วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องเหล้า : เชียงใหม่


 
รถทัวร์ปรับอากาศชั้น 2 กำลังจะถึงเวลาเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาหมอชิต ป้ายหมายเลขประจำช่องชานชาลาแสดงสถานีปลายทางเป็นเชียงใหม่ แสงแดดอ่อนเพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไปไม่นาน แต่อุณหภูมิที่ร้อนระอุในช่วงกลางเดือนเมษายนยังคงช่วยรีดเหงื่อไคลให้ไหลออกมาจากร่างกายใครหลายคนได้ดียิ่งนัก

ร้านรวงที่บริการน้ำดื่มบรรจุขวดแช่เย็นต่างทำกำไรได้ดีในช่วงเวลาที่ผู้คนต่างขาดน้ำและความเย็น น้ำอัดลมในขวดพลาสติกซ่าเย็นฉ่ำเชื้อเชิญให้บรรดาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาควักเงินไปแลกมันมาดื่ม โดยที่พวกเขาไม่เกรงกลัวความรุนแรงของกรดที่ใส่ลงไปในน้ำสีสดใสนั่นจะกัดเนื้อกระเพราะนิ่ม ๆ ไม่ต่างจากโบ้และอัดที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังถือขวดเครื่องดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อยอดฮิตขนาด 500 มิลลิลิตรในมือ และทั้งสองซัดโฮกน้ำในขวดกันคนละอึกสองอึกก่อนจะเดินขึ้นรถทัวร์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำรอไว้

แม้จะเป็นรถ ป.2 แต่ในตัวรถก็ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำขับไล่ความอ่อนล้าของทั้งโบ้และอัด พวกเขาเข้าไปนั่งยังเบาะนั่งหน้าสุด โบ้สูดหายใจยาวพร้อมมองออกไปกว้าง ๆ ทะลุกระจกรถ เขาเห็นสีหน้าผู้คนมากมายที่กำลังต่อสู้กับความวุ่นวายและความร้อนจากอากาศภายนอก รวมถึงบางคนสีหน้ายังแสดงความว้าวุ่นในใจดูพะว้าพะวังที่จะกลับไปพบญาติที่บ้านเกิดในวันปีใหม่ไทย

แต่การเดินทางของโบ้ในครั้งนี้ไม่ใช่การกลับไปพบญาติที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาเพียงแต่ต้องการไปเที่ยวเชียงใหม่โดยการติดตามอัดที่บ้านเกิดอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ อัดจะกลับไปเยี่ยมพ่อละแม่ทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์

“เชียงใหม่ ๆ จะได้ไปเชียงใหม่แล้วโว้ย” โบ้ทำเสียงตื่นเต้นจากการที่เขาจะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรก

“มึงเป็นบ้าอะไรวะ เชียงใหม่ก็แค่จังหวัด ๆ หนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นเอง” อัดพยายามพูดตัดรำคาญจากความกะดี๊กะด๊าของเพื่อน

“ก็เชียงใหม่เป็นเมืองสวยงามนี่ มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะ ธรรมชาติยังสดใหม่อยู่เลย น้ำตกก็ใสไหลเย็นเห็นตัวปลา กูอยากไปนอนแช่ในน้ำตกทั้งวันเลย มึงพากูไปด้วยนะ”

โบ้คิดถึงภาพธรรมชาติสวยงามที่เขาเห็นผ่านภาพสื่อหลายสื่อ ความจริงแล้วภาพถ่ายสวยงามเหล่านั้นมักจะถูกเซ็ทภาพมาก่อนอยู่แล้ว ทั้งการตกแต่งสถานที่จริงก่อนกดชัตเตอร์บันทึกภาพ และการตกแต่งภาพถ่ายด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ น้ำตกหลายแห่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวจริง ๆ ของคนในพื้นที่ ต่างถูกทำลายทัศนียภาพจนห่างไกลจากคำว่าธรรมชาติบริสุทธิ์ไปหมดแล้ว

อัดเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกผิดที่คิดว่าเขาอาจจะทำลายความคาดหวังเล็ก ๆ ของเพื่อนได้ บ้านของอัดอยู่ในตำบลเล็ก ๆ ในอำเภอจอมทอง ที่อำเภอแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมากมายทั้งน้ำตก ถ้า น้ำพุร้อน แม่น้ำ ฯลฯ แต่ทว่าสำหรับอัดนั้นที่เป็นคนในพื้นที่ เขากลับไม่มีความรู้สึกที่จะไปเหยียบย่ำสถานที่เหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีเขาก็ตอบตัวเองว่าเพราะเขาอาจจะเบื่อสถานที่เหล่านั้นเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก และเคยไปหลายรอบแล้ว

แต่ความทรงจำของอัดในช่วงหลัง ๆ มานี้ มันเป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายกับความสกปรกของสภาพแวดล้อมมากกว่า

“ได้สิ เดี๋ยวกูจะพามึงไปน้ำตกวังควาย ขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ไม่ไกล แต่มึงเตรียมซื้อถุงดำเก็บขยะไปด้วยนะ” อัดหันมาพูดกับโบ้พร้อมเบ้ปาก

“เอาถุงดำไปทำไมวะ” โบ้ถามด้วยความสงสัยสุดขีด

“เอาไปเก็บขยะจากที่พวกแม่งมากินทิ้งกินขว้างยังไงล่ะ พวกเหี้ยนี่ขนของขึ้นไปกินกัน พอกินเสร็จก็ทิ้งไว้ตรงนั้น คนเอาเตาถ่านขึ้นไปปิ้งไก่ปิ้งปลา พอปิ้งเสร็จก็เทขี้เถ้ากองไว้ตรงนั้นเลย เศษกระดูกไก่พอแทะเสร็จก็โยนเข้ากอไม้ข้าง ๆ บางคนก็โยนทิ้งน้ำ จานใส่อาหารที่เป็นกระดาษยังมีส้มตำ มีลาบที่ยังกินไม่หมดก็วางอยู่ตรงนั้นเลย ไอ่พวกนี้พอกินเสร็จก็วางทิ้งไว้ตรงนั้นเลย ขวดเหล้าที่กินหมดแล้ว แก้วพลาสติก ขวดน้ำขวดโซดา ก้นบุหรี่ ถุงขนมเต็มไปหมด” อัดระบายสิ่งที่เขาคิดออกมา “ถ้ามึงถือถุงดำขึ้นไปเก็บขยะนะ จะกลายเป็นนักท่องเที่ยวตัวอย่างเลย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วแถวนั้นไม่มีถังขยะให้ไปทิ้งเหรอ” โบ้ถาม

“มีสิ เจ้าหน้าที่ก็เอาถุงดำไปผูกไว้กับต้นไม้ให้คนเอาขยะไปทิ้งกัน แต่เรื่องแบบนี้อยู่ที่จิตสำนึกน่ะ”

“แบบนี้ก็ไม่ไหวว่ะ พวกนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าไปทำลายธรรมชาติ” โบ้บ่นบ้างพร้อมทำหน้าเซ็ง

“ไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นหรอก นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะให้ความเคารพกับสถานที่ที่พวกเขาไป เพราะคนพวกนี้ต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในที่ต่าง ๆ จนเคยชิน คนที่ทิ้งขยะก็เป็นพวกคนในพื้นที่แหละ คนในอำเภอนี้เลยที่ขึ้นไปกินทิ้งกินขว้าง”

“แย่ ๆ” โบ้พูด “แล้วน้ำตกที่อื่นล่ะ เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดมั้ย”

“ไม่หรอก มันขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่น่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสันดานของนักเที่ยวหรอก น้ำตกดี ๆ สวย ๆ ในเชียงใหม่ก็มีเยอะ แต่มันไกลบ้านกูมาก ไม่มีเวลาพาไปว่ะ”

“เออ ๆ งั้นกูไม่ไปน้ำตกละ” โบ้ล้มเลิกแผนเที่ยวน้ำตก

 

ผู้โดยสารทยอยเดินขึ้นรถ พนักงานตรวจนับจำนวนคนจนมั่นใจว่าครบถ้วน เด็กประจำรถจึงตะโกนบอกคนขับให้เคลื่อนรถออกจากชานชาลา รถเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นานก็ต้องไปจอดแช่อยู่ตรงทางออกจากสถานี เพราะความแออัดของรถทัวร์หลายคันที่ต่างก็ต้องการเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย เสียงผู้โดยสารยังคงจอแจทั่วรถ บางคนพูดคุยกับคนที่นั่งข้าง ในขณะที่บางคนกำลังสนทนากับคนที่อยู่ปลายทางผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ โบ้เห็นความวุ่นวายจอแจนี้จึงร่วมผสมโรงด้วย โดยการหันไปชวนอัดคุย

“นี่ดูสิ กูอยากไปเห็นบ้านไม้สักทองที่มีจั่วหลังคาประดับด้วยช่อระกา ที่ขอบหน้าต่างและประตูประดับด้วยไม้แกะสลัก ไม้ระแนงฉลุลายสวย ๆ”

โบ้ยื่นวารสารท่องเที่ยวเกี่ยวกับเชียงใหม่ให้เพื่อนดู ก่อนหน้านี้หลายอาทิตย์เมื่อเขารู้ว่าจะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ โบ้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ให้มากที่สุด ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม แหล่งท่องท่องเที่ยวต่าง ๆ และสิ่งของโดดเด่นในจังหวัดเชียงใหม่ หากเขายังทำการศึกษาเชียงใหม่อย่างบ้าคลั่งแบบนี้ไปอีกสักปีสองปี บางทีเขาอาจจะรู้จักเชียงใหม่ได้ดีกว่าคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่เสียอีกก็เป็นได้

อัดที่กำลังจะปิดเปลือกตาลง เพราะเขาอยากจะงีบหลับสักหน่อย แต่เมื่อเจอความเซ้าซี้ของเพื่อนจึงต้องหันมามองภาพในกระดาษเล่มนั้น อัดเห็นโฆษณาโรงแรมบูติคสไตล์หรูหราที่แสดงตัวอย่างบ้านพักทรงล้านนาคลาสสิค อัดไม่กล้าบอกราคาสำหรับค่าเข้าพักหนึ่งคืนให้อาคันตุกะผู้มาเยือนบ้านเกิดของเขาให้รับรู้ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกเสียขวัญกับการที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นประชากรชั้น 2 ในจังหวัดที่ดูเป็นมิตรเมื่อมองแค่เปลือกนอกนี้

“อื้ม... บ้านทรงไทยสวย ๆ แบบนั้นในเชียงใหม่มีเยอะเลย แต่นั่นไม่ใช่สถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าแบนอย่างมึง” อัดจงใจทิ้งเสียงหนักในคำสุดท้ายของประโยค ก่อนจะเว้นวรรคและพูดต่อ “และของกูด้วย”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่สถานที่สำหรับคนเงินน้อย เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปนอนโรงแรมหรู ๆ แบบนั้นหรอกว่ะ ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งไปยืนมอง”

“อ้าว ทำไมล่ะ” โบ้พูดประโยคซ้ำกับก่อนหน้านี้

“เพราะโรงแรม รีสอร์ท สปาที่มีบ้านทรงไทยเหล่านั้นทุกที่เขาจะสร้างรั้วสูงล้อมรอบไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวของคนที่มาเสียเงินให้เขา คนธรรมดา ๆ ไม่เห็นหรอก”

“เหรอวะ แบบนี้ก็มีด้วย แล้วบ้านชาวบ้านไม่มีแบบนี้บ้างเหรอ”

“เขาอยู่บ้านปูนกันหมดแล้ว บ้านไม้ไม่มีใครเขาสร้างหรอก แพงด้วย พังง่ายด้วย”

โบ้แสดงท่าทางผิดหวังอีกครั้ง “งั้นพากูไปวัดก็ได้ จะได้เห็นอะไร ๆ ที่เป็นของทางเหนือบ้างแหละ คงจะได้รู้สึกสงบจิตสงบใจกับเขาบ้าง”

“ก็ได้ เดี๋ยวกูจะพาหลาย ๆ วัดเลย แต่ก็เผื่อใจไว้ด้วยนะ ความสงบมึงอาจจะไม่เจอ อาจจะเจอแต่นักท่องเที่ยวจีน แล้วตอนนี้โบสถ์วิหารหลายวัดเก่าแก่ที่คงความขลังของศิลปะล้านนาก็ถูกแทนที่ด้วยอาคารสมัยใหม่ เพื่อเอาไว้สำหรับต้อนรับพวกคนที่จะมาทำบุญให้วัด” ดูเหมือนอัดจะใช้อารมณ์กับน้ำเสียงที่อธิบายความเป็นไปนี้ เขาจริงจังมากกับประเด็นนี้

“การซ่อมแซมหรือบูรณะโบราญสถานให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเหมือนตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา  เป็นการแสดงถึงการไม่เคารพต่อประวัติศาสตร์ของมัน เรื่องความเสียหายนั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ กูจะพามึงไปดูวัดเจดีย์หลวง เจดีย์ที่พังลงมาครึ่งนึงเพราะแผ่นดินไหว แต่คนก็ยังอุตส่าห์ไปก่ออิฐให้มันทำให้ครึ่งนึงของเจดีย์เป็นอิฐใหม่ ทำให้กลับดูอัปลักษณ์ไปเลยในสายตากู การซ่อมแซมควรที่จะทำเท่าที่จำเป็นพอไม่ให้มันถล่มลงมาก็พอแล้ว และยิ่งการซ่อมแซมโดยการเททับอัตลักษณ์เดิมของสิ่งปลูกสร้าง นั่นก็เหมือนกับการทำลายรากเหง้าของบรรพบุรุษของเราด้วย”

“เหรอ... อืม ๆ” โบ้รับคำ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องที่อัดพูดซักเท่าไหร่นัก

“อ้อ... แต่ถ้ามึงไปวัดจะต้องเจอแน่ ๆ สิ่งนึงนั่นก็คือตู้รับบริจาคเงิน” อัดพูดเชิงหยอกกับเพื่อน

“งั้นกูไม่ไปละ งั้นมึงพากูไปนี่เลย ถ้ามึงไม่พากูไปเลิกคบแม่งเลย”

“ไปไหนวะ” อัดเริ่มขำกับท่าทางจริงจังของเพื่อน

“ไปถนนคนเดินวันอาทิตย์ กูดูในเว็บมา สถานที่ที่ต้องไปเยือนหากได้มาเชียงใหม่” โบ้กล่าวอย่างตั้งใจมาก

“ไอ่ควาย!” อัดใช้คำแรงด่าเพื่อน เพราะเขาคิดว่าการกระทำของโบ้สมควรโดนด่าด้วยคำแรงเช่นนี้ “มึงไปเชื่ออะไรกับบทความในเน็ท เขาก็เขียนอวยไปอย่างนั้นแหละ”

“เอ้า... ก็ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของขายที่แสดงถึงวัฒนธรรมเชียงใหม่ ไปที่เดียวครบ” โบ้พูดถึงสิ่งที่เขาเคยอ่านมา

“ไม่ต้องไปเดินให้เสียเวลาหรอก ทุกอย่างที่ขายในนั้นมีขายที่ร้านของฝาก คนก็เบียดเสียดจะเหยียบกันตายอยู่แล้ว”

“ไม่ไปก็ได้วะ” โบ้อารมณ์เสียอีกครั้ง “งั้นพากูขึ้นดอยอินทนนท์”

“อย่าเลย จะขึ้นดอยช่วงเทศกาล รถติดมากบนยอดดอย” อัดเบรก

“งั้นไปดอยสุเทพ”

“ที่นั่นติดทั้งดอยเลย”

โบ้พยายามใช้ความคิด “งั้นพากูไปเที่ยวเธคกลางคืนหน่อยสิ ที่เชียงใหม่สาวสวยเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

“กูไม่ใช่นักเที่ยว เสียใจด้วย” อัดพูดเสียงแข็ง

“โอ๊ย... ถ้าอย่างนั้นกูจะไปเชียงใหม่ทำมัยวะเนี่ย ที่นู่นมึงก็ไม่พาไป ที่นั่นมึงก็ไม่พา เดี๋ยวกูแม่งเปลี่ยนรถที่นครสวรรค์กลับกรุงเทพดีกว่า ไปเที่ยวกรุงเทพในสภาพที่ท้องถนนโล่ง ๆ” โบ้แกล้งตัดพ้อต่อเพื่อน

อัดยิ้มเป็นเชิงปลอบใจเพื่อน “เอาน่า ๆ ลืมไปแล้วเหรอว่าเราจะมาไปทำอะไรกันที่เชียงใหม่”

อัดยกกระเป๋าสะพายของเขาขึ้นมาวางไว้บนตัก ก่อนจะเปิดกระเป๋าและหยิบกล่องกระดาษให้โผล่พ้นออกมาจากกระเป๋าครึ่งหนึ่ง กล่องนั้นคือกล่องเหล้าชีวาส รีกัลขนาดหนึ่งลิตร เหล้าราคาแพงนี้อัดและโบ้ได้มันมาจากเจ้าของบริษัทที่ใช้ขวดแก้วนี้มอบให้แทนโบนัสประจำปี เพราะหัวหน้ารู้อยู่แล้วว่าลูกน้องทั้งสองชอบดื่ม

“อ้อ เราจะเปลี่ยนที่กินเหล้านั่นเอง” โบ้ยิ้มแหะ ๆ

“ไม่ต้องห่วงว่ามึงจะไม่ได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมภาคเหนือ เดี๋ยวกูจะให้แม่เตรียมกับแกล้มเมือง ๆ ไว้ให้ มีลาบปลา ไก่เมืองต้ม หมูย่างจิ้มแจ่ว ผักหวาน เห็ดถอบต้ม ยำไข่มดแดง เดี๋ยวให้ลองกินลาบควายด้วย เราไปปูเสื่อนั่งกินกันข้างแม่น้ำปิง ไม่ต้องจ่ายค่าเซอร์วิซชาร์จให้เสียความรู้สึก บริการตัวเอง ดีมั้ย”

โบ้น้ำลายสอกับรายชื่ออาหารที่เพื่อนเพิ่งพูดออกมา แต่ก็ยังไม่วายที่เขาจะแกล้งย้อนเพื่อน “มันจะเข้ากันเหรอ กับแกล้มเมือง ๆ กับเหล้าฝรั่งที่หมักบ่มมานานถึง 12 ปี”

อัดหันมาสบตากับเพื่อนพร้อมรอยยิ้มก่อนจะพูด

“แล้วมึงจะติดใจ”

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เรื่องเหล้า ตอนเพื่อนเก่า



                เต้ค่อย ๆ ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าซอยเพื่อจะตรงไปยังร้านเหล้าในคืนวันศุกร์ วันนี้เต้ขี่รถนุ่มนวลเป็นพิเศษเพราะว่าเขามีเพื่อนสาวซ้อนท้ายมาด้วย หญิงสาวเพื่อนของเต้นั่งรถเมล์มาลงป้ายที่ถนนใหญ่ ก่อนที่เต้จะขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาจากที่ทำงานและรวดรับเธอเข้ามา

                “จะดีเหรอเต้ ให้เราเข้าไปนั่งร่วมวงกับเพื่อน ๆ ของเต้ที่เป็นผู้ชายทั้งหมด พวกเขาจะไม่อึดอัดเหรอ” เพื่อนสาวถามเต้ในขณะกำลังนั่งป้ายเบาะมอเตอร์ไซค์

                “ไม่เป็นไรหรอกน่าขวัญ เราโทรไปบอกพวกเขาไว้แล้ว ดีซะอีก ปกติก็นั่งกินกันแค่สี่คน วันนี้มีคนมานั่งคุยด้วยอีกหนึ่ง คงจะได้ครึกครื้นหน่อย”

                เต้พูดขณะที่เขายังใช้มือบังคับแฮนด์รถให้ตรงไปยังทิศทางที่เขากำหนด ความจริงแล้วเต้รู้ดีว่าเพื่อนร่วมวงของเขาต่างชอบให้มีหญิงสวย ๆ ไปนั่งประดับในโต๊ะ และขวัญเพื่อนของเขาก็เหมาะที่จะไปสร้างบรรยากาศให้กับวงเหล้า เพราะเต้รู้ดีว่าขวัญเป็นผู้หญิงที่คุยสนุกกับทุกคนและเป็นกันเอง

                “เหรอ ถ้าอย่างนั้นเราก็สบายใจ” ขวัญพูดพร้อมยิ้มอย่างเปิดเผย

                ไม่นานทั้งคู่ก็อยู่หน้าร้านเหล้า เต้จอดมอเตอร์ไซค์พร้อมถอดหมวกกันน็อค

                “พอจะนั่งได้มั้ย” เต้ถามเพราะไม่มั่นใจรสนิยมของเพื่อเก่าที่ห่างหายกันไปนานเกือบ 10 ปี

                ขวัญยิ้มแหย ๆ ก่อนจะพูด “ไม่มีปัญหาหรอก”

                เต้ได้ยินอย่างนั้นโดยที่ไม่หันไปมองรอยยิ้มของขวัญ เขาก็เดินนำเพื่อนสาวเข้าไปในร้าน

                “เอ้า มาซักที” ฉิมพูดเมื่อมองเห็นเต้ “รีบมานั่งเร็ว ๆ พวกข้าเริ่มกรึ่ม ๆ แล้วนะ”

                “เดี๋ยวขอแนะนำเพื่อนของผมให้รู้จักนะพี่ นี่ขวัญเพื่อนผม”

                เต้ผายมือไปทางขวัญ สมาชิกวงเหล้าทั้งสามที่นั่งดื่มไปก่อนแล้วต่างหันมามองยังผู้ที่ถูกแนะนำ พวกเขาเห็นสาวสวยหุ่นดีผิวขาวผมยาว เธอแต่งชุดสูททำงานสำหรับผู้หญิงและยังสะพายกระเป๋าเอกสารหนังสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าของเธอพยายามขับรอยยิ้มออกมาเมื่อถูกแนะนำ

                “สวัสดีค่ะ ขออนุญาตมานั่งด้วยคนนะคะ” ขวัญกล่าวอย่างถ่อมตน

                “เชิญครับ ยินดีครับ” ฉิมพูดแทบจะลิ้นพันกัน

                เต้ยกเก้าอี้มาเสริมที่โต๊ะอีกหนึ่งตัว “นี่พี่ฉิม ยศและนัย” เขาผายมือไปที่แต่ละคนที่เขาเอ่ยชื่อ

                ขวัญและเต้นั่ง

                “พี่ขวัญดื่มอะไรดีครับ” นัยถามพร้อมเตรียมหยิบแก้วไปเตรียมชงเครื่องดื่ม

“เอ่อ... พี่ขอเหล้าบาง ๆ ผสมโซดาน้ำละกันค่ะ” ขวัญพูด

จากนั้นนัยก็ชงเหล้าให้ทันที เขาตวงเหล้าลงในฝาแค่ครึ่ง ก่อนจะเทลงไปในแก้วที่มีก้อนน้ำแข็งรออยู่แล้ว จากนั้นจึงเทโซดาและน้ำตามโดยไม่ลืมที่จะใช้คีมคีบน้ำแข็งคนแก้วเหล้าจนแตกฟอง นัยส่งแล้วเหล้าให้ขวัญ

“แล้วขวัญกับเต้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” ยศถาม

“ขวัญกับเต้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้วจ้ะ หลังจากจบมาก็แยกย้ายกันไปทำงานไม่ได้เจอกันเลย” ขวัญอธิบาย

“โห... ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้วเพิ่งมาเจอกัน สงสัยต้องมีคุ้ยเรื่องความหลังฮา ๆ มาแฉกันแน่... จริงมั้ยพี่ขวัญ” นัยพูดด้วยร้อยยิ้มร่าพร้อมมองไปที่ขวัญกับเต้สลับกัน เขาหวังจะได้ยินเรื่องสนุก ๆ ของเต้ในอดีต

“ไม่มี ๆ ตอนอยู่มหาลัยเป็นเด็กเรียน” เต้ยกมือปัดไปมา เหมือนไม่อยากให้พูดถึงเรื่องนี้ นี่เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวงได้พอสมควร

“เต้มันออกจะหล่อ สมัยเรียนน่าจะสาวเยอะนะ” ยศลองเดา

เต้รีบมองมาทางขวัญเหมือนจะปรามไม่ให้พูดอะไร แต่นั่นก็สายไปแล้ว

“เต้น่ะมีสาว ๆ ต่างคณะมาชอบเยอะ” ขวัญพูด

“จริงหรือพี่ อิจฉาจริง ๆ” นัยพูดพร้อมมองไปที่เต้

“แต่เพราะเยอะนี่แหละเลยเป็นปัญหา” ขวัญเล่าต่อ

“อ้าว ยังไงพี่ สับรางไม่ทันเหรอ” นัยถามพร้อมมองไปทางเต้ที่ตอนนี้เริ่มทำสีหน้าอึดอัด แต่เต้คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยเพราะถูกเล่ามาถึงขนาดนี้แล้ว

“เปล่าหรอก เพราะตัวเลือกมันเยอะน่ะสิ กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใคร สาวคนที่เต้เลือกก็ดันไปมีแฟนแล้ว รอไม่ไหวหรอก” ขวัญอธิบาย

“อ้าวเหรอ แค่หญิงคนเดียวเอง จีบคนอื่นก็ได้นี่” ฉิมพูด

ขวัญยิ้มก่อนพูด “จะมีเวลาไปจีบคนอื่นได้ยังไง ก็กว่าเต้จะมั่นใจว่าชอบสาวคนนั้นก็เล่นปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเกือบสี่ปี คิดดูสิ สาวคนนั้นมาชอบเต้ตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่กว่าเต้จะตอบรับก็ตอนปีสี่ ใครที่ไหนจะรอ” ขวัญพูด

ฉิม ยศและนัยหัวเราะร่ากับเรื่องนี้ นั่นยิ่งทำให้เต้รู้สึกอาย

“โธ่ ช่วงเรียนก็ต้องเรียนให้เต็มที่ หากมีความรักอาจจะทำให้เสียสมาธิในการเรียนได้” เต้พูดแก้ตัว แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สมาชิกคนอื่นหัวเราะหนักขึ้น รวมถึงขวัญด้วยที่รู้สึกขำกับอาการหน้าแดงของเต้

ฉิมเห็นรุ่นน้องเริ่มหน้าแดงทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแอลกอฮอล์ตกถึงท้อง จึงบอกให้ทุกคนชนแก้ว “เอ้าชนแก้ว สำหรับเด็กเรียนในรั้วมหาลัยอย่างเต้”

ทุกคนชนแก้ว รวมทั้งเต้ที่ร่วมชนอย่างมีอาการเขิน ๆ

“อ้อ ว่าแต่ขวัญตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ล่ะ” เต้ถามเมื่อดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

ขวัญที่กำลังค่อย ๆ ดื่มอย่างช้า ๆ เธอทำท่าสำลักน้ำเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ กลืนเหล้าที่อยู่ในคอจนหมด จากนั้นจึงตอบ “ตอนนี้เราทำงานแบบว่าอบรมคนน่ะ”

“เหรอ... อ้อ...” เต้ทำเสียงตอบรับเหมือนจะเข้าใจ “ว่าแต่มันเป็นงานประเภทไหนกัน”

ขวัญกวาดสายตาไปรอบโต๊ะ ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำตอบจากเธอ

“เราอบรมพนักงานขายให้กับบริษัทน่ะ จัดสัมมนาตามโรงแรม” ขวัญพูด

“อ้อ เป็นหัวหน้าพนักงานขาย” ฉิมพูด เขามองไปทางขวัญที่ผงกหัว “แล้วขายของประเภทไหนกันล่ะ”

“ตัวที่ขายอยู่ตอนนี้ก็จะเป็นอาหารเสริม” ขวัญพูด

“อ้อ คงจะเป็นพวกเม็ดวิตามิน ผงเครื่องดื่มสำหรับชงเพื่อสุขภาพ หรืออาจจะเป็นพวกพืชสมุนไพร พอดีเลย ช่วงนี้รู้สึกสุขภาพเริ่มเสื่อมโทรม คงจะทำงานหนักด้วย” ฉิมพูดพร้อมทำท่าเอี้ยวตัวไปมาให้ดูเหมือนมีอาการปวดเมื่อย

“ผมก็สนใจ ช่วงนี้ทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลากินอาหารที่มีประโยชน์เท่าไหร่ อยากจะเสริมตรงนี้ด้วยเหมือนกัน” ยศก็ทำท่าสนใจด้วย

ขวัญได้ยินดังนั้นจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกสารและหยิบของออกมา มันเป็นซองขนาดไม่ใหญ่หลายซอง

“นี่คืออาหารเสริมรูปแบบใหม่ค่ะ สะดวกในการรับประทาน สามารถพกพาไปกินได้ทุกที่ ไม่ต้องชงไม่ต้องเตรียม แค่ฉีกซองแล้วบีบใส่ปากได้ทันที”

ขวัญยื่นซองอาหารเสริมสีแดงให้ฉิม ซองสีน้ำตาลให้ยศ ซองสีน้ำเงินให้เต้ และซองสีเขียวให้นัย

“ลองฉีกซองแล้วบีบใส่ปากเลยค่ะ” ขวัญพูด ทุกคนทำตาม

“อื้ม... รสชาติเหมือนวุ้นรสผลไม้” ฉิมพูดหลังจากลองกิน “แล้วมันดียังไงบ้าง”

ขวัญยิ้มก่อนจะพูด “สีแดงสำหรับคุณฉิม สีแดงเป็นสูตรเพิ่มความสดชื่นทำให้สมองกระปี้กระเป่า เพราะในเนื้อเจลจะมีเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมองค่ะ ยังมีวิตามินบี 12 ที่จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ สำหรับการควบคุมกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ อาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนักจะหายไปค่ะ เพราะว่าความเมื่อยล้าที่เกิดจากการทำงานหนักมักจะเกิดจากการที่สมองเราสั่งให้ร่างกายเราเหนื่อย สมองจะสั่งให้ร่างกายต้องหยุดพัก แต่หากเราสามารถกระตุ้นบอกให้สมองว่าเรายังไม่เหนื่อยนะ”

ขวัญเว้นจังหวะการพูด เธอสังเกตดูท่าทีของผู้ฟังที่ต่างตั้งใจฟัง จากนั้นเธอจึงพูดต่อ

“หากเรากินอาหารเสริมตัวนี้เป็นประจำ จะทำให้เราสดชื่นตลอดวันเหมือนเพิ่งตื่นนอนในตอนเช้าเลยค่ะ”

“วิเศษอะไรอย่างนี้ ราคาซองละเท่าไหร่ครับ”

ฉิมคิดว่าราคาซองอาหารเสริมนี้ตงจะแพงกว่าเจลลี่รสผลไม้ที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตสองหรือสามเท่า แต่นั่นก็นับว่าถูกมากเมื่อคิดถึงสรรพคุณตามที่เพื่อนสาวของเต้บรรยายเอาไว้

“เดี๋ยวขออธิบายสรรพคุณซองสีอื่น ๆ ก่อนค่ะ” ขวัญยังไม่รีบปิดการขายทันที “สำหรับสีน้ำตาลที่คุณยศลองทานไป สูตรนี้จะเป็นสูตรอาหารเสริมที่ทดแทนสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ในสภาพสังคมทุกวันนี้ที่ต้องเร่งรีบในการดำเนินชีวิต ทำให้คนเราส่วนใหญ่มักจะละเลยการทานอาหารให้ครบห้าหมู่ รวมถึงเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ อาหารเสริมตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาเลือกรับประทานอาหาร เพียงทานตัวนี้วันละ 2 ซองก็จะเท่ากับว่าเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อหนึ่งวันเลยค่ะ”

ขวัญหยุดอธิบายเพราะเห็นยศมีท่าทีจะถามคำถาม

“แล้วจะทดแทนพวกผักผลไม้ได้มั้ยครับ อย่างผมนี่ไม่ค่อยได้แตะพวกนั้นเท่าไหร่ เลยอยากจะเสริมด้วย” ยศถาม

“ได้แน่นอนค่ะ” ขวัญตอบ

“แล้วสีน้ำเงินล่ะขวัญ จะช่วยตรงไหน” เต้ถามบ้าง

“สำหรับสีน้ำเงิน จะเป็นสูตรโปรตีนสกัดจากปลาทะเล เป็นโปรตีนเข้มข้นและบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ ทำให้มีกล้ามเนื้อเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายหนัก เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปยกเวทน้ำหนักเป็นร้อย ๆ กิโลฯให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังบนพื้นถนนให้ข้อเข่าเสื่อม เพียงแต่กินตัวนี้ก็จะทำให้เราแข็งแรงมีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ เหมือนนักกีฬา” ขวัญบรรยายสรรพคุณ

“ว้าว... วิเศษไปเลย อยากได้แบบนี้มานานแล้ว ต้องกินนานเท่าไหร่ล่ะเนี่ยถึงจะหุ่นดีแบบนักกีฬา” เต้ถาม

ขวัญทำมือเป็นเลขสาม “สามเดือนเห็นผลทันทีหากกินต่อเนื่อง”

“แล้วของผมละพี่” นัยถามบ้าง

ขวัญทำหน้าอาย ๆ ก่อนจะพูด “ซองสีชมพูสำหรับเพิ่มความสุขในการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก และเพิ่มเวลาให้ยาวนานยิ่งขึ้น”

“จริงหรือครับ” นัยตื่นเต้นดีใจเมื่อรู้ถึงฤทธิ์ขออาหารเสริมที่เขาเพิ่งกินไป

“นั่นแน่... จะเอาไปใช้กับใคร” ฉิมแซว

“ก็แฟนผมยังไงล่ะพี่ จะไปใช้กับใครที่ไหน” นัยยิ้มเขิน ๆ

“ว่าแต่ราคาซองละเท่าไหร่ล่ะเนี่ย” ฉิมถามขึ้นมา

“ปกติราคาขายปลีกอาหารเสริมนี้อยู่ที่ซองละ 120 บาท” ขวัญพูดประโยคแรกเสร็จก็รีบพูดประโยคต่อไปทันที ก่อนที่จะมีใครร้อง หา!’ “แต่เดี๋ยวก่อน หากสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทจะสามารถซื้ออาหารเสริมได้ในราคาซองละ 20 บาท”

สีหน้าของทั้งสี่เปลี่ยนเป็นโล่งใจเมื่อได้ยินราคาสมาชิก

“แล้วค่าสมัครสมาชิกนี่เท่าไหร่” ยศถาม

“สำหรับค่าสมัครสมาชิกเพื่อที่จะสามารถมาซื้อสินค้าของเราในราคาถูก ค่าสมัครต่อหนึ่งรหัสคือสี่หมื่นบาท” ขวัญพูดประโยคแรกเสร็จก็รีบพูดประโยคต่อไปทันที ก่อนที่จะมีใครร้อง หา!’ “แต่เดี๋ยวก่อน สำหรับการสมัครสมาชิกนี้จะไม่ใช่การจ่ายเงินค่าสมัครทิ้งไปเปล่า ๆ แต่สมาชิกสามารถออกไปหาคนให้มาสมัครสมาชิกต่อ ๆ กันไปได้ หากหาคนมาสมัครได้ ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น 30 เปอร์เซ็นต์ของสี่หมื่นบาท หากหามาได้สี่คนก็ได้เงินคืนเกินค่าสมัครที่เราจ่ายไปแล้วค่ะ หลังจากนั้นก็เป็นกำไร”

ขวัญหยุดพักเสียง

“แต่ยังไม่หมดค่ะ หากสมาชิกที่เป็นรหัสลูกต่อจากเรา ไปรับสมัครสมาชิกมาเพิ่มได้ คนที่มาสมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ก็จะถือว่าเป็นรหัสหลานของเรา เราจะได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าสมัครสมาชิก และหากรหัสหลานของเราไปรับสมัครสมาชิกรหัสเหลนมาอีก เราก็จะได้อีก 5 เปอร์เซ็นต์ สรุปก็จะมีอยู่สามระดับชั้นที่จะมีคนทำงานให้เรา โดยที่เราสามารถหยุดพักได้ แต่ก็ยังมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ อยู่อีก”

ทุกคนบนโต๊ะต่างนั่งฟังอย่างตาโต

“น่าสนใจ ถ้าข้าเอาไปหาสมาชิกที่โรงงาน ต้องมีคนมาสมัครเป็นสิบแน่ ๆ” ฉิมพูด

“แล้วพี่มีค่าสมัครแล้วเหรอ ตั้งสี่หมื่นเลยนะ” ยศถาม

ฉิมล้วงกระเป๋าเงินและหยิบบัตรพลาสติกออกมา “ข้าจะใช้บัตรเงินสดกดเงินออกมา ดอกแพงหน่อยแต่คิดว่าคงคุ้ม” ฉิมโชว์บัตรพลาสติกใหม่เอี่ยมให้ทุกคนดู “ยังไม่เคยใช้เลย กะจะใช้เฉพาะตอนฉุกเฉินเท่านั้น”

“เราใช้บัตรเครดิตได้มั้ย” เต้ถามขวัญ

“ได้สิ เรามีบริการรูดบัตรเครดิต ไม่ชาร์จเงินด้วย” ขวัญตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ส่วนผมสามารถกู้เงินจากสหกรณ์ได้เลย แล้วจะโดนหักจากเงินเดือนทุกเดือนจนกว่าจะใช้หนี้หมด” ยศพูด

“พวกพี่ดีจัง ส่วนผมยังไม่มีเครดิตอะไรทั้งนั้น สงสัยต้องไปรีบทำบัตรเครดิตก่อน” นัยพูดตัดพ้อเล็ก ๆ

“ฉันรับทำบัตรเครดิตด้วยนะคะ อยากจะทำกับธนาคารไหนล่ะ” ขวัญรีบพูดเมื่อเห็นโอกาสในการหารายได้ของเธอ

“เยี่ยมไปเลย ผมจะได้มีบัตรรูดของกับเขาบ้างแล้ว” นัยทำเสียงตื่นเต้น

ขวัญยิ้มดีใจที่เธอกำลังจะมีลูกค้า เธอหยิบแผ่นเอกสารออกมาจากกระเป๋า 4 ชุดและแจกจ่ายให้กับทุกคน

“จะสะดวกทำสัญญากันเมื่อไหร่ดีคะ” ขวัญยิงคำถามทันทีเพื่อให้พวกเขาคิดนาน

ทั้งหมดหันหน้ามามองกันโดยไม่มีใครพูด จนเต้ต้องรีบพูด

“งั้นเดี๋ยวไว้รอศุกร์หน้าละกันนะขวัญ ให้พวกเราได้ไปเตรียมตัวกันก่อน”

ขวัญทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แต่เธอก็ยังพยายามปั้นหน้ายิ้ม “ได้ค่ะ เดี๋ยววันศุกร์หน้าจะเข้ามาทำสัญญากันที่นี่นะคะ”

ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองที่แก้วเหล้าของตัวเอง พร้อมยกขึ้นดื่ม

“เอ... แล้วเราจะหาสมาชิกยังไงล่ะ ค่าสมัครตั้งสี่หมื่น คงจะหาไม่ง่ายนะ” ฉิมพูดถามขึ้นมา ยศ เต้และนัยต่างสงสัยในข้อนี้ด้วยเหมือนกัน

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นค่ะ หลังจากที่ทุกคนมีรหัสสมาชิกกันเรียบร้อยแล้ว จะมีการเปิดสัมมนาการฝึกอบรมการขายให้กับสมาชิกทุกคน เราจะสอนวิธีการปิดการขายให้ค่ะ” ขวัญพูด

“ผมได้ยินแบบนั้นก็สบายใจครับ ปกติแล้วพูดเรื่องขายของไม่ค่อยเก่ง” ฉิมพูด

“เอ้าทุกคน ดื่มฉลองให้กับอาชีพใหม่ของเรากันดีกว่า” เต้พูดพร้อมหยิบแก้วของทุกคนไปชง และทุกคนก็ดื่มพร้อมกัน

“ขอถามอะไรทุกคนหน่อยนะคะ” ขวัญเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมากลางวง

“ได้เลยครับคุณขวัญ” ใครคนหนึ่งในวงกล่าวขึ้น

“ไม่ทราบว่าทุกคนวางแผนการเงินในอนาคตไว้ยังไงคะ” ขวัญถามคำถามกว้าง ๆ

“ผมเหรอ ก็คงทำงานเก็บเงินส่งลูกเรียนหนังสือไปเรื่อย ๆ มั้ง” ฉิมพูด

“ส่วนผมก็คงทำงานไปเรื่อย ๆ ยังไม่มีครอบครัวให้รับผิดชอบอะไร” ยศพูด

เต้และนัยก็ออกความเห็นคล้ายฉิมและยศ

“แล้วถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเจ็บป่วยล่ะ จะทำยังไง” ขวัญพูด

“ก็ใช้สิทธิประกันสังคมที่โรงงานช่วยจ่ายให้ คราวนั้นผมท้องเสียรุนแรง ก็เข้าโรงบาลรัฐใกล้บ้าน” ฉิมพูด

ขวัญรีบส่ายหัวเป็นเชิงไม่เห็นด้วย “ไม่ได้นะคะ สิทธิประกันสังคมนี่ทำคนตายมานักต่อนักแล้ว กว่าจะได้รับการรักษาก็ต้องไปรอต่อคิวเป็นวัน กว่าจะได้รักษาก็อาการกำเริบก่อนพอดี และยาในระบบก็เป็นยาราคาถูก เคยได้ยินข่าวมั้ยคะว่ามีการโกงเบิกจ่ายยาในระบบโดยเอายาหมดอายุมาจ่ายให้คนไข้ที่มาใช้สิทธิ หรือเรียกว่าผู้ป่วยอนาถาก็ไม่ผิดหรอกค่ะ อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับระบบแบบนั้นเลย ไม่คุ้มกันหรอก”

ฉิม ยศ เต้และนัยทำสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“แล้วผมต้องทำยังไงล่ะเนี่ย” นัยพูด

ขวัญเปิดกระเป๋าเอกสารอีกครั้งและหยิบเอกสารอีกชุดออกมา

“นี่คือกรมธรรม์ประกันชีวิตค่ะ มีหลายแผนให้เลือก แต่แผนที่คุ้มค่าที่สุดคือแผนนี้ค่ะ”

ขวัญชี้ไปที่กระดาษชื่อแผนกรมธรรม์ที่มีเส้นสีแดงวงรอบ และมีคำว่า ‘Value’ อยู่ข้าง เธอชี้ให้เห็นรายละเอียดความคุ้มครองให้ทุกคนดู

“แผนนี้จ่ายเบี้ยน้อยแต่คุ้มครองครบค่ะ แค่คุณตากฝนแล้วเริ่มจะปวดหัวก็เดินเข้าไปขอยาจากโรงบาลเอกชนได้เลยทุกที่ และไม่ต้องไปต่อคิวใคร ได้ยาอย่างดีด้วยค่ะ ยาราคาแพงจากต่างประเทศ หรือจะป่วยหนักถึงขั้นเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เราก็ดูแลคุณอย่างดีที่สุดค่ะ อุบัติเหตุเล็กน้อยแค่มีดบาดก็สามารถแอดมิทนอนโรงบาลได้เลยโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์ หรือจะอุบัติเหตุร้ายแรงกระดูกหักหรือสูญเสียอวัยวะ เราก็ช่วยดูแลรักษาจนหายขาดรวมถึงจ่ายค่าชดเชยให้ และยังคุ้มครองถึงการเสียชีวิต เราจะจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ที่รับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ภรรยาหรือบุตร” ขวัญอธิบายจนเธอเริ่มเหนื่อย

“ดีจัง เท่านี้เราก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ” ใครคนหนึ่งบนโต๊ะพูดไว้

“แล้วเราต้องจ่ายยังไงเนี่ย กับความคุ้มครองนี้” เต้ถาม

“สำหรับตัวนี้เบี้ยประกันจะอยู่ที่ปีละ 25,765 บาท แต่ว่าเบี้ยนี่เราไม่ได้จ่ายแล้วทิ้งนะคะ เบี้ยที่เราจ่ายไปจะเป็นเหมือนเงินออมสะสมจนถึงอายุ 60  ปี ผู้เอาประกันก็จะได้เงินคืนทั้งหมด แต่ไม่รวมค่าเบี้ยคุ้มครองความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ” ขวัญยังพยายามอธิบายอย่างคลุมเครือ

“แต่ดูแล้วน่าจะคุ้มนะ จ่ายประมาณเดือนละสองพันเอง” นัยพูด

“ค่ะ แลกกับความสบายใจ และทำให้คนรอบข้างหมดกังวล” ขวัญพูดเสร็จก็แจกจ่ายโบชัวร์แผนกรมธรรม์ให้กับทุกคน “ลองศึกษาดูนะคะ”

“ขอบคุณครับ ผมจะลองไปคุยกับลูกเมียดูก่อน เผื่อจะทำยกครอบครัวไปเลย” ฉิมพูด

“ดีค่ะ เพื่อคนที่เรารักเราและจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน” ขวัญจบบทเซลล์ทอล์คแบบสวย ๆ

จากนั้นทั้งโต๊ะก็ร่วมดื่มกินกันเฮฮาสนุกสนาน มีการสั่งอาหารมาเพิ่ม สั่งมิกเซอร์มาเพิ่มจนเหล้าใกล้จะหมดขวดแล้ว

“คุณขวัญเก่งจังนะครับ ทำงานหลายอย่าง คงจะเหนื่อยน่าดู” ยศหยอดคำชม

“ช่วงแรกก็เหนื่อยหน่อยค่ะ แต่หลังจากที่ได้ทำงานอบรมการขายอาหารเสริม ก็มีรายได้ไหเข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างที่เล่าให้ฟังยังไงคะ” ขวัญพูด

“ขอบคุณที่นำสิ่งดี ๆ มาเสนอพวกเรานะครับ” ฉิมพูด

“ไม่เป็นไรค่ะ” ขวัญรับคำแบบยิ้ม ๆ “เอ่อ... พอดีฉันนัดกับลูกค้าไว้ นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว เดี๋ยวคงต้องขอตัวก่อนนะคะ”

“เสียดายจัง เพิ่งจะกินไปไม่กี่แก้วเอง น่าจะอยู่ต่อยาว ๆ นะครับ” ฉิมทำเป็นรั้ง

“ไว้วันศุกร์หน้าค่ะ มาแน่นอน” ขวัญโปรยยิ้ม “เต้ไปส่งเราหน้าปากซอยหน่อยสิ”

เต้ได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นและเตรียมเดินออกไปส่งขวัญ

“ไว้เจอกันนะคะ” ขวัญโบกมือลาทุกคนก่อนจะเดินออกจากร้าน

เมื่อนัยเห็นเต้และขวัญเดินออกจากร้านไปแล้ว เขาก็หันมาพูดในวง

“พี่จะสมัครจริงเหรอ ขายอาหารเสริมอะไรนั่นน่ะ”

“ไม่หรอก ข้าไม่มีเงินพอจะไปสมัครหรอก” ฉิมพูด

“อ้าว แล้วไปบอกเค้าว่าจะสมัคร” ยศพูด

“นั่นสิพี่ แล้วถ้าศุกร์หน้าเพื่อนพี่เต้มาอีกแล้วจะบอกยังไง” นัยพูด

“คนสวยมาขายของเราก็ยากที่จะปฏิเสธ ยิ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนเราอีกนะ ก็ไม่อยากหักหามน้ำใจ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวคราวหน้าข้าจะบอกว่ากดเงินออกมาเต็มวงเงินแล้ว แค่นี้ก็ไม่มีเงินไปจ่ายค่าสมัคร” ฉิมพูดเสร็จก็ทำท่าทางอารมณ์ดี

“โหพี่ เอาตัวรอดนี่หว่า ผมอุตส่าห์พูดตามพี่ไปนะว่าสนใจ” ยศพูด

“แล้วทำไมเอ็งไม่ปฏิเสธไปวะ” ฉิมพูด

“ก็แหม สาวสวยน่ารักขนาดนั้นผมก็ปฏิเสธไม่เป็นเหมือนกันนี่” ยศตอบ ฉิมและนัยหัวเราะ “ผมรู้ละ ใช้มุขเดียวกับพี่ วงเงินเต็ม”

“งั้นผมจะบอกว่าเครดิตบูโรไม่ดี ยื่นทำบัตรไม่ได้ดีกว่า” นัยพูด

“ดี ๆ สมัยนี้เงินทองหายาก ทำแล้วจะได้เงินจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นพวกแชร์ลูกโซ่ก็ได้” ฉิมพูด

“อ้าว... พี่รู้อยู่แล้วเหรอ” ยศพูด

“ข่าวพวกนี้ออกจะมีบ่อย คนที่ไม่ติดตามข่าวสารและโลภด้วยก็มักจะถูกหลอกให้ไปทำ” ฉิมตอบ

“โชคดีจริง ๆ ที่พวกรารู้ทัน ว่าแต่พี่เต้จะรู้ทันมั้ยนี่ กลัวจะไปหลงคารม” นัยพูด

“อืม... เดี๋ยวมันมาแล้วข้าจะเตือนมันเอง” ฉิมพูด

“แล้วเรื่องทำประกันล่ะพี่ เห็นคุยเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำ” ยศถาม

“เอ้อ... ตอนนั้นข้าก็คล้อยตามไปกับคำแนะนำนั้นด้วยแหละ ถ้าเพื่อนเต้มันยังอยู่ต่อข้าคงได้ซื้อประกันจากมันแน่ แต่คิดว่าคงไม่เอาหรอกว่ะ เงินจะกินจะใช้ก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว เรื่องค่ารักษาพยาบาลก็ไปใช้หลักประกันสังคมที่รัฐเตรียมไว้ให้ก็พอแล้ว เงินสะสมก็มีในนั้นด้วยอยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องเอาเงินไปให้พวกนั้นไปทำทุนให้พวกมันรวย ๆ ยิ่งขึ้นไปอีก” ฉิมวิเคราะห์

“พี่พูดถูก เงินออมเราก็เก็บกันเองได้ ฉุกเฉินก็เอาออกมาใช้ได้เลย” นัยพูด

“แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือเต้ ไม่รู้ว่ามันจะว่ายังไง” ยศพูดเสร็จก็พอดีที่เต้เดินเข้าร้านมาพอดี “อ้าว นั่นเต้มาแล้ว หิ้วถุงอะไรมาด้วยน่ะ

เต้หิ้วถุงกระดาษปิดมิดชิดเดินเข้ามาที่โต๊ะ

“ผมมีสิ่งดี ๆ จะนำมาเสนอพวกเรา ขอให้ทุกคนเปิดใจยอมรับ อย่าเพิ่งคิดต่อต้านมัน” เต้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนจะกลับเข้ามาในร้านนี้ผมได้ศึกษามาอย่างละเอียดแล้ว นี่จะทำให้เราพบกับอิสรภาพอย่างแท้จริง”

ฉิม ยศและนัยต่างไม่เชื่อหูตัวเอง พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเต้จะถูกล้างสมองมาแล้ว แต่สีหน้าแห่งความตกใจก็อยู่บนใบหน้าพวกเขาได้ไม่นาน เพราะเต้หลุดยิ้มออกมาและหยิบขวดแก้วทรงเหลี่ยมบรรจุน้ำสีเข้มออกมาวางบนโต๊ะ

“รีเจนซี่ บรั่นดีไทย” เต้พูดยิ้ม ๆ

“ว้าว... เหล้านี่หากินยากแล้วนะพี่ ไปเอามากไหน” นัยถาม

“ระหว่างที่ขี่รถไปส่งขวัญ เริ่มจะคิดได้ว่าได้พาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกเรา ขากลับเลยแวะเข้าโลตัสเพื่อหาซื้อเหล้ามาขอโทษทุกคน” เต้พูด

“เหรอ” ฉิมแกล้งทำตาขวาง แต่สักพักก็ทำตาซาบซึ้ง “แหม... ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก พวกเราไม่โกรธเอ็งหรอก เอ็งไม่รู้นี่ว่าเพื่อนจะมาแบบนี้”

เต้ยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น

“เอ้า มัวยิ้มอยู่นั่นแหละ รีบ ๆ ส่งเหล้ามาเร็ว ๆ เหล้าบนโต๊ะหมดแล้ว เดี๋ยวขาดช่วงกันพอดี” ฉิมพูด ทุกคนบนโต๊ะหัวเราะร่า


นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...