าง และเขาต้องเตรียมตัวอย่างไร

ไวพจจัดการกับอาหารจนหมด เขาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำเปล่าออกมาและรินใส่แก้ว ไวพจเดินไปที่ประตูกระจกที่จะเปิดออกไปสู่ระเบียงห้อง เขารูดผ้าม่านออกสิ่งปรากฎสู่สายตาของเขาคือ ด้านล่างมีสระว่ายน้ำที่อยู่ติดกับตัวอาคาร ถัดไปมีสนามเทนนิสและสวนกลางแจ้ง และเมื่อมองออกไปไกลๆเขาเห็นอาคารหลังหนึ่งมีปล่องระบายอากาศ ไวพจคิดว่าอาคารหลังนั้นต้องเป็นอาคารที่มีห้องครัวแน่ๆ และถังขยะใบใหญ่ต้องอยู่ใกล้ๆกันนั้น

เวลาส่วนใหญ่ของไวพจที่ใช้ในห้องนี้คือ นั่งเฝ้ามองออกไปนอกอาคารเพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้คนที่อยู่ภายนอก เขาตั้งใจว่าถ้าออกไปจากห้องได้คราวนี้เขาต้องไปสำรวจและป้วนเปี้ยนแถวห้องครัวให้ได้ ใน 3 วันแห่งการถูกขังเดี่ยวนี้

ในที่สุดไวพจก็ถูกกักตัวในห้องพักครบ 3 วัน และวันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ออกไปนั่งกินข้าวเช้าข้างนอกห้อง

"เป็นอย่างไรบ้างครับ เวลา 3 วันที่อยู่ในห้อง"

สีหน้าของพนักงานหนุ่มยังคงดูจริงจังจนไวพจยังเริ่มรู้สึกเกร็งๆ แต่ไวพจก็ยังพยายามพูดโต้ตอบ

"ก็ดี อยู่ที่นี่ก็สบายดี เตียงนุ่มสบายอาหารอร่อย เพียงแต่ฉันอยากออกไปเดินเล่นที่สวนกลางแจ้งตรงนั้นบ้าง"

ไวพจพลางชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง เจ้าหน้าที่หนุ่มหันหน้าออกไปทิศที่นิ้วของไวพจชี้

"อ่อ... คุณไวพจสามารถไปที่นั่นได้ตลอดเวลาครับ จะว่ายนำหรือไปตีเทนนิสก็ทำได้ เอาล่ะครับ ผมเอากุญแจห้องนี้มาให้ เดี๋ยวเิชิญคุณไวพจเดินลงไปรับประทานอาหารที่ชั้นล่างครับ ถ้าคุณไวพจต้องการอะไร หรือไม่ได้รับความสะดวกอะไรให้มาบอกที่ผมได้ครับ"

ผู้จัดการหนุ่มพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไป ไวพจเห็นท่าทางกิริยาของชายหนุ่มเมื่อสักครู่ก็รู้สึกพอใจกว่าเมื่อตอนเจอกันก่อนหน้านี้ เขานึกคิดในใจว่าสถานที่แห่งนี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน สุขสบายทุกอย่าง แต่ไวพจต้องรีบหยุดความคิดนั้นโดยพลันเมื่อเขาคิดว่าถ้าจะต้องอยู่ที่นี่เป็นสิบๆปี

ไวพจเดินลงมาที่ล๊อบบี้ของทางโรงแรม อาหารเช้าถูกวางไว้ที่โต๊ะรอเพียงแต่คนมานั่งกิน เขาเลือกที่จะไปนั่งยังโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ไวพจนั่งเคี้ยวอาหารโดยไม่สนใจใครจนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังแทรกเข้ามา

สวัสดีจ้ะ เพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่เหรอจ้ะ

ไวพจเงยหน้าขึ้นมาดูต้นทางของเสียง เจ้าของเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่นดูเป็นมิตรนั้นคือหญิงชราอายุน่าจะเลยเลข 8 ไปแล้ว แต่ถ้าทางของเธอนั้นยังดูแข็งแรงและสีหน้ามีความสุข ซึ่งต่างจากคนอื่นๆที่นั่งในโต๊ะเดียวกัน ที่ต่างดูท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่สนใจสิ่งใดๆรอบข้าง

ชะๆ...ใช่ครับ ผมเพิ่งจะเข้ามาอยู่ใหม่เมื่อ 4 วันที่แล้วนี่เองครับ

อ้าวเหรอ มาอยู่แล้วตั้ง 4 วันแล้วทำไมเพิ่งจะเห็นหน้ากันวันนี้เองล่ะ

ไวพจหันซ้ายแลขวาก่อนจะตอบหญิงชราคนนั้น

รู้แล้วอย่าไปบอกใครนะ คือวันที่สองที่ผมก้าวเข้ามาพอรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ความจริงคือสถานกักขังคนชรา ผมพยายามจะหนีออกไป จึงโดนลงโทษถูกกักอยู่แต่ในห้องพัก 3 วัน

หญิงชราระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เรียกความสนใจจากคนอื่นๆที่นั่งกินข้าว ไวพจท่าทางตกใจเล็กน้อย เมื่อหญิงชราสงบเสียงหัวเราะลงได้ เธอก็ปลอบใจไวพจทันที

นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เธอเชื่อมั้ยว่าคนที่มาอยู่ที่นี่ทุกคน ไม่มีใครรู้เลยว่าสถานที่แห่งนี้ที่แท้จริงแล้วคือสถานที่แบบไหน ทุกคนล้วนถูกหลอกพาให้เดินเข้ามาที่นี่โดยลูกๆของพวกเขาเอง บางทีก็อ้างว่ามาเที่ยวบ้าง มาพักค้างคืนบ้าง เธอดูสิ

หญิงชราพูดถึงประโยคนี้พร้อมกับผายมือให้ไวพจมองดูไปรอบๆ เพื่อดูสถานที่ในอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บานกระจกที่มองทะลุออกไปเห็นหมู่มวลต้นไม่ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ

ที่แบบนี้ใครจะคิดกันเล่าว่าที่บ้านพักกักขังคนชรากัน เมื่อพวกลูกๆพาพวกเราเข้ามาในนี้แล้ว เช้าวันถัดไปพวกเขาก็แอบหนีไปโดยไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกลับมาเลย บางครั้งป้าก็คิดถึงพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับป้าแล้วมันก็แค้นใจ

มาถึงตรงนี้ นำเสียงของหญิงชราเริ่มสั่น แสดงให้ไวพจเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงที่มาจากเธอเอง เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศบนโต๊ะอาหารไว้ ไวพจจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เขาตักอาหารเข้าปากหนึ่งคำและค่อยๆบรรจงเคี้ยวเพื่อลิ้มรสรสชาติอาหาร ก่อนจะเอ่ยถามหญิงชรา

แล้วปกติในแต่ละวันคนที่อยู่ที่นี่เขาทำอะไรกันครับ และปกติป้าทำอะไรบ้างในแต่ละวัน

ไวพจใช้สรรพนามแทนหญิงชราว่าป้า เพราะเห็นเธอเรียกสรรพนามนี้แทนตัวเองก่อน หญิงชราหันซ้ายแลขวาก่อนจะตอบ

ก็คงไปออกกำลังกายบ้าง นั่งคุยกันบ้าง แต่พอเวลาผ่านไปนานๆพวกเขาก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ส่วนเรื่องที่ป้าทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยคุยกันที่อื่นนะ

ไวพจและหญิงชรานั่งคุยกันต่ออีกหลายเรื่องบนโต๊ะอาหาร พวกเขาไม่ถูกเพื่อนๆร่วมโต๊ะสนใจเลย บางคนทานอาหารเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไป
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งคู่แยกย้ายกันไปก่อนที่เวลาสายๆของวัน ไวพจจะเดินออกไปยังสวนกลางแจ้ง ใกล้กับกับโรงครัว เขาเห็นหญิงชราที่เจอกันก่อนหน้านี้บนโต๊ะอาหาร เธอนั่งบนม้าหินอ่อนหันหน้าออกไปทางกำแพงสูงใหญ่เหมือนกำลังนั่งรอใครบางคนอยู่

"สวัสดีครับคุณป้า เอ่อ..."

"เรียกป้าวิมลก็ได้จ้ะ"

หญิงชราหันมาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

"ผมนั่งคุยด้วยได้มั้ยครับ"

"เชิญจ่ะ"

ใบหน้าที่โศกเศร้าของหญิงชราเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร ไวพจเดินไปนั่งเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเดียวกันกับที่ป้าวิมลนั่ง พร้อมจ้องมองไปที่กำแพงใหญ่พลางสงสัยว่ามันมีอะไรบนกำแพง หญิงชราถึงได้จ้องมองมัน

"คุณป้าจ้องมองอะไรบนกำแพงเหรอครับ?"

"ป้ากำลังเป็นห่วงลูกของป้าอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง"

"ทั้งๆที่แกเป็นคนเอาป้ามาไว้ที่นี่น่ะเหรอครับ"

ไวพจพูดเสียงดังเล็กน้อย นึกแปลกใจว่าทำไมถึงยังต้องมีเยื่อใยให้กับลูกของเธอ

"ถึงเรื่องนั้นมันจะเกิดมาแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นลูกของป้าอยู่ดี ยังไงก็ตามแม่ต้องย่อมเป็นห่วงลูกอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง"

"ผมเข้าใจแล้วครับ"

"แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจของป้าอยู่ก็คือว่า ป้ารู้มาว่าคนที่วางแผนให้ลูกชายของป้าพาป้าเข้ามาอยู่ที่นี่ แท้จริงแล้วคือคู่แข่งทางธุรกิจของครอบครัวของป้า ป้าชะล่าใจมาตลอดและนึกไม่ถึงว่าพวกมันจะใช้วิธีนี้ในการกำจัดป้าออกมา"

"อ้าว! ทำไมต้องกำจัดป้าด้วยผมไม่เข้าใจ"

"เพราะว่าที่บ้านป้านั้นทำธุรกิจนำเข้าสินสินค้าจากต่่างประเทศ และบริษัทของป้าเป็นบริษัทที่ใหญ่มากซึ่งสามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้ ด้วยการตั้งราคาสินค้าที่ต่ำและเป็นธรรมในตลาด ทำให้คู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทเล็กกว่าไม่สามารถสู้ราคาได้ แม้ป้าจะวางมือจากธุรกิจและส่งต่อไปให้ทายาทหมดแล้ว แต่ป้าก็ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีได้"

"ดังนั้นแล้วคู่แข่งจึงต้องการกันป้าออกมาจากแผนธุรกิจ"

"ใช่แล้ว เจ้าหมอนั่นมันคงเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายป้าพาป้ามาขังไว้ในที่แบบนี้"

ไวพจทำสีหน้าเคร่งเครียด เขานึกถึงชะตากรรมของแต่ละคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ จะมีสักกี่คนกันนะที่เต็มใจที่จะเข้ามาอยู่เอง

"แล้วเธอล่ะ เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน"

ไวพจถึงกับสะอึกเมื่อเจอกับคำถามนี้ เขาค่อยเงยหน้าเพื่อสบตากับป้าวิมล

"ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่ผมต้องชดใช้เวรกรรม เรื่องมันยาว"

หญิงชรายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

"ไม่เป็นไร ป้ามีเวลาทั้งวัน ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แบบนี้มีเวลาเหลือเฟือจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลย"

ไวพจยิ้มร่าเป็นเชิงชอบใจในคำพูดของป้าวิมล เขาทำท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าอับอายนั้นให้ป้าวิมลฟัง

"ผมมีนิสัยเสียคือผมเป็นคนที่ติดการพนัน และในระยะหลังๆผมเริ่มเล่นมันหนักขึ้นๆ และมีอยู่หลายครั้งที่ผมเสียเยอะจนต้องไปขอเงินพี่ชายเพื่อเอาไปใช้หนี้การพนันของผม จนในที่สุดเขาคงทนไม่ไหวจึงส่งให้ผมมาอยู่ที่นี่แทนเพื่อป้องกันไม่ให้ผมไปเล่นการพนัน"

"อ้าว! อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ พี่ชายของเธอคงต้องการแค่ดัดนิสัยเธอแค่นั้นเองมั้ง เดี๋ยวเค้าก็คงมาเอาเธอออกไป"

"ผมรู้นิสัยพี่ชายของผมดี ผมไม่ไว้ใจเค้าหรอก และอีกอย่างหน้าที่การงานของผม ลูกเมียของผมอีก ผมคิดว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้ผมออกไปจากที่นี่"

"จริงรึ?"

ป้าวิมลร้องถามด้วยความแปลกใจ

"ผมก็พยายามหาวิธีอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง"

"เอาล่ะ ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง ป้าเคยดูหนังเกี่ยวกับการแหกคุก เราต้องมี 3 อย่างในการแหกคุก หนึ่ง เราต้องรู้กิจวัติและพฤติกรรมของสถานที่และผู้ดูแล สอง เราต้องรู้แบบแปลนสถานที่ และสาม เราต้องมีผู้ช่วยจากข้างนอกด้วย"

"อืม... ดูเหมือนเราจะยังไม่มีอะไรเลย"

"ไม่เป็นไร ไว้ค่อยคิดกันทีหลังก็ได้ ตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเที่ยงละ เดี๋ยวไปเจอกันที่โต๊ะอาหารละกันนะ"

ทั้งคู่แยกย้ายกันเพื่อเดินเข้าไปในตัวอาคาร ไวพจเดินเฉียดใกล้เข้าไปกับอาคารที่เป็นโรงครัว เขาพยายามเดินอ้อมไปอ้อมมาจนในที่สุด ไวพจก็มองเห็นถังขยะใบใหญ่ที่มีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่มีฝาปิดทึบ ที่พร้อมจะยกขึ้นบนหลังรถออกไป ไวพจคิดว่าเขาสามารถเข้าไปซ่อนตัวในนั้นได้ ไวพจตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้ป้าวิมลรู้

ไวพจนั่งดื่มชาร้อนบนโต๊ะในล็อบบี้ของโรงแรม เขาค่อยๆละเลียดกับรสชาติของใบชาชั้นดี นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไวพจไม่ได้ลิ้มรสความหอมของใบชาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยดื่มชาชั้นดีแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าในช่วงหลายๆปีมานี้เขาไม่ได้นั่งดื่มชาอย่างสงบสุขมานานแล้ว และเขาก็ไม่ได้สังเกตความหอมและวิเศษจากใบชามานานมากแล้วเหมือนกัน ไวพจจึงคิดว่าเวลานี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้มีความสุขจากการได้รับรสความหอมของชาในถ้วยอย่างแท้จริงสักที

ในล็อบบี้นี้ก็เปรียบเสมือนที่นั่งพักผ่อนของเหล่าคนชราทั้งหลาย มันคงจะดีกว่าให้นั่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักคนเดียว ที่นี่ยังพอได้เห็นผู้คนทำนู่นทำนี่บ้าง แม้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย ที่นี่ไม่มีช่องโทรทัศน์ให้ดู นโยบายของที่นี่ไม่ยอมให้แขกที่มาพักรับชมข่าวสารจากภายนอก เพราะพวกเขาคิดเอาเองว่าขาวสารมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์และการโต้เถียง จะมีก็เพียงแต่การเปิดวีดีโอละครไทยน้ำเน่าให้ได้เสพกันบ้าง

"ขอนั่งด้วยคนนะจ้ะ"

ป้าวิมลเดินเข้ามาทักไวพจ ก่อนที่เธอจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่รอให้ไวพจตอบรับก่อน ไวพจรีบกระดกชาที่เหลือในถ้วยลงคอ ก่อนที่เขาจะตอบรับ

"ว่ายังไง เธอจะเอาด้วยมั้ย?"

ป้าวิมลถาม ไวพจสะดุ้งมองหน้าเธอ

"เอาอะไรครับ?"

"ก็หนีออกจากที่นี่ไง"

"ป้าวิมลเอาจริงหรือครับ ผมยังรู้จักที่นี่ไม่ดีพอ"

"ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ป้าศึกษาที่นี่มาอย่างดีแล้ว รู้ทุกกิจวัตรในสถานที่แห่งนี้"

ไวพจทำสีหน้าเริ่มมีความหวัง เขาหันซ้ายแลขวาเล็กน้อย

"แล้วป้ารู้มั้ยว่ารถขนขยะจะเข้ามาเอาถังขยะออกไปทิ้งในวันไหน และเวลาไหน"

ป้าวิมลหยุดนิ่งไม่พูดอะไร ไวพจเริ่มไม่แน่ใจกับป้าวิมล แต่สักพักก็มีเสียงพูดออกมา

"รถจะเข้ามาจอดที่โรงครัวทุกๆเย็นวันเสาร์ และเช้ามืดวันอาทิตย์จะขนขยะออกไป ถามทำไมเหรอจ้ะ"

ไวพจทำหน้านิ่ง เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นป้าวิมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

"หรือว่า! เธอจะ..."

ไวพจรีบยกมือมาห้ามสิ่งที่ป้าวิมลกำลังจะพูดออกมา

"ครับ เราจะแอบซ่อนในนั้นและปล่อยให้รถขนขยะพาเราออกไป"

ไวพจพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"วันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว ถ้าเราจะหนีเราจะหนีพรุ่งนี้เลยหรือจะรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์ดี"

ไวพจถาม

"ป้าอยู่ที่นี่มา 6 เดือนก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้าให้อยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ รับรองป้าต้องบ้าตายแน่ๆ"

คำพูดของป้าวิมลหมายถึงว่าต้องการหนีในคืนวันพรุ่งนี้เลย

"งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน เรามีเวลาเตรียมตัวแค่วันนี้และเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง"

ไวพจพูดแบบนี้เพราะตอนนี้เป็นเวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกันมานั่งที่โต๊ะ ก่อนที่จานอาหารจะถูกน้ำมาวางบนโต๊ะ

ในตอนเที่ยง ทั้งคู่ออกมานั่งประชุมลับยังม้านั่งตัวเดิมในสวนกลางแจ้ง ไม่ห่างจากที่นี่มากนักเป้าหมายของพวกเขาคือตู้คอนเทนเนอร์บรรจุถุงขยะ ก่อนหน้านี้ไวพจเดินไปเปิดฝาเหล็กบนตู้ถังขยะดู ปรากฏว่ามีถุงขยะใส่เกือบจะเต็มความจุของตู้แล้ว

"เอายังไงดีครับป้า เป็นแบบนี้แล้วเราจะไปซ่อนในนั้นได้อย่างไร"

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ต้นไม้ในสวนกลางแจ้งพอมีที่ให้เอาถุงขยะไปซ่อนได้บ้าง เช้าพรุ่งนี้เราพอมีเวลาที่จะขนถุงไปซ่อนก่อนที่เราจะซ่อนตัวในนั้น"

"งั้นก็ตามนั้นครับ แล้วเราจะมาที่นี่ยังไงตอนก่อนเช้ามืด จะผ่านด่านยามที่เดินไปมาได้อย่างไร"

ป้าวิมลละสายตาจากไวพจ เธอหันไปทางอาคารที่พัก

"ยามกะกลางคืนที่เฝ้าดูแลในตัวอาคารจะมีอยู่ 2 คน ทั้ง 2 คนจะนั่งเฝ้าหน้าอาคารจนถึงตอนตี 4 คนหนึ่งจะออกมายืนดูดบุหรี่ประมาณ 5 นาทีก่อนที่จะออกมาเดินวนรอบสระว่ายน้ำ สนามเทนนิสและเดินย้อนกลับไปยังหน้าอาคารเหมือนเดิม ใช้เวลาที่ออกมาจากหน้าอาคารประมาณ 20 นาที"

"แล้วยามอีกคนนึงล่ะ?"

"ยามอีกคนก็จะนั่งเฝ้าอยูที่เดิม"

"แล้วเราจะผ่านยามคนนั้นมาได้อย่างไร?"

"ทุกครั้งที่ยามคนนั้นถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เขาจะแอบงีบหลับจนกว่าเพื่อนยามอีกคนจะเดินกลับมาปลุก ดังนั้นแล้วเรามีเวลาแค่ช่วงตี 4 ถึงตี 4 ยี่สิบนาที และที่สำคัญช่วงเวลานั้นก็จะไม่มีใครเฝ้าหน้าจอมอนิเตอร์จากกล้องวงจรปิด ทำให้เราหมดกังวลเรื่องกล้องวงจรตามทางเดินได้"

"แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามนั้น"

ป้าวิมลหันหน้ามาทางไวพจ และตอบเขาอยางมั่นใจ

"ป้าแอบเฝ้าดูกิจวัตินี้มาตลอดหลายเดือนแล้ว มันไม่เคยผิดเพี้ยนไปจากนี้เลยสักครั้งเดียว เอาเป็นว่าตอนตี 3 เราจะมาเจอกันที่ล็อบบี้"

"โอเคครับ"

ไวพจตอบรับเสร็จ ทั้งสองก็ย้ายกันเพื่อเตรียมตัวในการหนี ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย เป็นไปตามที่ป้าวิมลคาดการณ์ นาฬิกาบอกเวลาเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 และเข็มสั้นชี้ไปที่เลข 4 ยามคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและถือไฟฉายพร้อมเสื้อคลุมเดินออกไปตรงทางเดินไปยังสระน้ำ เขาควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า และจุดมันสูบ

ทั้งสองคนค่อยๆย่องตามทางเดินตามแผนที่พวกเขาวางไว้ ป้าวิมลมองเห็นยามที่นั่งเฝ้าหน้าอาคารนอนงีบลงไป ตอนนี้แม้หน้าจอจากกล้องวงจรปิดจะฉายให้เห็นว่ากำลังมีคนจะหนี แต่ก็ไม่มีใครเห็นภาพบนหน้าจอนั้น เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นทั้งสองก็สามารถเดินมาถึงยังตู้เหล็กสำหรับบรรจุถุงขยะขนาดใหญ่ ไวพจเปิดฝาเหล็กออกในนั้นมีถุงขยะเต็มไปหมด

"เธอย้ายมันไหวมั้ย เอาไปซ่อนที่ต้นไม้ทางนั้น"

ป้าวิมลพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังสวนกลางแจ้ง ที่ตอนนี้บรรยากาศมืดสนิท ไวพจลองยกถุงขยะ

"สบายครับ"

ไวพจพูดเสร็จก็ขนถุงออกไปซ่อนจนข้างในตู้มีที่ว่างพอให้ทั้งสองซุกกายเข้าไปซ่อนอยู่ได้

"โชคดีที่ขยะอยู่ในถุงมัดแน่นหนา ตอนแรกป้าคิดว่าจะเหม็นซะอีก ตอนนี้ตี 4 ครึ่งแล้ว อีกไม่นานคนขับรถคงจะมาแล้ว"

เวลาผ่านไปอีก 10 นาที คนขับรถก็มาตามที่ป้าวิมลว่าไว้จริงๆ เสียงเปิดประตูรถดังพอให้ทั้งสองได้ยิน คนขับรถเดินวนรอบๆรถเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ทันใดนั้นเขาเห็นถุงขยะอีกใบที่ไวพจลืมยกไปซ่อนข้างต้นไม้ คนขับรถจึงเดินไปหยิบถุงขยะเพื่อจะนำไปใส่ในตู้เหล็ก

คนขับรถเปิดฝาตู้ขยะออก สิ่งที่เขาเห็นคือชายหญิง 2 คนนั่งอยู่ในนั้น ทั้งป้าวิมลและไวพจก็เกิดอาการตกใจไม่แพ้คนขับรถ ด้วยความตกใจ คนขับรับตะโกนเรียกยาม 2 คนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าอาคาร

"รปภ. ๆ !!"

เสียงตะโกนดังลั่นเงียบลงเพราะป้าวิมลใช้มือข้างหนึ่งมาจับที่แขนของคนขับรถไว้ คนขับรถเห็นแหวนบนนิ้วมือของป้าวิมล 3 วง แต่ละวงประดับไปด้วยเพชรพลอยเม็ดโต รวมถึงสอยแขนบนข้อมือของป้าวิมลด้วยแล้ว เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

"เธอต้องช่วยป้าออกไปจากที่นี่นะ แล้วป้าจะสมนาคุณให้อย่างงามเลย"

ป้าวิมลพยายามต่อรองให้เร็ว เพราะคิดว่ายาม 2 คนกำลังรีบวิ่งมาจากหน้าอาคาร คงใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที ส่วนคนขับรถเมื่อเห็นก้อนเงินอยู่ตรงหน้าก็ตาโต แต่เขาก็ยังลังเลเรื่องบางเรื่องอยู่

"ถ้าผมถูกจับได้ว่าพาคนหนี ผมคงตกงาน"

ป้าวิมลล้วงหยิบกระเป๋าเงินใบหรูขึ้นมา เธอหยิบนามบัตรออกมาหนึ่งใบและยื่นให้คนขับรถ

"ป้าเป็นกรรมการบริษัทนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ป้าจะให้เธอมาทำงานด้วยหากเธอช่วยป้า"

สีหน้าของคนขับรถไร้ความลังเลใดๆ เขามองไปที่ยามทั้ง 2 ที่ตอนนี้กำลังจะเดินลัดสระว่ายน้ำมา

"เข้าไปซ่อนในนั้นเลยครับ เดี๋ยวข้างนอกนี้ผมจัดการเอง"

ป้าวิมลยิ้มดีใจที่เธอสามารถต่อรองได้ทันเวลา ในขณะที่สีหน้าของไวพจเริ่มผ่อนคลายลงจากก่อนหน้านี้ที่เขาดูเหมือนกับจะสิ้นหวังแล้ว คนขับรถรีบปิดฝาถังก่อนที่ยามทั้ง 2 จะเดินมาถึง

"มีอะไรให้ช่วยครับ"

"อะ... คือว่าผมเห็นถุงขยะวางอยู่ข้างนอกรถถุงหนึ่ง ตอนแรกตกใจคิดว่าใครจะมาคุ้ยถุงขยะ แต่เช็คความเรียบร้อยแล้วครับ คิดว่าพ่อครัวคงจะลืมวางไว้ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ"

คนขับรถพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ ยามทั้ง 2 เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพวกเขาจึงเดินกลับไปที่หน้าอาคาร จากนั้นคนขับรถก็ขึ้นรถและขับมันออกไป

"ผมขอโทษทีนะครับ ถุงขยะเมื่อกี๊นี้ผมลืมยกไป เกือบทำให้แผนการของเราล้มเหลว"

"ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว เราควรจะดีใจที่แผนการเรายังดำเนินต่อไปได้ อ๊ะ! แย่แล้ว"

"เกิดอะไรขึ้นครับ?!"

"ก่อนที่รถจะผ่านประตูออกไป จะมียามที่เฝ้าหน้าประตูมาเปิดฝาตู้เพื่อตรวจดูข้างในก่อน"

สีหน้าของไวพจที่เพิ่งจะดีขึ้นกลับแย่ลงไปเหมือนเดิม เมื่อเขารู้ว่ายังมีอุปสรรคขวางหน้าอยู่

"แล้วเราจะทำอย่างไรดีครับ"

"ตอนนี้ก็คงได้แต่ภาวนาว่า ขอให้คนขับรถช่วยพวกเรา"

เหตุการณ์เป็นไปตามคำขอของป้าวิมลพูด คนขับรถพยายามโน้มน้าวไม่ให้ยามมาเปิดฝาตู้

"วันนี้อย่าเปิดฝาตู้เลยครับ มีถุงขยะแตกหนึ่งถุง คิดว่าคงจะเป็นถุงที่ค้างมาเกือบอาทิตย์นึงแล้ว เหม็นมากจนแทบจะเป็นลม"

ยามที่เฝ้าหน้าประตูเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ทำท่าทางเหมือนเอามือกุมจมูกและรีบโบกมือให้รถผ่านออกไปโดยเร็ว รถแล่นออกไปสู่ถนนใหญ่ ทั้งป้าวิมลและไวพจรู้แล้วว่าพวกเขาสามารถหนีออกมาได้ คนขับรถจอดรถข้างทางเมื่อขับออกมาจากโรงแรมได้ไกลแล้ว และไปเปิดฝาตู้คอนเทนเนอร์ให้ทั้ง 2 ออกมา

"เอาล่ะครับ เราคงต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว"

"ขอบคุณมากนะจ้ะพ่อหนุ่ม แล้วเธอติดต่อป้ามาตามเบอร์โทรในนามบัตร เพื่อคุยเรื่องข้อตกลงของเรา"

รถขนขยะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ไวพจมองดูรอบกาย เขารู้สึกถึอิสรภาพขึ้นมาอีกครั้ง แม้ไวพจจะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ไม่นานนัก ไม่ต่างอะไรจากป้าวิมลเลย ที่เธอตอนนี้ก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากหลังจากที่เธอถูกกักขังไว้ในสถานที่แห่งนั้นนานหลายเดือน

"เราคงจะต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้วใช่มั้ยครับ ผมว่าจะหาต่อรถเขาไปในเมือง"

"เดี๋ยวป้าคงจะโทรหาคนรู้จักให้มารับที่นี่ ถ้าไม่รังเกียจก็ให้ป้าไปส่งก็ได้นะ"

ไวพจก็คิดว่าดีเหมือนกัน เขาตอบรับ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินหาตู้โทรศัพท์

ในระหว่างกำลังรอรถมารับ ป้าวิมลเอ่ยถามเรื่องราวที่ไวพจเคยเล่าให้ฟัง

"ป้าจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าถูกพวกนักเลงไล่ทวงเงินอยู่ แล้วเธอจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?"

เมื่อไวพจได้ยินคำถาม เขาทำหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เขาคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือแอบหนีกลับเข้าไปอยู่ในโรงแรมแห่งนั้นก็น่าจะดี แต่ไวพจก็ไม่ได้พูดมันออกมาเพราะคิดว่าคงจะไม่กลับไปอยู่ในนั้นจริงๆ และไวพจก็ยังไม่มีคำตอบใดๆให้ป้าวิมล

"เอาอย่างนี้มั้ย ป้าจะให้ยืมเงินเพื่อให้เธอเอาไปใช้หนี้พวกนักเลง เธอจะได้ออกมาอยู่ข้างนอกได้อย่างสบายใจ"

"จะๆ จริงหรือครับ"

ไวพจเหมือนเห็นอุโมงค์ทางออกสว่างขึ้น

"จริงสิ เดี๋ยวป้าจะเซ็นเช็คให้ แล้วเธอต้องสัญญานะว่าจะเลิกเล่นการพนัน"

"เลิกครับเลิก ผมสัญญา และเงินทุกบาทผมจะหามาคืนให้ป้า"

รถเก๋งคันหรูมารับทั้งคู่ออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ป้าวิมลพาไวพจไปที่ออฟฟิศของเธอเพื่อรับเช็ค

"นี่จ้ะ เช็คเงินสด"

ไวพจยกมือไหว้ก่อนจะรับกระดาษแผ่นนั้นมา

"เดี๋ยวผมขอตัวลาก่อนครับ จะรีบเอาเช็คใบนี้ไปใช้หนี้ แล้วหลังจากนั้นผมต้องรีบไปหาใครบางคน"

"โอเคจ้ะ ป้าก็มีเรื่องที่จะต้องสะสางด้วย"

ทั้งคู่ล่ำลากัน จากนั้นไวพจก็นั่งแท๊กซี่เพื่อเอาเงินไปจ่ายให้พวกนักเลง เมื่อเสร็จธุระที่แรกไวพจรีบนั่งแท๊กซี่ไปยังโรงแรมเอ็มลอร์ด เพื่อไปหาพี่ชายของเขาทันที

โรงแรมระดับ 5 ดาวใจกลางเมือง ความหรูหราของที่นี่ไม่เป็นสองรองใคร ไวพจเดินตรงเข้าไปและแจ้งกับพนักงานต้อนรับว่าต้องการพบกับเจ้าของโรงแรม พนักงานกดเบอร์โทรศัพท์และคุย จากนั้นจึงเดินมาแจ้งให้ไวพจขึ้นไปหาพี่ชายของเขา

"แกออกมาได้อย่างไรกัน"

พี่ชายของไวพจพูดด้วยน้ำเสียงตระหนก

"เรื่องผมจะออกมายังไงไม่สำคัญ แต่เรื่องที่พี่ส่งผมเข้าไปอยู่ในนั้นพี่คิดได้ยังไงกัน"

"แกก็รู้ว่าถ้าแกอยู่ข้างนอกแกก็จะโดนพวกนักเลงนั่นทำร้าย ที่ชั้นทำไปก็เพราะว่าอยากช่วยแกต่างหากเล่า"

"แต่นี่มันเรื่องใหญ่นะ มันคือการกักขังเหนี่ยวกันเลยทีเดียว"

"ชั้นรู้ๆ แต่ชั้นคงไม่ให้แกอยู่ที่นั่นไปตลอดหรอกน่า"

ไวพจแทบจะอดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็ไม่รู้จะไปคาดคั้นอะไรกับพี่ชาย จึงได้แต่เพียงแสดงสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น

"เอาน่าๆ เดี๋ยวชั้นจะช่วยเหลือแกเรื่องเงินก็ได้ ถือว่าหายกันนะ โอเคมั้ย"

ไวพจทำท่าทางไม่ยอมรับข้อเสนอ ตอนนี้เขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแล้ว พี่ชายของเขาเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะปล่อยให้เรื่องมันค่อยๆเงียบไป

"เอ่อ เดี๋ยวชั้นจะมีการประชุมผู้บริหาร แกนั่งเล่นในนี้ไปก่อนก็ได้นะ"

เมื่อพูดเสร็จ เจ้าของเสียงก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ไวพจอยู่สงบสติอารมณ์ในห้องคนเดียว ไวพจนั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟาสักพักเพื่อให้อารมณ์เย็นลง เขานึกถึงอดีตที่ถูกพี่ชายกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ไวพจไม่เคยเอาคืนพี่ของเขาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไวพจคิดว่าครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โดนพี่ชายเล่นแรงๆอีกครั้ง

ไวพจลุกจากโซฟากำลังจะกลับบ้าน แต่ในสันดานเขาที่ติดพนันบอลงอมแงมก็ขอแค่ให้ได้รู้ราคาแทงบอลก็ยังดี ไวพจเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของพี่ชายที่เปิดค้างไว้อยู่เพื่อจะเปิดเว็บไซต์พนันบอลเพื่อดูราคา สายตาของเขาไล่ดูไอคอนบนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมเว็บบร๊าวเซอร์ เขาเห็นไฟล์เอกสารหลายสิบไฟล์วางอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไวพจรู้สึกรำคาญที่เขามองหาไอคอนที่ต้องการไม่พบ แต่เขาก็ไปสะดุดกับไฟล์ๆหนึ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ไวพจเกิดความคิดขึ้นในหัวจนทำให้มีรอยยิ้มที่มุมปาก

เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง พี่ชายของไวพจเดินกลับมายังห้องทำงานของเขา เมื่อเปิดประตูเขาเห็นไวพจยังนั่งเล่นอยู่บนโซฟาตัวเดิม

"อ้าว! ยังไม่กลับเหรอ?"

"ยังพี่ ผมว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็ผ่่านไปแล้ว ผมก็ไม่ติดใจอะไรอีก และเราสองคนก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่ ผมเลยคิดว่าคืนนี้เราน่าจะไปออกเที่ยวยามราตรีกันหน่อยดีมั้ย"

"ก็ได้ ตามใจแกแล้วกัน งั้น 2 ทุ่มคืนนี้เจอกันที่ร้านเดอะฮิลล์ พรุ่งนี้วันหยุดเราไปเมากันให้เต็มที่เลย"

พี่ชายของไวพจหัวเราะชอบใจ

เวลา 2 ทุ่มตรงที่ร้านเดอะฮิลล์ ไวพจมารอก่อนหน้านี้แล้ว เวลาผ่านไปสัก 10 นาทีพี่ชายของเขาก็โผล่มา

"สั่งอะไรไปหรือยัง"

"ก็นิดหน่อยแล้ว รอพี่มาสั่งเพิ่ม"

"น้อง! สั่งอาหารหน่อย เอาบรั่นดรี 12 ปีมาด้วยหนึ่งขวด"

ทั้งสองนั่งกินดื่มกัน ในบรรยากาศที่สนุกสนานมีดนตรีคลอ เมื่อเริ่มดื่ม ไวพจพยายามที่จะไม่ดื่มเหล้า เขาแค่จิบๆเท่านั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เพราะเขากลัวว่าความเมาจะทำให้แผนการที่ไวพจเตรียมไว้นั้นล้มเหลวเสียก่อน

"ไอ่น้อง แกรู้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้ชั้นประสบความสำเร็จในเรื่องการทำธุรกิจ"

ฝ่ายพี่ชายที่เริ่มเมาแล้วพยายามเปิดประเด็นเพื่อพูดข่มน้องชาย

"อะไร"

"คนที่จะประสบความสำเร็จร่ำรวยจากธุรกิจได้นั้น สิ่งแรกเลยที่เขาต้องมีก็คือ..."

"ความรู้เหรอ"

ไวพจลองตอบเพราะพี่ชายเว้นวรรคคำพูดให้

"ไม่ใช่ สิ่งแรกที่ต้องมีคือความเหี้ยม เราต้องมีความเหี้ยมพอที่จะฟันกำไรจากลูกค้าให้ได้มากที่สุด ดูอย่างโรงแรมของชั้นสิ เงินที่ลงทุนประดับประดาโรงแรมให้ดูสวยหรู ก็เพื่อจะดูดเงินจากบรรดาคนที่เข้ามาพักให้ได้มากที่สุด แล้วแกล่ะ ออฟฟิศวางระบบคอมพิวเตอร์ ถึงลูกค้าแกจะเยอะขนาดไหน แต่กำไรที่ได้ต่อครั้งมันน้อย ทำให้แกไม่รวยสักทีน่ะสิ"

ฝ่ายพี่ชายเริ่มเมาแล้ว น้ำเสียงเริ่มดังและฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ไวพจก็สามารถจับใจความได้

"แล้วความรู้ล่ะ ไม่สำคัญเหรอ"

"เฮ้ย... ความรู้น่ะทำให้คนเป็นทาส ดูอย่างแกสิ จบโทมาแต่ก็ทำได้แค่ออฟฟิศระบบคอมพิวเตอร์ ได้งานมาทีแกก็ต้องออกไปจัดการเองตลอด ไม่มีลูกน้องเป็นของตัวเอง ขอแค่มีเงินเราก็สามารถไปจ้างคนที่มีความรู้มาทำงานให้เราได้ ไอ่พวกที่จบสูงๆเนี่ย มันไม่ค่อยกล้าที่จะออกไปทำอะไรของตัวเองหรอก หวังมีเงินเดือนประจำสูงๆก็พอแล้ว"

"อืมมม แต่ผมก็มีความสุขกับออฟฟิศของผมแล้ว แม้มันจะไม่ใหญ่และทำกำไรให้ไม่มาก"

พี่ชายของไวพจกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว ก่อนที่จะพูด

"นี่แกจะบอกว่าพอเพียงกับชีวิตสมถะของแก เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว... สุดท้ายแล้วคนก็จะไขว่คว้าอำนาจ บารมีกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็ต้องใช้เงิน"

"แต่จุดมุ่งหวังของคนเราก็ไม่เหมือนกันนะพี่..."

"แล้วแกเคยเห็นใครมั้ยที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียง แม้จะเคยเห็นมาบ้าง แต่แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นแค่ไม่มีโอกาสที่จะไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นได้ ขอแค่ให้ลู่ทางแก่คนเหล่านั้นสิ รับรองมูมมามทุกราย"

"ก็อาจจะเป็นแบบพี่ว่า"

ไวพจรู้ว่าแนวของพี่ชายก็เป็นแบบนี้ เขาเลยเลิกที่จะโต้เถียงใดๆปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปพร้อมกับปริมาณเหล้าในขวดที่ลดลงเรื่อยๆ และในที่สุดพี่ชายของไวพจก็เมาเต็มที่

ทั้งสองกลับบ้านโดยที่ไวพจอาสาที่จะขับรถไปส่งพี่ชายที่บ้าน ขับไปได้ไม่นานฝ่ายพี่ชายก็เผลอหลับไปโดยไม่ได้สติ

.....


....


...


..


.

พี่ชายของไวพจค่อยๆลืมตา เขาเห็นห้องพักสุดหรูซึ่งไม่คุ้นเคยมาก่อน พลางคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาคงเมามาก ไวพจเลยมาเปิดโรงแรมที่ไหนสักแห่งให้นอน พี่ชายของไวพจพยายามลุกจากเตียงเพื่อไปควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อคลุม แต่เขาหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ พี่ชายของไวพจเริ่มหัวเสีย กระเป๋าเงินก็หาไม่เจอ เขารีบออกจากห้องเพื่อลงไปหาพนักงานที่อยู่ชั้นล่าง เมื่อเขาออกมาจากห้องก็เริ่มรู้สึกคุ้นๆว่าเคยมาสถานที่แห่งนี้

พี่ชายของไวพจจำได้ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างว่า แท้จริงแล้วโรงแรมแห่งนี้คือโรงแรมของเขาเอง ที่จะรับฝากดูแลคนชรา เขาหัวเราะดังลั่นและบ่นในลำคอว่า 'อำกันแรงจังนะ'

"เอ่อ... คุณครับผมขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้มั้ยครับ"

พี่ชายของไวพจเดินไปที่ห้องสำนักงานเพื่อขอใช้โทรศัพท์จากพนักงานหญิงชรา เธอชี้นิ้วไปที่เครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงาน

พี่ชายของไวพจกดเบอร์โทรศัพท์เข้าหมายเลขตัวเอง เพราะเขาคิดว่าน้องชายคงเก็บโทรศัพท์ของเขาไว้ให้ แบะเป็นไปตามนั้นเมื่อไวพจน์รับสาย

"นี่แก รีบมารับชั้นออกจากโรงแรมเร็วๆ"

"อะไรกันพี่ชาย อยู่ที่นั่นก็สุขสบายดีนี่ไม่เห็นต้องรีบออกมาเลย"

เสียงปลายสายตอบกลับ ทำให้อารมณ์ของพี่ชายเริ่มขุ่น

"อย่ามาล้อเล่นกันน่า รีบมาเลยนะ"

"ก็ได้ครับ งั้นไว้รอผมเสร็จธุระกับลูกค้าผมก่อน แล้วจะรีบไปรีบพี่ทันทีเลย"





"อืมดี งั้นเอาธุระแกให้เสร็จก่อนก็ได้ ชั้นจะได้พักผ่อนที่นี่ ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้อยู่สถานที่สงบๆแบบนี้มานานมากแล้ว แล้วแกจะมารับชั้นกี่โมง ขอไม่เกินเย็นนี้นะ"

"คงจะไม่ทัน เพราะผมกำลังขึ้นเครื่องบินไปคุมไซท์งานที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับก็อีก 3 เดือน พี่ก็อยู่พักผ่อนที่นั่นยาวไปเลยละกันนะเห็นถามหาที่สงบๆอยู่ไม่ใช่รึ"

ไวพจพูดเสร็จเขาก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

"นี่แก! ไม่เป็นไรเดี๋ยวชั้นเรียกแท็กซี่มารับก็ได้"

"โธ่ๆ พี่คิดว่าโรงแรมนั้นจะเหมือนกับโรงแรมทั่วไปหรือ ที่จะเข้าออกได้ตลอดเวลา เมื่อวานตอนที่พี่ออกไปประชุมและปล่อยให้ผมอยู่ที่ห้องคนเดียว ผมแอบไปเปิดคอมและเห็นแบบฟอร์มสำหรับส่งคนเข้าไปอยู่ในนั้น ผมกรอกรายละเอียดของพี่แบบปลอมๆ พร้อมติดรูปของพี่ไป และผมก็แอบปลอมลายเซ็นของพี่ลงไปด้วย ผมยื่นเอกสารนี้ตอนเอาพี่ไปส่งเมื่อคืน พอเจ้าหน้าที่เห็นเอกสารก็เชื่อสนิทว่าพี่คือคนชราที่ถูกส่งมาโดยญาติๆเหมือนคนอื่น"

พี่ชายของไวพจได้ยินดังนั้นก็เริ่มโวยวายเสียงดัง

"เชอะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จำหน้าชั้นได้"

"ไม่มีทางหรอก เจ้าหน้าที่หญิงชราคนนั้นบอกว่าเจ้าของโรงแรมไม่เคยโผล่หัวไปที่นั่นเลย ไม่มีใครที่นั่นจำหน้าของพี่ได้อย่างแน่นอน"

"ถ้าอย่างนั้นชั้นจะโทรเรียกหุ้นส่วนของโรงแรมนี้มายืนยันตัวตนของชั้น"

"คงจะทำแบบนั้นไม่ได้ครับ"

"ทำไมล่ะ!!"

"ผมเขียนลงในหมายเหตุของใบส่งตัวระบุว่า จะอนุญาตให้แขกใช้โทรศัพท์ได้ครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้นให้คอยดูแลห้ามให้ใช้โทรศัพท์เด็ดขาด ตอนนี้คงมีเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่ผิวขาวผมยาวมายืนคลุมพี่อยู่ข้างหลังก็ได้ เพราะเขาคนนั้นเข้มงวดมากกับกฎระเบียบ อ้อ... ผมขอเตือนพี่ก่อนนะว่าอย่าทำให้พ่อหนุ่มนั่นโกรธเชียวล่ะ"

เสียงหัวเราะปลายสายดังขึ้น พี่ชายของไวพจหันหลังไปดูข้างหลังของเขา และเขาถึงกับตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มผิวขาวร่างใหญ่ ผมยาวหวีผมเรียบแปล้ยืนเฝ้าดูเขาอยู่

"อ้อ... ถ้าพี่ไม่อยากอยู่ที่นั่นนาน มีทางเดียวคือเมื่อวางโทรศัพท์แล้วให้พี่รีบวิ่งหนีออกจากโรงแรมไปเลย เหมือนกับที่ผมทำนี่ไงถึงออกไปเจอพี่เมื่อวานได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอวางสายก่อนนะ โชคดีนะพี่"

"ดะๆ เดี๋ยวๆ ..."

เสียงปลายสายวางไปแล้ว พี่ชายของไวพจคิดได้ถึงประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากไวพจ เขาค่อยๆเดินออกจากห้องสำนักงาน เมื่อเดินออกมาถึงหน้าอาคาร เขารีบวิ่งหนีออกไปทางเดินแคบๆที่มีสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด และอีกไม่กี่ก้าวเขาก็จะสามารถวิ่งออกสู่ถนนใหญ่ได้ แต่ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยก็โผล่ออกมาขวางประตูทางออก

พี่ชายของไวพจถูกล็อคแขนโดยเจ้าของมือนุ่มร่างใหญ่ผิวขาว ในที่สุดเขาก็ถูกลากตัวมานั่งที่โต๊ะของพนักงานชรา ใบหน้าที่แลดูเคร่งเครียดและจริงจังของหญิงชราหมกมุ่นอยู่กับกองเอกสาร และเธอก็เงยหน้าขึ้นมาดูคนที่เพิ่งพยายามจะหลบหนี

"คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร"

หญิงชราและเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่มองหน้ากัน เหมือนคุ้นๆว่าจะเคยมีใครเล่นมุกนี้ไปแล้ว

"คุณเป็นใครคะ?"

หญิงชราถาม

"ผมเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้"

เสียงหัวเราะจากทั้งหญิงชราและเจ้าหน้าที่หนุ่มดังลั่นเนิ่นนาน เขาทั้งสองคงคิดว่าไม่น่าจะมีแขกคนไหนกล้าเล่นมุกนี้

"เอาอีกแล้วๆ ครั้งแล้วก็เพิ่งจะมีคนมาแอบอ้างว่าเป็นน้องชายของเจ้าของโรงแรม มาคราวนี้คุณเล่นมาบอกว่าเป็นเจ้าของโรงแรม"

หญิงชราพูดทั้งๆที่ยังมีเสียงหัวเราะเจือปนอยู่ พี่ชายของไวพจแสดงสีหน้าไม่ถูก

"แต่จริงๆนะ ผมถูกน้องชายแกล้งเอามาอยู่ที่นี่ตอนผมหลับ ไม่เชื่อเดี๋ยวเอาบัตรให้ดู"

พี่ชายของไวพจความหากระเป๋าเงิน แต่เขาก็นึกได้ว่ากระเป๋าก็หายไปแล้วเช่นกัน

"กระเป๋าไม่อยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวผมลองเซ็นชื่อให้ดูละกัน แล้วลองเอาไปเทียบกันกับเอกสาร"

พี่ชายของไวพจรีบเอื้อมมือไปหยิบปากกาบนโต๊ะ แต่เขารีบร้อนไปจนทำให้กล่องใส่ปากกาที่มีเครื่องเขียนอยู่ในนั้นเต็มกล่องหล่นกระจายลงบนพื้น และเหตุการณ์นี้ทำให้มือนุ่มจากร่างใหญ่เข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของพี่ชายไวพจไว้

"เลิกเล่นตลกได้แล้วค่ะ โทษของคนที่พยายามจะหลบหนีคือถูกกักบริเวณไว้ในห้องพักเป็นเวลา 3 วัน และต่อไปถ้ามีใครมาแอบอ้างเป็นคนนู้นคนนี้อีก ก็จะมีบทลงโทษด้วย"

พนักงานหญิงชราพูดจบก็ก้มหน้าลงเพื่อจัดการกับกองเอกสาร ในขณะที่เจ้าหน้าที่หนุ่มกำลังลากพี่ชายของไวพจขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน

"ชั้นไล่แกออก! แกด้วย คอยดูเถอะจะไล่ออกให้หมดเลย ปล่อย... ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้"

พนักงานหญิงชราเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร เหมือนจะฉุนขาดกับคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน

"กักบริเวณเพิ่มอีก 4 วันเป็น 1 อาทิตย์เลย"

เสียงร้องโวยวายจากพี่ชายของไวพจยังดังต่อเนื่อง จนเขาถูกลากตัวขึ้นลิฟท์ไป

...

ที่คฤหาสน์หรูหลังหนึ่ง ห้องรับแขกกว้างขวางและถูกประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราราคาแพง ทั้งห้องอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของคน 2 คน คนหนึ่งคือไวพจ และอีกคนหนึ่งคือป้าวิมลซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังโตหลังนี้

"ทำแบบนี้มันไม่หนักไปหน่อยเหรอ นั่นพี่ชายเธอนะ"

ป้าวิมลพูดด้วยหัวเราะไปด้วย ไวพจก็ยังหัวเราะไม่หายเหมือนกัน เมื่อเขายังนึกถึงน้ำเสียงของพี่ชายในการคุยโทรศัพท์ครั้งล่าสุดนั้น

"ก็ให้พี่ชายของผมได้รู้ซะบ้าง ว่าลูกค้าของเขานั้นจะรู้สึกอย่างไรกัน"

เสียงหัวเราะจากทั้ง 2 ดังลั่นอีกครั้ง สักพักทั้งคู่ก็ค่อยสงบจากการหัวเราะ

"ผมคงปล่อยพี่ชายผมไว้ไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวก็จะไปรับเร็วๆนี้ แล้วลูกชายป้าเป็นอย่างไรบ้างครับ ป้าได้ต่อว่าอะไรมั้ย?"

"อ๋อ... ไม่หรอก ลูกชายป้าเริ่มระแคะระคายอยู่แล้วว่านั่นมันคือแผนจากคู่แข่งทางธุรกิจ เขาก็ตั้งใจว่าจะไปรับป้าออกมา แต่ก็ช้าไปแล้วที่ป้าออกมาก่อน และลูกชายป้าก็ขอโทษป้าแล้วล่ะ จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ นั่นมันลูกชายป้า"

ไวพจยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น

"ผมได้ยินแบบนั้นก็สบายใจแล้วครับ อ้อ! แล้วพนักงานขับรถขนขยะ คนที่ช่วยเราหนีออกมาล่ะ ป้าได้เจอเขาหรือยัง"

ป้าวิมลชี้นิ้วไปที่โถงทางเดิน

"นั่นไง มานู่นแล้วไง"

ชายหนุ่มคนที่ขับรถพาป้าวิมลและไวพจหนีออกมาจากโรงแรม เดินหิ้วถุงของกินเข้ามา เขาวางของลงบนโต๊ะ และยกมือไหว้คนทั้ง 2

"สวัสดีครับ นี่ครับผมซื้อของกินสำหรับเลี้ยงงานฉลองของเรา"

"อ้าว เธอมาทำงานที่นี่แล้วเหรอ"

ไวพจหันหน้าไปพูดกับชายหนุ่ม แต่ป้าวิมลก็ชิงตอบ

"ใช่แล้วล่ะ เขาลาออกจากบริษัทแล้วมาอยู่กับป้าเลย ป้ากำลังขาดคนขับรถประจำตัวอยู่พอดี"ทั้ง 3 ช่วยกันจัดโต๊ะอาหาร ป้าวิมลหยิบขวดเหล้าราคาแพงมาเปิดกิน เสียงหัวเราะจากคน 3 รุ่นดังลั่นเหมือนทั้ง 3 เป็นเพื่อนวัยใกล้ๆกัน


วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หนูน้อยหมวกแดง



สาวิตรีขับรถเก๋งคันใหญ่สีแดง ฝ่าถนนมืดสลัวที่มีเพียงแสงไฟจางๆ จากหลอดไฟข้างถนนที่ฝุ่นจับเขรอะ จนแสงไม่สามารถทะลุออกมาจากหลอดได้ทั้งหมด มีเพียงแสงไฟหน้ารถที่สว่างแรงพอ ที่จะไล่ความมืดมิดออกจากพื้นถนนได้ แสงไฟจากหลอดไฟข้างถนนแม้จะสว่างไม่มาก แต่มันก็ยังแรงพอที่จะส่องเข้ามาในตัวรถ เผยให้เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ปิดไม่สนิท มีปึกเงินโผล่ออกมาจากช่องกระเป๋า หากในกระเป๋ามีปึกเงินเต็มกระเป๋านี้ มันคงมีเงินสัก 100 ล้านบาท


"นี่คือสถานที่ๆถูกระบุมาจากคนส่งยา เธอต้องไปตามพิกัดแผนที่นี้ สินค้าจะมาถึงคืนพรุ่งนี้ 5 ทุ่มตรง เฮโรอีนอัดแท่ง 50 กิโล พรุ่งนี้เธอต้องกลับมาพร้อมกับมัน"


"หนูน้อยหมวกแดง" คือฉายาของเธอเนื่องมาจากเสื้อคลุมยาว มีหมวกฮูปคลุมทั้งหัวและมันเป็นสีแดง ซึ่งเสื้อคลุมตัวนี้พ่อค้ายาเสพติดที่เธอกำลังจะไปพบให้เธอที่เธอพบเขาเป็นครั้งแรก สาวิตรีเป็นสาวใจแตก ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับยาเสพติด


อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าพ่อค้ายาได้เรียกเธอมาพบและบอกว่าให้ไปรับยา เธอรับคำพลางหยิบกระเป๋าเป้สะพายใส่เงินจำนวน 100 ล้านบาท ก่อนเธอจะเดินออกไปหัวหน้าร้องสำทับตามหลงว่า


"เธอห้ามออกนอกเส้นทางที่กำหนด ห้ามคุยกับคนแปลกหน้า คนส่งยารอยู่แล้วอีกอย่างเธอจะกลับมาพร้อมยาช้ากว่ากำหนด ได้ยินไหม?"


หนูน้อยหมวกแดงรับคำหัวหน้าอีกครั้ง และเธอก็มุ่งหน้าไปที่จุดนัดหมาย ซึ่งอยู่ห่างออกไป 320 กิโลเมตร


สถานที่นัดหมายที่คนส่งยานัดไว้ ต้องผ่านถนนท่ามกลางทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ แสงไฟข้่างถนนริบหรี่ มีเพียงต้นไม้ริมทางไม่กี่ต้นที่แสดงเส้นแบ่งระหว่างถนนกับทุ่งหญ้า ข้างหน้ามีร้านอาหารเล็กๆ มีป้ายไฟและรถจอดหลายคัน เธอแวะพัก


สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่สาวิตรีที่เปิดประตูเข้าร้าน เด็กเสิร์ฟสาวกำลังง่วนกับการเดินอาหาร หนุ่มถ้าทางผอมแห้งนั่งโต๊ะใกล้ทางเข้าร้าน ชายหนุ่มใหญ่ 2 คนกำลังจับอาหารยัดเข้าปากนั่งโต๊ะถัดไป กลุ่มหนุ่มสาว 5 คนล้อมวงกินอาหารบนโต๊ะท้ายร้าน สาวิตรีนั่งโต๊ะถัดจากหนุ่มผอมแห้ง สายตาเธอคล้ำ แก้มตอบผอมไม่ต่างจากหนุ่มที่นั่งถัดจากเธอ เมื่อสาวิตรีสั่งอาหารจนกระทั่งเด็กเสิร์ฟยกชุดแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซฟราย น่องไก่ทอดพร้อมน้ำอัดลม หนุ่มผอมแห้งเข้ามากระซิบข้างหูเธอ


"อยากเสพยามั้ย? มีแบ่งให้ฟรีๆเลย ถ้าสนใจเจอกันหลังร้าน"


หนุ่มขี้ยาผอมแห้งคนนั้น คงเห็นถ้าทางของสาวิตรีก็รู้แล้วเป็นขี้ยา เขาอยากหาเพื่อนที่จะเมาด้วยกัน ไม่นานสาวิตรีก็วางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะ เธอเดินออกมาโดยทิ้งอาหารที่กินไปเพียงนิดเดียวไปยังหลังร้าน ชายหนุ่มคนนั้นกำลังใช้เข็มฉีดยาปักลงไปที่ข้อมือ สาวิตรีเห็นพิธีกรรมที่คุ้นเคย สรวงสวรรค์กำลังรอเธออยู่ข้างหน้า


เธอชักชวนให้หนุ่มผอมแห้งนั้นไปในรถเธอ เพื่อสำหรับมีเซ็กซ์กันหลังจากที่ทั้งคู่กำลังเมายา หนุ่มขี้ยารับคำเชิญ


ทั้งคู่กำลังร่วมรักกันอย่างเมามันบนเบาะท้าย เมื่อเธอฉีดยาเข้าเส้นเลือดตัวเอง โลกใหม่ในใบเดิมที่เธอคุ้นเคยอีกครั้ง โลกที่ไม่มีความกังวลไร้ความขัดแย้งใดๆในจิตใจ


เธอยังเมาอยู่แต่หนุ่มขี้ยาเริ่มหายเมาแล้ว เขาเหลือบไปเห็นเงินปึกใหญ่หลุดออกมาจากกระเป๋า หนุ่มคนนั้นถามสาวิตรีว่าเงินมาจากไหนมากมาย


"หัวหน้าให้ฉันเอาเงินไปซื้อเฮโรอีน"


"เธอจะไปซื้อที่ไหน?"


"พิกัด GPS จะนำทางไป"


สาวิตรียังอยู่ในอาการเมา เธอตอบไปตามความจริงทุกอย่าง สาวิตรีพูดเสร็จก็เมาหลับไปชั่วครู่


ไม่นานนักเธอตื่นขึ้นพร้อมทบทวนเหตุการณ์ และคำพูดที่เธอเพิ่งจะพูดกับหนุ่มคนนั้น สาวิตรีตกใจ! เธอรีบหันไปดูกระเป๋าที่ใส่เงิน ทุกอย่างอยู่ครบ แต่หนุ่มคนนั้นจากไปแล้ว แต่สาวิตรียังคงตกใจอยู่ เมื่อคิดถึงเวลาที่เธอทำหายไปเกือบ 2 ชั่วโมง เธอรีบบึ่งรถออกไปบนถนนสายเปลี่ยว วิ่งฝ่าความมืดบนท้องถนน


สาวิตรีเร่งคันเร่งชดเชยเวลาที่ขาดหายไป ในที่สุดเธอก็มาถึงบ้านร้างหลังนั้น ตามที่ GPS นำทางมา สาวิตรีจอดรถและดับเครื่องยนต์ก่อนเดินไปเปิดประตูบ้าน เธอตกใจร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนส่งยานอนจมกองเลือด หัวถูกลูกปืนแม็กนั่มยิงกระจุยจนไม่เหลือโครงหน้าเดิม สิ่งที่เธอคิดตอนนี้เรื่องเดียวคือ 'ยาอยู่ไหน' ถ้าไม่ได้ยากลับไปเธอคงโดนซ้อมปางตายเหมือนคย


ยังไม่ทันที่สาวิตรีจะควานหากระเป๋ายา ชายหนุ่มขี้ยาที่เพิ่งจะร่วมรักกับเธอก็ก้าวเดินออกมา พร้อมปืนแม็กนั่มกระบอกโต


"ถ้าไม่อยากตายก็วางกระเป๋าเงินลง แล้วรีบหนีไป"


"แกมาที่นี่ทำไม แล้วมาได้อย่างไร?"


สาวิตรีถามอย่างแปลกใจ


"ก็จะมาเอายาน่ะสิ รอให้แกหอบเงินมาด้วย ชั้นมาที่นี่ได้เพราะพิกัด GPS ของเธอไง ส่วนคนส่งยาชั้นก็ส่งมันไปนรกแล้ว ถ้าเธอยังไม่อยากตายก็รีบไปซะ ก่อนที่ชั้นจะเปลี่ยนใจ"


สาวิตรีไม่ตกใจ เธอยังคงทำหน้านิ่งพร้อมวางกระเป๋าเงินลงข้างตัวเธอ และเดินออกไปจากบ้านหลังนั้นพร้อมปิดประตู เธอเดินไปเปิดกระโปงหลังรถเก๋งสีแดงขงเธอ หยิบปืนกลออกมาพร้อมตลับกระสุนนับสิบ


หนุ่มขี้ยาค่อยๆเดินมาที่กระเป๋าเงินที่สาวิตรีทิ้งไว้ ขณะที่เขากำลังก้มตัวลงไปหยิบกระเป๋า ลูกกระสุนปืนกลพุ่งเฉียดหัวหนุ่มขี้ยาไปอย่างหวุดหวิด เขาหมอบแนบติดพื้น เมื่อสายฝนกระสุุนชุดแรกหมดหนุ่มขี้ยารีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปชั้น 2 ของตัวบ้าน สาวิตรีเปลี่ยนตลับกระสุนปืนกล ก่อนจะระดมยิงอีกครั้งจนกระสุนหมด เธอเปลี่ยนตลับกระสุนและเดินเข้าไปถีบประตูบ้าน 'เงินยังอยู' เธอคิด หนุ่มขี้ยายิงปืนแม็กนั่มมาจากชั้น 2 บริเวณบันไดใส่วาวิตรี กระสุนพลาดเป้า สาวิตรีม้วนตัวหลบไปอยู่หลังชุดโซฟา หนุ่มขี้ยายิงอีกครั้งที่โซฟา


หนุ่มขี้ยาเห็นสาวิตรีเงียบไป คิดว่าเธอคงตายอยู่หลังโซฟา แต่ยังไม่กล้าที่จะลงไปดู เขายิงไปอีก 3 นัดซ้อนจนโซฟากระจุยไม่เหลือชิ้นดี แต่! หลังโซฟานั้นไม่มีสาวิตรี สาวิตรีม้วนตัวหลบไปอยู่หลังตู้ที่อยู่ถัดไปจากโซฟานานแล้ว เธอโผล่มาอีกครั้งพร้อมสาดกระสุนอีกหนึ่งชุดเข้าใส่หนุ่มขี้ยาคนนั้น แต่เขาหลบได้ทัน...


ทั้งคู่ยังคงสู้กัน เสียงปืนดังสนั่นลั่นท้องฟ้าที่เป็นทุ่งกว้าง ตำรวจวัยกลางคนขับรถเข้ามาตามเสียงปืน เขาจอดรถไว้ห่างจากตัวบ้าน พร้อมหยิบปืนลูกซองติดมือเดินมายังหน้าบ้าน ตำรวจคนนั้นคิดว่ามีคน 2 คนกำลังยิงปืนสู้กัน คนหนึ่งอยู่ชั้นบน อีกคนอยู่ชั้นล่าง ตำรวจตัดสินใจกระโดดปีนขึ้นหน้าต่างชั้นบน เขาแอบเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่ให้คนในบ้านรู้ตัว เมื่อเข้าไปในตัวบ้านได้แล้วตำรวจเห็นหนุ่มขี้ยากำลังยิงปืนสู้กันกับคนที่อยู่ข้างล่าง ตำรวจเล็งลูกซองไปที่หัวของขี้ยาและเหนี่ยวไกทันที


'เปรี้ยง!'


สาวิตรีตกใจเสียงปืนที่ดังลั่น เธอสงสัยว่าใครยิงปืน แต่เสียงปืนแม็กนั่นของหนุ่มขี้ยาหายไปแล้ว สาวิตรีค่อยๆเดินย่องขึ้นบันไดไป เพื่อไปดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเห็นศพหนุ่มขี้ยาในสภาพหัวแตกกระจุยกระจาย


สาวิตรีไม่ทันสังเกตุเห็นตำรวจที่ค่อยๆย่องมาข้างหลังเธอ เสียงฝีก้าวท้าวจังหวะสุดท้ายของตำรวจ เดินสะดุดพื้นไม้เกิดเสียงดังทำให้สาวิตรีหันหน้ามาเห็นตำรวจ แต่ไม่ทันที่เธอจะปัดป้องด้ามปืนที่ถูกฟาดใส่หัวของเธอ สาวิตรีนอนสลบด้วยฤทธิ์ด้ามปืน


ตำรวจเดินสำรวจภายในตัวบ้านร้าง เขาพบกระเป๋าใส่เงินจำนวนมาก และยังเห็นกระเป๋าใส่เฮโรอีนอีกหลายสิบแท่ง ตำรวจเดินไปที่รถของเขา พร้อมหยิบกล่องไม้คู่ใจออกติดมือออกมา และกลับไปในตัวบ้าน


ตำรวจเปิดกล่องไม้ออกและหยิบเข็มฉีดยาออกมา พร้อมหลอดแก้วสำหรับผสมเฮโรอีนลงในน้ำ เขาแกะห่อเฮโรอีนที่เจอและผสมมันอย่างช่ำชอง ก่อนจะหงายข้อมือที่เต็มไปด้วยรอยเข็มฉีดยา เฮโรอีนเกรดที่ดีที่สุดทำให้ตำรวจติดใจและฉีดมันอีกเข็ม เขาเคลิ้มหลับในขณะที่เข็มยังปักคาเส้นเลือดที่แขนของเขา


สาวิตรีฟื้นขึ้นมาด้วยอาการปวดบริเวณหัวที่ถูกด้ามปืนฟาด เธอยังไม่หายตกใจที่ตำรวจในเครื่องแบบโผล่มาได้อย่างไร สาวิตรีหยิบปืนกลที่อยู่ข้างตัวเธอขึ้นมา และเดินลงไปชั้นล่าง เธอเห็นตำรวจขี้ยานอนสลบคาเข็ม เธอจึงเข้าใจว่าตำรวจคนนี้คงจะเสพยาเกินขนาด ทำให้สลบคาเข็ม สาวิตรีไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้ง่าย เธอฝังกระสุนเขาที่หัวของตำรวจ


สาวิตรีหยิบกระเป๋าทั้ง 2 ใบขึ้นรถเก๋งสีแดง เธอขับออกไปอย่างไม่รีรอ ระหว่างทางที่เธอขับรถกลับบ้าน เธอหัวเราะเสียงดังลั่น สาวิตรีรู้สึกโชคดีที่ครั้งนี้เธอได้ยามาโดยไม่เสียเงินสักบาท


พอหัวหน้ารู้ว่าสาวิตรีได้ยามาโดยไม่เสียเงินสักบาท หัวหน้าให้เฮโรอีนเธอหนึ่งแท่งเป็นรางวัล ต่อมาไม่นานสาวิตรีก็นอนตายคาเข็มฉีดยา เนื่องจากเสพยาเกินขนาด เพราะเฮโรอีนชุดนี้บริสุทธิ์มาก


เรื่องสั้นเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 'อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจขี้ยา หรือแม้แต่ตำรวจก็ให้ระวังไว้ด้วย และสุดท้าย อย่าไปเกี่ยวข้องใดๆกับยาเสพติด



วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เยื่อใยสุดท้าย







กานต์ค่อยๆใช้นิ้วโป้งจากมือทั้งสองข้าง ค่อยๆบรรจงไล่กดไปตามเส้น บริเวณกระดูกสันหลังทั้งสองข้าง นิ้วมือทั้งสี่ที่เหลือของแต่ละมือ แผ่หลาไปลูบไล้แผ่นหลังด้านข้างของปียานุช สร้างความเสียวซาบซ่านไปทั่วร่าง เนื่องจากเธอไร้ซึ่งเครื่องคลุมใดๆ บนร่างกาย แม้อายุจะเริ่มเข้าเลข 4 กลางๆแล้ว แต่ด้วยความเอาใจใส่ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณ และใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงมาตลอด ทำให้เธอยังคงดูอ่อนวัย ไร้ร่องรอยของความกร้านโลกใดๆ ต่างจากชีวิตการทำงานของปียานุช ที่มีลูกน้องที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเธอนับร้อย


ด้วยความที่เธอได้ชื่อว่า 'ผู้หญิงแกร่ง' นั่นยิ่งตอกย้ำให้ชายหนุ่มรอบข้างตัวเธอ ต่างพร้อมใจกันหวั่นเกรง เกรงกลัว ไม่กล้าเข้ามาจีบปียานุช และด้วยลักษณะท่าทางที่ดูมาดมั่น มั่นใจเกินชายใดๆ นั่นก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก ที่จะมีชายไหนจะกล้าคุยกับเธอฉันชู้สาวได้ คืนนี้เป็นคืนพิเศษ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วาจาอ่อนหวานชวนหลงไหล บริการเอาอกเอาใจโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวคำพูดใดๆ เพราะเธอใช้เงินพูดแทนในสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว


"เส้นที่หลังแข็งมากเลยครับ แสดงถึงความตรึงเครียดของร่างกาย ที่ไม่ค่อยจะผ่อนคลาย บางทีมันอาจจะออกมาจากภาวะความตรึงเครียด จากจิตใจของคุณพี่เองน่ะครับ"


กานต์พูดพร่ำด้วยน้ำเสียงเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเลื่อนมือลงมาเหนือสะโพกและออกแรงกดลงไป ทรวดทรงร่างกายที่อยู่ภายใต้สายตาของกานต์ ไม่บอกก็ดูไม่รู้เลย ว่าเจ้าของร่างนี้คือหญิงอายุสี่สิบกลางๆแล้ว สะโพกและก้นที่กระชับไม่มีส่วนเกิน เกิดจากการออกกำลังเป็นประจำ


"พี่ครับ พี่ชอบความผ่อนคลายนี้มั้ยครับ ผมอยากทำให้พี่รู้สึกสะบายทั้งกาย และใจ ก่อนที่ผมจะเริ่มงานจริงๆ ถ้าพี่สาวไม่ชอบใจตรงไหน พี่บอกผมได้นะครับ"


"..."


กานต์เลื่อนมือไล่ลงมาตามท่อนขา และค่อยๆใช้แรงมือคลึงตามกล้ามเนื้อ เขาค่อยๆกดบีบกล้ามเนื้อ เขาสัมผัสมือลูบไล้ไปตามโคนขา ที่ผิวหนังเรียบเนียนขาวเหมือนผิวเด็กสาว พลางคิดถึงการเอาใจใส่ดูแลร่างกายนี้ อย่างพิถีพิถัน


"พี่ครับ ต่อไปผมจะช่วยยืดหลังให้พี่ มันจะช่วยให้เลือดส่งไปเลี้ยงอวัยวะภายใน ทำให้สมดุลย์ต่างๆภายในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีปัญหาครับ พี่ช่วยกรุณาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ และเอามือประสานกันไว้ที่ท้ายทอยครับ"


กานต์พูดจบปียานุชก็ลุกขึ้นนั่ง และทำท่าทางตามที่กานต์บอก เมื่อปียานุชนั่งหลังตรงและยกมือประสานไว้ที่ท้ายทอย ทำให้หน้าอกของเธอชูชันตั้งตรง กานต์เห็นถึงความเต่งตรึงบนเนินอกของปียานุช ยอดปทุมถันสีชมพูอ่อนแสดงให้เห็นว่าเธอ เป็นคนที่มีสีผิวขาวอย่างแท้จริง กานต์เข้าประกบตัวของเขาเข้าไปที่หลังของปียานุช และใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างสอดเข้าใต้รักแร้ของเธอ กานต์ไขว้แขนขึ้นไปจนมือทั้งสองข้าง ไปประสานกันที่ท้ายทอยของปียานุข และจากนั้นเขาก็ยกตัวสูงช่วยดึงช่วงไหล่ของปียานุชให้ยืดออกจากลำตัว มาถึงตอนนี้ ร่างกายที่เปลือยเปล่าและกำยำของกานต์ ก็ได้แนบเนื้อสนิทกับแผ่นหลังที่เนียนเรียบ เหลือเพียงแต่ท่อนล่างของเขาที่มีเพียงกางเกงบางๆห่อคลุมไว้ เนื้อผ้านุ่มของกางเกงที่กานต์สวมใส่ ก็ได้ถูกถูไถและแนบชิดกับแผ่นหลังช่วงล่างของปียานุชเช่นกัน


"หายใจเข้าช้าๆนะครับ เมื่อหายใจเข้าจนสุดปอดแล้ว ให้ค้างลมหายใจไว้ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆปล่อยลมหายใจให้ไหลออกมา พร้อมเปิดปากเล็กน้อย ให้ลมออกมาทางนั้นด้วย"


ปียานุชทำตามคำสั่ง อย่างว่าง่าย ผู้ชายที่สามารถออกคำสั่งกับเธอได้นั้น ก็คงมีเพียงแต่ประธานบริษัท หรือกรรมการบริหารแค่บางคนเท่านั้น แต่นี่เป็นแค่เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย ไม่มีฐานะตำแหน่งใดๆ และปียานุชก็พร้อมทำตามคำบัญชาทุกอย่างงของกานต์ แม้จะเพียงแค่ในคืนนี้


"สุดท้ายครับ ผมจะนวดหน้ากดจุด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคาง กล้ามเนื้อมุมปาก กล้ามเนื้อแก้ม และกล้ามเนื้อใต้ตาแล้ว ยังช่วยให้ระบบน้ำเหลือง การไหลเวียนโลหิตบริเวณใบหน้าไหลเวียนดี"


กานต์คลายมือและแขนของเขา และค่อยๆใช้มือกุมที่ข้อมือของปียานุชอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเลื่อนมือของเธอลงมาวางไว้ที่ข้างตัว กานต์ขยับตัวมานั่งต่อหน้าปียานุช สายตาของทั้งคู่ประสานกัน โดยไม่มีใครสักคนที่จะถอนสายตาออกก่อน ใบหน้าที่กานต์จ้องอยู่นั้น คือใบหน้าของหญิงสาว ที่ดูอย่างไรก็ยังดูเยาว์วัย มีเพียงแต่สายตาคู่นั้นของเธอ ที่แฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความเหงา ความอัางว้าง ความโดดเดี่ยว โดยปกติแล้วเธอมักจะหลบซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ ไม่ให้ใครมองเห็นได้ง่าย แต่คืนนี้เธออ่อนแรงมากเกินกว่าที่จะแกล้งเสแสร้ง ทำเป็นเข้มแข็งได้อีกต่อไป ปียานุชต้องการเผยความอ่อนแอนี้ ให้ใครสักคนมาช่วยรับรู้นานแล้ว แต่ด้วยตัวตนและหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่คนรอบข้างมุ่งหวังในตัวเธอ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้น


นิ้วมือนุ่มๆวางลงตรงหน้าผากกึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้ง 2 จากนั้นไล่ยาวลงมาถึงขมับของปียานุช กานต์ออกแรงคลึงเบาจนเริ่มรู้สึกว่า ปียานุชเริ่มพอใจ จากนั้นเขาใช้มือลากเส้นตั้งแต่หางคิ้ว ถึงหัวคิ้ว ทั้งขอบตาบนและล่าง สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกัน ในตอนนี้ไม่ปียานุชต้องมนต์สะกดของกานต์ กานต์ต้องมนต์สะกดของปียานุช หรือทั่งคู่อาจต้องมนต์สะกดซึ่งกันและกันก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนกานต์จะมีแรงดึงดูดมากกว่า ซึ่งทำให้ปียานุชโน้มศรีษะเข้ามา และบรรจงประกบริมฝีปากของเธอ ลงบนริมฝีปากของเขา บทรักของทั้งคู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างรุ่มร้อน สองร่างโผเข้ากอดกัน


.....


.....


.....


กานต์หลับสนิทไปแล้ว โดยสังเกตุได้จากเสียงกรนในลำคอเบาๆ ปียานุชที่นอนขดตัวอยู่ใต้ท่อนแขนหนาๆ และเรือนอกแผ่นกว้างของกานต์ และดวงตาคู่ที่ดูอ้างว้างนั้นยังคงลืมตาค้าง เธอยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้สัมผัส ในรสแห่งกาม นานเท่าไหร่แล้วที่เธอเคยสัมผัสมัน ความทรงจำในเรื่องนี้มันเลือนลางเกินกว่าที่จะปะติดปะต่อภาพได้ เธอพยายามหาคำตอบว่า นี่คือความสุขใช่หนือไม่? และในตอนนี้ในจิตสำนึกของเธอก็พร้อมแล้ว ที่จะตอบว่า 'ใช่' เพราะความปราถนาเมื่อสักครู่นี้ เธอต้องการมัน และพอใจในมันอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ในห้วงแห่งความปรารถนานั้น เธอก็ไม่มีความต้องการสิ่งอื่นใดอีกเลย


นานเท่าไหร่แล้ว ที่ปียานุชสามารถที่จะนอนหลับอย่างมีความสุข ความรู้สึกในตอนนี้ของเธอ คงเหมือนกับหญิงสาวที่พบกับคนรัก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆของเธอนั้น คือความสงสัยว่า นี่คือความรัก ความผูกพันธ์ หรือเป็นแค่ความต้องการในเพศรสกันแน่ และอีกสิ่งหนึ่งที่กวนใจเธออย่างมากในตอนนี้ คือเธอจะเหนี่ยวรั้งสิ่งนี้ให้อยู่กับเธอได้อย่างไร ในเมื่อกานต์นั้นคือผู้ชายขายบริการ ซึ่งเป็นบริการชั้นดี ที่เธอยอมจ่ายหนักเพื่อแลกมันมา เมื่อตื่นเช้ามาพรุ่งนี้ ก็ต้องลาจากกันแล้ว เธอค่อยๆหลับตาลง และจมหายไปกับนิทรา


"พี่ครับๆ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้วครับ ผมอยากร่ำลาพี่สาวของผม ก่อนที่ผมจะไปครับ"


เช้าแล้ว แต่ปียานุชยังคงหลับสบาย ในวันหยุดพักร้อนของเธอ ที่ขอลางานหลังจากทำโปรเจคชิ้นใหญ่เสร็จ เสียงพูดของกานต์เข้าไปในความฝันของเธอ เพื่อปลุกให้เธอตื่น ปียานุชค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งที่เธอเห็นคือ เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงแสล็คสี่ส่วนสีน้ำตาล เส้นผมบนหัวที่หวีเรียบไม่กระดิก ด้วยเจลใสใส่ผม และรอยยิ้มรอยนั้นของเขา ที่ทำให้ปียานุชเผลอยิ้มออกมาให้เห็น


"พี่สาวยิ้มแล้ว ผมนึกว่าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้จากพี่ซะแล้ว"


เมื่อโดนทักเรื่องรอยยิ้ม ปียานุชพยายามหุบยิ้มทันที


"พี่ครับ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย คือผมไม่รู้ว่าพี่นั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ผมทำให้พี่มีความสุขมั้ย? พี่ชอบมันมั้ย?"


"..."


ปียานุชยังไม่ตอบ แต่สีหน้าของเธอเริ่มแสดงออกถึงความพึงพอใจ กานต์ยังคงยิ้มให้เธอ


"ไหนๆเราสองคนก็จะจากกันแล้ว ผมไม่อยากให้ความรู้สึกนี้มันค้างคาใจ ผมขอเยื่อใยสุดท้ายของพี่ที่จะมีต่อผมได้มั้ย"


ปียานุชเบิกตาขึ้น มุมปากเริ่มมีรอยยิ้ม ก่อนจะพูดคำพูดประโยคแรก นับตั้งแต่เธอเจอกับกานต์


"เธอคือสิ่งที่วิเศษที่สุด ในชีวิตของพี่"


สายตาของกานต์ แสดงความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ในใจเขาก็คิดเพียงว่า นี่คือคำพูดเล่นๆของอีกฝ่ายเท่านั้น คงจะไม่จริงจังตามที่พูดสักเท่าไหร่นัก


"พี่ก็คือคนพิเศษสำหรับผมเช่นกันครับ"


นานมากแล้วเหมือนกัน ที่กานต์ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงที่สวยและหุ่นดีเช่นเธอ สำหรับคำพูดเมื่อสักครู่นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่พูดเกินความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย แต่ประโยคที่กานต์พูดออกมา ได้ทำให้หัวใจของปียานุชพองโตขึ้น


"หากพี่ต้องการใช้บริการผมอีก พี่สามารถติดต่อไปที่สถานบริการของผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน"


เสียงปิดประตูดัง ทำให้ปียานุชกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เย็นวันนี้เธอต้องขึ้นเครื่องเพื่อกลับไปทำงานในเมืองใหญ่ เธอลาหยุดพักร้อนมาหลายวันแล้ว แต่หลายวันก่อนหน้านั้น ที่ต้องพักผ่อน ท่องเที่ยวอยู่คนเดียว ยิ่งทำให้ความเหงาทวีความรุนแรง ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก เธอจึงพยายามรวบรวมความกล้า เพื่อที่จะมาเที่ยวในสถานบริการแบบนี้ ในคืนสุดท้าย


เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน ปียานุชเฝ้าคิดถึงแต่กานต์ จิตใจพะว้าพะวังเกี่ยวกับเรื่องของเขา เหมือนกานต์คือสิ่งมาเติมเต็มชีวิตของเธอเอง ในหัวของเธอยังเฝ้าวนเวียน และครุ่นคิดอย่างหนักว่า ที่ว่าอยากให้กานต์มาอยู่กับเธออย่างจิงจัง เธออยากส่งเสียให้กานต์ได้เรียนหนังสือ และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า จะไปขอซื้อตัวกานต์มาจากสถานที่แห่งนั้น


ในอาทิตย์ถัดมา ปียานุชกลับมายังสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง และแน่นอน เธอจองตัวกานต์ไว้แล้ว แต่ครั้งนี้เธอพานกานต์ไปกินข้าว ยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยชักชวนให้เขาไปอยู่กับเธอ


"ผมขอขอบคุณในความกรุณาของพี่ครับ สิ่งที่พี่เสนอให้ผมมันคือโอกาสที่ดีที่สุด ในชีวิตผมเลย"


"แล้วเธอว่าอย่างไรล่ะ หากคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าอย่างนั้นก็รับข้อเสนอของพี่เลยมั้ย"


กานต์ยิ้มพร้อมทำแววตาซาบซึ้งใจ เขาเอื้อมมือไปกุมมือของปียานุช ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร และบีบมือของเธอเบาๆ


"พี่ช่างมีความกรุณาต่อผมมากจริงๆ แต่พี่จงคิดดูให้ดีเสียก่อน เราสองคนนั้นต่างกันมากเกินไป ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องอายุ แต่หมายถึงสถานะทางสังคมของเราสองคน พี่ก็รู้อยู่ว่าผมเป็นแค่ผู้ชายขายบริการ คงมีคำครหามากมายจากสังคม"


"ไม่เป็นไรหรอก พี่สามารถปกปิดอดีตของเธอได้ รับรองไม่มีคนอื่นรู้แน่นอน"


"ใช่ครับ ผมเชื่อว่าพี่สามารถหลอกให้คนอื่นเชื่อได้ ว่าอดีตผมเคยเป็นอะไรมาก่อน แต่ยังไงเราก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้หรอกครับ ว่าเราเคยเป็นอะไรมาก่อน"


สายตาของปียานุชยังคงไม่ยอมแพ้ ในการต่อลองทางธุรกิจ น้อยครั้งที่เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ นักธุรกิจชายหลายคน โอนอ่อนต่อคำถ้อยแถลงของเธอ และครั้งนี้เธอก็เชื่อมั่นว่าจะสำเร็จ ยิ่งข้อเสนอที่เธอพร้อมจะมอบให้นั้น ช่างเย้ายวนเหลือเกิน


_


"เธอไม่อยากมีการศึกษาดีๆ มีงานทำดีๆ มีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหรอ พี่สามารถให้เธอได้หมดทุกอย่าง"


"ผมอยากมีครับ ผมอยากมีทุกสิ่งที่พี่ว่ามา อยากมีเงินเพื่อส่งให้ทางบ้านบ้าง ส่งน้องเรียนให้จบ อยากให้พ่อแม่สบาย แต่การได้มันมาด้วยวิธีนี้ ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องนัก คอนนี้ผมก็พยายามเก็บเงินเก็บทองให้มากพอ ที่จะออกไปจากตรงนี้เหมือนกันครับ แต่ผมอยากที่จะเดินออกไปด้วยตัวเอง"


กานต์ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม เขาเบือนหน้าออกไปข้างๆ เหมือนมองออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ไกลโพ้น


"ผมมีความฝันของผมเหมือนกันครับ สิ่งที่ทำให้ผมยังยืนอยู่ได้อย่างมีความสุข ในทุกวันนี้เพราะผมมีความฝัน"


กานต์พูดเสร็จ ก็หันหน้ามามองที่ปียานุช ซึ่งตอนนี้เธอเริ่มสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะคิดว่ามีแววจะผิดหวัง


"เอาล่ะ เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พี่ก็ขอบอกเลยว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลยที่พี่ชอบเธอ"


ปียานุชเว้นจังหวะคำพูดไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากว่าตอนนี้เหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ


"ไม่สิ พี่ต้องบอกว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลย ที่พี่นั้นรักเธอ"


สีหน้าแววตาของปียานุชเริ่มแดง แสดงถึงความเขินอายที่เผยออกมา ไม่ต่างกันกับกานต์ ที่ยิ้มออกมาแบบอายๆ เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เธอจะนั่งอีกต่อไป ทั้งสองล่ำลากันและแยกย้ายกัน ปียานุชขับรถยนต์ที่เธอเช่ามากับที่พัก และในระหว่างนั้น น้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตาของเธอโดยไม่รู้ตัว หากแต่ว่าน้ำตานี้ไม่ได้ร้องออกมา เพราะความผิดหวังโศกเศราเสียใจใดๆ แต่เป็นเพราะว่าเธอซาบซึ้งในน้ำใจ และความจริงใจของกานต์ ที่ไม่หวังประโยชน์ใดๆกับตัวเธอเลย เพราะในชีวิตจริงของเธอนั้น ก็พานพบแต่ผู้ชายที่หวังเงินทองจากตัวเธอทั้งสิ้น ครั้งนี้จึงทำให้ความติดที่เกี่ยวกับผู้ชายของเธอ นั้นดีขึ้น


เมื่อกับมาถึงโรงแรม ปียานุชเดินผ่านบาร์เล็กๆของโรงแรม เธอเข้าไปนั่งและสั่งเครื่องดื่ม เสียงเพลงบรรเลงเปียโน ขับกล่อมค่ำคืนอันแสนเปลี่ยวเหงาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าค่ำคืนนี้พอจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอบ้าง


....


ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดเพลงเสียงดังแสงไฟสาดส่องลายตา ผู้คนบางกลุ่มโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา เข้าจังหวะกับเสียงเพลง แต่ยังมีมุมหนึ่งที่ห่างไกลจากเสียงจังหวะที่เร้าใจ ผู้คนต่างนั่งดื่มกินพูดคุยกันส่งเสียงดัง ชายคนหนึ่งกำลังก้าวเดินไปยังโต๊ะชุดโซฟา อย่างเร่งฝีเท้า จนเพื่อนๆที่อยู่ในโต๊ะก่อนแล้วเห็นเข้า


"ว้าย! นังกานต์ ไหนว่าติดงานไงยะหล่อน"


เพื่อนกระเทยคนแรกทัก


"วันนี้ชั้นโชคดีหน่อยเธอ ลูกค้าแค่พาไปนั่งกินข้าวเฉยๆ วันนี้เลยไม่ต้องทำอะไรที่สะอิดสะเอียนเหมือนทุกวัน"


กานต์ตอบ


"เอาล่ะๆ ดีแล้วที่นางมาได้ทัน เดี๋ยวอีก 20 นาทีจะมีโชว์เดินแบบผู้ชาย"


เพื่อนอีกคนพูด


เสียงกรีดร้องจากกลุ่มเพื่อนกระเทยทั้งโต๊ะ รวมทั้งกานต์ด้วย เมื่อจะได้เห็นเรือนร่างชายหนุ่มหล่อ ออกมาเดินนุ่งน้อยห่มน้อย หนือบางทีอาจจะไม่นุ่งเลย


"นี่ นังกานต์ แล้วลุงเดวิดที่เธอเคยเล่าให้ฟังน่ะ ที่เค้าจะพาเธอไปอยู่เยอรมันด้วย ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว"


เพื่อนกระเทยที่บอกเรื่องเดินแบบถาม


"ชั่นก็คุยกับลุงแกทุกวันนะ ผ่านอีเมล์ ตอนนี้ชั้นกำลังไปเร่งเรียนภาษา หากเรียนจบคอร์สเมื่อไหร่ ชั้นจะนั่งเครื่องไปหาแกเลย"


"ไม่รู้สินะ ว่าลุงแกติดใจอะไรเธอนักหนา ถึงขนาดจะให้ไปอยู่ด้วย คงจะไปอยู่กินกันเลยมั้งเนี่ย"


"ลุงแกชอบที่ชั้นชอบนวดให้ ชั้นอุตสาห์ไปเรียนมาโดยเฉพาะเลยนะ เวลานวดให้แขกคนไหน เป็นติดใจทุกราย ว่างๆพวกเธอก็ไปเรียนบ้างสิ เอาไว้หากิน"


เพื่อนๆทุกคนบนโต๊ะต่างตั้งใจฟัง สื่งที่กานต์เล่า บางคนหัวเราชอบใจ


กานต์หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง จ้องมองบนท้องฟ้า เหมือนกำลังมองไปยังสถานที่อันแสนไกล


"นี่ค่อความฝันของชั้น และมันใกล้จะเป็นจริงแล้ว"


นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...