วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความในใจ

         
 ร้านทำรองเท้าของคุณหมอดิเรกเป็นร้านทำรองเท้าที่แตกต่างจากร้านทั่วไป หมอดิเรกเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก โดยเฉพาะกระดูกตั้งแต่ข้อเท้าลงไปถึงปลายนิ้วโป้ง หมอดิเรกใช้ความสามารถในการวิเคราะห์รูปทรงกระดูกของเท้าที่ผิดปกติ เปิดร้านรับทำรองเท้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูปเท้า กระดูกเท้าและข้อผิดปกติ ผู้ที่มีเล็บงอกขึ้นผิดปกติ การผิดปกติของกล้ามเนื้อและเอ็นทำให้เท้าเปลี่ยนรูป รวมถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อเท้าและการเดินผิดรูปไป  ภาวะเท้าแบน  โรงงานทำโรงเท้าองหมอดิเรกจึงได้ชื่อว่าคลินิกรองเท้าสุขภาพ

ร้านของหมอดิเรกเป็นร้านที่มือชื่อเสียงมาก เพราะการใช้รองเท้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความปกติเป็นเรื่องที่สำคัญ และคนที่จะสามารถวิเคราะห์ออกแบบรองเท้าพิเศษนี้ได้ก็มีน้อย ทำให้คู่แข่งของหมอดิเรกแทบจะเป็นศูนย์ไปเลย

แก้วตาเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่ร้านของหมอดิเรกได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้เธออยู่โรงงานเย็บผ้ามาก่อน แผนกแพทเทิร์น ด้วยคำแนะนำของป้าสุนทรีซึ่งเป็นเพื่อนกับน้าสมาน พนักงานอีกคนที่มีหน้าที่ประกอบรองเท้า แก้วตาเข้ารับงานในตำแหน่งขึ้นแพทเทิร์นรองเท้าหลังจากที่หมอมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นและฟิล์มเอ็กซเรย์เกี่ยวกับเท้า   ส่วนแผนกเย็บและประกอบเป็นตัวรองเท้ามีเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีกสองคนรับผิดชอบ เธอสามารถเรียนรู้และทำงานนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมมาก่อน

ที่โรงงานขนาดเล็กมีคนงานเพียง 4 คนนี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น ชั้น 2 และ 3 ถูกดัดแปลงเป็นห้องพักของพนักงาน ที่นี่ติดแอร์ทุกชั้นและทุกห้อง หน้าต่างในแต่ละชั้นถูกปิดตายไม่สามารถเปิดได้ เพราะตึกรอบข้างเป็นร้านอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากภายนอกอาคาร แก้วตาและพนักงานอยู่กินกันที่นี่ ด้วยเงินเดือนแตะ 2 หมื่นบาท นั่นมากพอสำหรับแก้วตา ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยสำหรับเธอ

หมอดิเรกเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี ด้วยงานประจำในโรงพยาบาลและร้านขายรองเท้าพิเศษนี้ ทำให้เขามีรายได้เยอะมากในแต่ละเดือน หมอดิเรกเป็นที่หมายตาของสาวๆรอบตัว รวมถึงแก้วตาด้วยที่เธอแอบชอบหมอดิเรก และด้วยความที่หมอดิเรกเป็นนายจ้างที่ใจดีกับพนักงานในร้านรองเท้า ทำให้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่แก้วตาไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจนั้นออกไปให้หมอได้รู้

“คุณหมอดิเรกคะ คือว่าน้าสมานเขาบอกหนูว่าเขาจะลาออกค่ะ” แก้วตาพูดกับหมอดิเรก เมื่อหมอดิเรกนำแพทเทิร์นรองเท้ามาส่ง

“อ้าว...จริงเหรอ เสียดายจริงๆ สมานเขาเป็นคนทำงานประณีตมีฝีมือ เขาจะลาออกทำไมล่ะ” หมอพูด

“เห็นน้าเขาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ “

“เหรอ น่าสงสารแกเหมือนกัน สมานเขามีหน้าที่ประกอบรองเท้าใช่มั้ย ถ้าช่วงที่ฉันยังหาคนมาทำแทนไม่ได้ แก้วตารับผิดชอบส่วนนี้ไปก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วฉันจะขึ้นเงินเดือนให้” หมอดิเรกยื่นเงื่อนไขที่ดูเป็นกันเองให้แก้วตา สำหรับพนักงานทุกคนในร้าน หมอดิเรกมักจะไม่เคยคิดจะเอาเปรียบลูกน้องอยู่แล้ว

“ได้ค่ะหมอ หนูทำได้” แก้วตาตอบรับข้อเสนอของหมอดิเรก


เวลาผ่านไปหลายเดือน แก้วตาทำงานด้วยความสุข ด้วยชีวิตที่มั่นคง และการที่ได้เจอหน้ากับหมอดิเรกบ่อยๆก็ทำให้เธอชอบที่จะทำงานอยู่ที่นี่ แม้จะเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพราะต้องรับผิดชอบการทำงานส่วนของสมานที่ลาออกไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกท้อใจกับงาน

วันนี้แก้วตารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ หมอดิเรกนัดเธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้เธอจะรู้ว่าหมอดิเรกเพียงแค่จะนัดให้เธอไปรับแพทเทิร์นรองเท้าและรวดเลี้ยงอาหารเธอเป็นการตอบแทน ที่เธอทำงานดีมาตลอด คืนนั้นเธอเลือกชุดที่สวยที่สุดเพื่ออกไปเจอหน้าคุณหมอ

แก้วตานั่งแท็กซี่ไปยังชานเมือง เธอบอกให้คนขับจอดที่หน้าสวนอาหารแห่งหนึ่ง หมอดิเรกบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ที่นี่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปที่โรงงาน จึงขอให้เธอมารับเอกสารที่นี่

“อ้าว...มาถึงแล้ว นั่งก่อนๆ อยากกินอะไรสั่งเลยนะ” หมอดิเรกที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นทันทีที่เห็นแก้วตาเดินเข้ามา

แก้วตาขยับเก้าอี้นั่ง เธอมองพร้อมยิ้มไปที่หมอดิเรก โดยที่หมอดิเรกไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อทานข้าวเสร็จ แก้วตานั่งรถแท็กซี่กลับที่พักพร้อมเอกสาร คืนนั้นเธอนอนฝันหวานถึงหมอดิเรกทั้งคืน


“จริงหรือคะป้าสุนทรี น้าสมานเสียแล้วเหรอ” แก้วตาตกใจเมื่อป้าสุนทรีโทรมาแจ้งข้าวการตายของสมาน

“จริงสิ สมานเพิ่งจะเสียเมื่อคืนที่โรงบาล ป้าไปอยู่ดูใจแกเมื่อคืนทั้งคืนเลย”

“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าน้าสมานเป็นอะไรตาย” แก้วตาถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตกใจ

“เห็นหมอบอกว่าเนื้อเยื่อที่ปอดถูกทำลายนะ”

“เอ... น้าแกเป็นโรคนี้ได้ยังไงนะ”

“หมอบอกว่าสมานสูดดมสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน นานจนเข้าขั้นเรื้อรังไม่ทันรักษาแล้ว”

“สารเคมี!” แก้วตาฉุกคิดว่าสารเคมีที่ไหนที่น้าสมานจะสูดดมเป็นเวลานาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ “หนูเสียใจด้วยค่ะป้า” แก้วตาเอ่ยอำลาป้าสุนทรีด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

แก้วตานอนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่น้าสมานสูดดมเป็นเวลานาน เธอคิดได้ว่าหรืออาจจะเป็นกาวสำหรับทำรองเท้าที่ระเหยออกมาจากชั้นล่าง และด้วยลักษณะของตึกที่ถูกปิดทึบไว้ตลอด ทำให้สารระเหยจากกาวยังวนเวียนอยู่แต่ในตึกไม่ออกไปไหน

เธอต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ขอให้หมอดิเรกจัดการกับปัญหานี้

แก้วตาได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับพนักงานที่ลาออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาทำงานแทน ในตอนนั้นสมานบอกว่าพนักงานคนนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกัน บางทีเธออาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้

“สวัสดีค่ะ นั่นคุณลลิตาใช่มั้ยคะ” แก้วตาพูดผ่านสายโทรศัพท์

“ใช่ค่ะ นั่นใครคะ”

แก้วตาแนะนำตัวเอง เธอบอกข่าวเกี่ยวกับสมานให้ลลิตาฟัง จากนั้นถามถึงสุขภาพของลลิตา ลลิตาได้ยินดังนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้แก้วตาฟัง

“ใช่แล้วล่ะ ที่โรงงานทำรองเท้าของหมอดิเรกมีพนักงานเข้าๆออกๆเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว และส่วนใหญ่ที่ออกเพราะเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพนี่แหละ" ลลิตาพูด

“ใช่จริงๆด้วย แล้วทำไมไม่เคยมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหมอดิเรกล่ะคะ”

“มีสิ พี่เคยพูดเรื่องนี้กับหมอดิเรกก่อนที่พี่จะลาออกจากที่นั่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนหมอแกจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”

“จริงหรือคะ น่าแปลกจัง ทั้งๆที่หมอดิเรกก็ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของลูกน้องอย่างดี แต่ทำไมไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”

สิ้นเสียงพูดของแก้วตา ลลิตาหัวเราะในลำคอเบาๆแต่แก้วตายังได้ยิน

“หมอเขาคงอยากให้พนักงานทุกคนตายอยู่แล้วมั้ง สมานไม่ใช่รายแรก และก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย” ลลิตาวางหูโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ คำพูดของเธอทำให้แก้วตาถึงกับเสียวสันหลังวาบ


หลายวันมานี้เธอทำงานตามปกติในโรงงานตึกแถวหลังนี้ แต่ในใจเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสารเคมีจากกระป๋องกาวที่คละคลุ้งจางๆ ได้

แก้วตาชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแม้จะอยู่ในห้องพักที่เธอนอน เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าสุขภาพของเธอแข็งแรง เพราะเธอคิดว่าการเต้นแอโรบิคที่เธอทำประจำทุกๆเย็น จะช่วยทำให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายเหล่านี้ขอร้องให้หมอดิเรกปรับปรุงตัวอาคาร หรือไม่ก็ซื้อเครื่องระบายอากาศขนาดใหญ่มาติดตั้งทั้งตึก แต่เธอก็กลัวว่าจะถูกหมอดิเรกปฏิเสธคำขอนั้น เพราะหากหมอดิเรกจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว กลับปล่อยให้พนักงานเป็นโรคร้ายถึงกลับตาย

แม้ความคลางแคลงใจที่แก้วตามีต่อหมอจะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยการปฏิบัติของหมอที่ดีต่อแก้วตา ทำให้แก้วตาใจอ่อน ไม่สามารถโกรธหรือเกลียดหมอได้ เธอยังคงยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ บางครั้งความสุขเหล่านี้ทำให้เธอลืมเรื่องสารเคมีที่ลอยคลุ้งในตัวอาคารไปหมดสิ้น

และแล้วก็ถึงวันของแก้วตา เธอเริ่มรู้สึกไอบ่อยขึ้น หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย แม้จะไม่มากแต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นโรคร้ายเหมือนสมานและลลิตา เธอพยายามเก็บอาการและไม่บอกให้ใครรู้ เพราะเธอกลัวว่าเธอจะไม่ได้ทำงานรองเท้าที่เธอรัก และอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหมอดิเรกอีกหากไม่ได้ทำงานที่นี่

แก้วตาตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เธอหวังว่าจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการที่เธอเป็นอยู่นี้ ผลตรวจปรากฏว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เมื่อรู้ความจริงข้อนี้เธอไม่เสียใจ เพราะเธอรักคุณหมอดิเรก

คลินิกให้ยาแก้วตามากิน ทำให้อาการของเธอดีขึ้น เพราะความรักที่เธอมีให้กับหมอ ทำให้เธอยอมอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน หมอดิเรกก็ทำตัวปกติกับพนักงานทุกคนเหมือนไม่มีเร่องเกี่ยวกับสารเคมีในอาคารเกิดขึ้น


อยู่มาวันหนึ่ง หมอดิเรกยื่นบัตรเชิญงานแต่งงานให้แก้วตา เธอเปิดดูบัตรเชิญและรู้สึกสะเทือนใจที่ชื่อในบัตรเชิญนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ ลับหลังเธอแอบร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ แก้วตาหลงเข้าข้างตัวเองมานานแล้วว่าหมอดิเรกมีใจให้กับเธอ แต่วันนี้กับสิ่งที่หมอดิเรกทำ นั่นยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอคิดไปเองมาตลอด

จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น จากความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง แก้วตาตัดสินใจหนีออกมาจากตึกนั้นในคืนวันนั้นทันทีที่ได้รับข่าวสะเทือนใจ เธอหนีออกมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่วนหนึ่ง และบัตรเชิญงานแต่งนั้น

ไม่มีใครสามารถติดต่อแก้วตาได้อีกเลยแม้แต่หมอดิเรก หรือบางทีหมอดิเรกก็อาจจะไม่คิดจะติดต่อตามหาเธออีกแล้ว แก้วตาคิดแบบนั้นในหัว เธอหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ เธอไม่บอกเรื่องโรคร้ายนี้ให้ใครรู้ เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน แต่เวลาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งอาการของปอดที่ถูกทำร้ายเริ่มกำเริบยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นเกลียดชังเพิ่มเป็นทวีคูน เธอหยิบบัตรเชิญงานแต่งของหมอดิเรกขึ้นมาดูพร้อมสายน้ำตาที่หยดลงบนบัตรเชิญใบนั้น


งานแต่งงานของหมอดิเรกถูกจัดในโรงแรมสุดหรู หมอดิเรกในชุดทักซิโด้เข้ารูปยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดในงาน เจ้าสาวของเขาในชุดเจ้าสาวราคาแพงระยับยืนเคียงข้างคอยต้อนรับแขกระดับเศรษฐีที่เข้ามาร่วมงาน

แขกนับร้อยทยอยเข้ามาในงาน หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแขกคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในงานโดยแต่งชุดพนักงานของทางโรงแรม ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีบัตรเชิญเข้างานที่เปื้อนคราบรอยน้ำตาโผล่ออกมา แต่เธอคิดว่าคงไม่ต้องใช้

ถึงจังหวะที่คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวแนะนำตัวบนเวที

“ขอบคุณสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ที่มาร่วมงานเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ ผมและเนตรเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราศึกษาดูใจจนแน่ใจว่าเราคู่กัน” ดิเรกกล่าวบนเวทีสั้นๆ นั่นเรียกเสียงปรบมือกังวานทั่วทั้งห้องจัดงาน

แขกเหรื่อทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่ เจ้าบ่าวที่ทั้งร่ำรวยและเก่ง รวมถึงเจ้าสาวที่สวยและมาจากตระกูลผู้ดี นั่นทำให้คู่สมรสคู่นี้ต่างได้รับการยอมรับและยกย่องจากผู้มาร่วมงาน คงจะมีแต่แขกที่ปลอมตัวเข้ามาในชุดพนักงานของโรงแรมเพียงคนเดียว ที่เครียดแค้นและชิงชังเจ้าบ่าวของงาน

และก็มาถึงช่วงที่โรงแรมจัดชุดอาหารโต๊ะจีนไปเสิร์ฟในแต่ละโต๊ะ อาหารในงานคืนนี้คือตือฮวนจากภัตตาคารชื่อดัง และขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร แขกลึกลับในชุดพนักงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสิร์ฟอาหารในครั้งนี้ด้วย

ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับตือฮวนสุดอร่อย น้ำซุปสุดเข้มข้น บนเวทีมีการบรรเลงเปียโนเพลงรัก และภาพจากโปรเจคเตอร์กำลังแสดงภาพพรีเว้ดดิ้งของคู่บ่าวสาว นั่นเกือบทำให้บ่อน้ำตาของแขกลึกลับคนนั้นต้องแตกออกมา โชคดีที่เธอกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ได้ ไม่อย่างนั้นแผนการที่เธอเตรียมมาอย่างดีทุกอย่างในคืนนี้คงต้องพังพินาศ

เมื่อเสียงโน้ตเปียโนตัวสุดท้ายจบลง ภาพสไลด์เฟรมสุดท้ายปรากฏ คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง และจังหวะนี้ที่แขกลึกลับคนนั้นรีบวิ่งชิงขึ้นไปบนเวทีแซงหน้าคู่บ่าวสาว

แขกลึกลับเมื่อยืนอยู่หน้าไมโครโฟน เธอพูดประกาศใส่ไมค์ทันที

“เอาล่ะ สำหรับความสำราญในคืนนี้จบลงแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ” เสียงของพูดของเธอทำให้แขกเหรื่อเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงฮือฮาโห่ร้องก็ดังไปทั่วห้องเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นห้อง คราวนี้ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงโดยมิได้นัดหมาย หมอดิเรกมองมาที่แขกลึกลับคนนั้นก่อนจะพูด

“แก้วตา นั่นแก้วตาใช่มั้ย”

แก้วตาที่ปลอมตัวมาในคราบพนักงานโรงแรม เธอหันมามองที่หมอดิเรก แต่คราวนี้เธอกลั้นสายน้ำที่ไหลเอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่ไหวแล้ว

“ใช่ค่ะ นี่แก้วตาเอง”

แม้ความเกลียดและชิงชังต่อหมอดิเรกที่แก้วตามีต่อเขา แต่เธอยังส่งสายตาที่ห่วงหาอาทรใส่เขาพร้อมสายน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด จากดวงตาทั้งสอง

“มาเข้าเรื่องกันเลย แขกทุกท่านคะ ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันคืออดีตพนักงานที่เคยทำงานในโรงงานทำรองเท้าเล็กๆของหมอดิเรก ฉันรู้ความจริงมาว่าหมอดิเรกละเลยที่จะใส่ใจปัญหาเรื่องสุขภาพของพนักงาน ทำให้พนักงานหลายคนเจ็บป่วยเป็นโรคเยื่อปอดถูกทำลาย เพราะโรงงานของหมอเต็มไปด้วยสารเคมีจากกาวสำหรับทำรองเท้า...

“หมอดิเรกทราบถึงปัญหานี้ดีแต่ละเลยที่จะแก้ไข เขาจงใจที่จะให้พนักงานตายเพราะไม่ต้องการให้สูตรทำรองเท้านี้เผยแพร่ไปอยู่ที่ไหน และฉันเองก็กำลังจะตายเพราะโรคร้ายนี้ในอีกไม่ถึงเดือน”

“ไม่จริงๆ เธอเข้าใจอะไรผิดไปหมดแล้วนะแก้วตา” หมอดิเรกพยายามจะแก้ตัว เพราะเขาเห็นปืนในมือของแก้วตา

“หมอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันไม่ประโยชน์ที่จะมาสำนึกอะไรในตอนนี้” เธอตวาดเสียงออกไปผ่านไมโครโฟน นั่นทำให้ทั้งห้องเงียบเสียงยิ่งกว่าเดิม

“หมอมันคนเห็นแก่ตัว” แก้วตากระแทกเสียงผ่านไมโครโฟนอีกครั้ง

หมอดิเรกค่อยๆเดินเข้ามาใกล้แก้วตา และหยุดยืนเมื่อห่างจากแก้วตาไม่ถึง 5 เมตร ส่วนเจ้าสาวในค่ำคืนนี้วิ่งหนีลงจากเวทีไปนานแล้ว

หมอดิเรกหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาทำเหมือนกับว่าถือไพ่เหนือกว่าบนเวทีนี้ หมอดิเรกรู้มานานแล้วว่าแก้วตามีใจให้เขา และหลงรักเขา เขามั่นใจว่าจะกล่อมเธอสำเร็จให้ยอมทำตามความต้องการของเขา

“เธอมีหลักฐานอะไรมากว่าวหาฉันในข้อนี้ ตลอดเวลาฉันดูแลพนักงานอย่างดี เงินเดือนที่ให้ก็มากโขอยู่เมื่อเทียบกับโรงงานอื่นๆ ไม่เอาน่า... เราอย่าให้เรื่องแค่นี้มาทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากเลย” หมอดิเรกเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลง เขาพยายามทำให้แน่ใจว่าแก้วตากำลังจ้องมองมาที่เขา

เจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยในชุดสูทสีดำเข้มค่อยๆแอบลอบเดินเข้ามาข้างหลังแก้วตา อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาจะสามารถตะครุบตัวเธอไว้ได้

“เราค่อยๆพูดกันดีกว่านะ ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบ...” หมอดิเรกยังไม่ทันพูดจบ

ปัง!

แก้วตากลับหันหลังพร้อมกระบอกปืนเล็งไปที่เจ้าหน้าที่คนนั้นทันที กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ของเจ้าหน้าที่คนนั้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว ฉันไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตาย กรุณาถอยไปซะ” แก้วตาตะคอกเสียงไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไป  เจ้าหน้าที่ที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น พยายามใช้ขาทั้งสองข้างถีบตัวเองออกไปจากกลางเวที

แก้วตาหันปลายกระบอกปืนมาที่หมอดิเรก หมอดิเรกทำท่าทางตกใจ ความเก่งกล้าของฝีปากเขาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

“เธอจะเอายังไง”

“ไม่ต้องกลัวหรอกหมอ ที่ฉันมาคืนนี้ไม่ได้จะมาทำให้ใครตาย ฉันแค่อยากจะออกมาบอกความจริงแค่นั้น” แก้วตาพูดเสร็จ เธอก็หยิบถุงพลาสติกใสออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ในถุงเป็นก้อนเนื้อสีแดงเข้มจนเกือบจะดำสนิท

“นี่คือปอดของพนักงานคนหนึ่งที่เคยทำงานในโรงงานของหมอ เธอตายไปนานแล้ว ในถุงนี้มีปอดเพียงแค่ครึ่งเดียว” แก้วตาชูถุงบรรจุเนื้อปอดให้ทุกคนในงานดู จากนั้นเธอโยนชิ้นเนื้อนิ่มๆในถุงพลาสติกไปที่หมอดิเรก

“แล้วอยากรู้ไหมว่าปอดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน” ไม่มีเสียงตอบรับคำถามของแก้วตา ทุกคนต้องตกตะลึงปนสยดสยองถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับของที่อยู่ในถุงใส

“นู่น! มันอยู่ในนู้น หม้อตือฮวนบนโต๊ะพ่อแม่ของหมอมีส่วนผสมของปอดนี้ด้วย แต่กลิ่นเน่าเหม็นของมันคงถูกกลบด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศสูตรเข้มข้นนั้นหมดแล้ว เป็นยังไงคะคุณพ่อคุณแม่ ปอดของอดีตพนักงานในโรงงานของลูกชาย อร่อยมั้ย” แก้วตาพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาดังลั่น แขกบนโต๊ะที่นั่งรวมกับโต๊ะพ่อแม่เจ้าบ่าวรวมทั้งพ่อแม่เจ้าบ่าวต่างสำรอกอาหารมื้อนั้นออกมาพร้อมเพรียงกัน

โต๊ะรอบข้างบางคนเมื่อเห็นชิ้นเนื้อแปลกๆในหม้อตือฮวนบนโต๊ะนั้น ก็ต่างเบือนหน้าหนีและทำหน้าผะอืดผะอมเช่นกัน

เสียงหัวเราะของแก้วตาดังขึ้นอีกครั้งเหมือนคนเสียสติ ใช่! เธอเสียสติไปแล้ว ไม่มีใครบนเวทีกล้าที่จะไปแย่งปืนจากคนเสียสติอย่างเธอ จากนั้นไม่นานเสียงปืนกระบอกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เลือดและเศษมันสมองสาดกระจายเต็มพื้นเวที

แก้วตารักษาสัญญาที่จะไม่ทำให้ใครในงานตาย นอกจากตัวเธอ เธอจบชีวิตตัวเองด้วยการระเบิดสมองท่ามกลางคนนับร้อย


ก่อนที่จะถึงกำหนดวันแต่งงานหลายอาทิตย์ แก้วตาเริ่มที่จะยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เธอเจอมา ความทุกข์ทรมานที่กัดกินจิตใจเธอมาตลอดหลายสัปดาห์เริ่มจะเจือจาง เธอบังเอิญไปเจอเศษกระดาษที่อยู่ในเสื้อตัวหนึ่ง ในกระดาษเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เธอจดมาจากพนักงานในโรงงานอีกคน เบอร์โทรนั้นเป็นของลลิตา

แก้วตาเดินทางมาหาลลิตาที่บ้าน เมื่อทั้งคู่นัดหมายกัน แก้วตายื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานแต่งให้กับลลิตาดู เธอบอกว่าสาเหตุนี้แหละที่ทำให้เธอหนีออกมาจากที่นั่น

เมื่อลลิตาเห็นเธอถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แก้วตามารู้ทีหลังว่าลลิตาก็เคยแอบหลงรักหมอดิเรกเช่นเดียวกัน ลลิตาบอกว่าเธอเคยคิดว่าจะได้แต่งงานกับหมอดิเรก แต่สุดท้ายก็รู้ว่าหมอดิเรกแอบหลอกใช้เธอให้ทำงานอย่างจงรักภักดีในโรงงานแห่งนี้

“ยิ่งรักก็ยิ่งแค้นนัก” ลลิตาพร่ำบ่นออกมาสั้นๆ

“แค้นแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้” แก้วตาพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“มีหลายครั้งที่หมอให้ความหวังกับพี่ว่าเราจะได้แต่งงานกัน แต่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นเรื่องโกหก” ลลิตาพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย “พี่พร้อมที่จะมอบทั้งใจและกลายให้กับหมอมาตลอด แต่หมอพยายามบ่ายเบี่ยงบอกเพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่อยากทำผิดประเพณี ไอ่เราก็นึกว่าหมออยากจะแต่งงานกับพี่” เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งคู่ต่างเงียบงันบทสนทนาไปชั่วครู่ แต่เสียงร่ำไห้ของลลิตายังคงอยู่ จากนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างออกมา

“เธออยากจะแก้แค้นหมอมั้ย”

แก้วตาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง สภาพจิตใจของเธอก็ไม่ต่างจากลลิตามากนั้น ทั้งรักทั้งแค้น แต่เธอยังไม่แค้นมากพอที่จะแก้แค้นหมอ

“อย่าจองเวรกันเลยดีกว่านะ เรายอมรับโชคชะตาและค่อยๆอยู่ไปแบบนี้ดีกว่า”

ลลิตาหัวเราะดังลั่น “เธอมันบ้าไปแล้ว บูชาความรักทั้งๆที่มันไม่เคยมีอยู่จริง เธอคงรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอน้อยไปเพราะเธอไหวตัวทันออกมาก่อน” ลลิตาเดินหายเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็เดินกลับออกมาพร้อมลังกระดาษขนาดไม่ใหญ่นัก

ลลิตาเทซองกระดาษจดหมายนับสิบฉบับลงตรงหน้าแก้วตา

“นี่คือจดหมายที่เราสองคนใช้โต้ตอบกัน ถ้าเธอได้อ่านเธอจะรู้ว่าความหวังทั้งชีวิต ถ้ามันถูกทำลายโดยคนที่เรารักมันจะเป็นยังไง”

แก้วตาเปิดอ่านจดหมายหลายฉบับ เธอถึงกับน้ำตาร่วงหล่นลงบนกระดาษหลายแผ่นที่เธอหยิบขึ้นมาอ่าน

“แล้วพี่จะแก้แค้นหมอยังไง” แก้วตาถามคำถามนี้เมื่ออ่านจดหมายครบทุกฉบับ

ลลิตายิ้มเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ออกมาจากแก้วตา

“ไหนๆฉันก็จะตายอยู่แล้ว ฉันอยากให้พวกนั้นได้รับรู้ว่าความน่าสยดสยองว่ามันเป็นยังไง” ลลิตาเล่าแผนการทุกอย่างให้แก้วตาฟังทั้งหมด

เมื่อได้ยินแผนการทั้งหมดของลลิตาแล้ว แก้วตาถึงกับผะอืดผะอมและไม่อยากทำ เมื่อเธอรู้ว่าขึ้นตอนแรกของแผนการคือ เธอต้องฆ่าลลิตาให้ตาย แล้วผ่าศพเอาปอดที่เน่าเฟะของลลิตาออกมา แก้วตาปฏิเสธทันที

ลลิตาหัวเราะเบาๆ “พี่เข้าใจว่าการฆ่าคนมันยากลำบาก แต่ไม่เป็นไร พี่จะข้ามขั้นตอนนั้นไป แต่เธอต้องทำตามแผนทั้งหมดที่พี่เล่าให้ฟังนะ” ลลิตเดินหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ไม่นานเธอก็เดินกลับออกมาพร้อมมีดทำครัวเล่มยาว

“พี่จะทำอะไร” แก้วตาตกใจเมื่อเห็นมีดในมือลลิตา

โดยที่ไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ ลลิตาใช้มีดด้ามนั้นคว้านเข้าไปในท้องของเธอ เธอใช้เรี่ยวแรงที่ยังเหลือกรีดมีดขึ้นมาจนถึงหน้าอก ลลิตาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายพูดคำบางคำออกมา

“ที่เหลือฝากต่อด้วยนะ ลาก่อน”

ลลิตาฟุบลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมกองเลือดที่ไหลนอง เลือดส่วนหนึ่งไหลไปเปรอะกับกระดาษโปสเตอร์แผ่นหนึ่ง โปสเตอร์แผ่นนั้นคือแผนผังร่างกายที่แสดงตำแหน่งอวัยวะภายในของมนุษย์ ลลิตาตั้งใจใช้ปากกาเมจิคสีแดงวงรอบตำแหน่งของปอดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว


เมื่อแก้วตาหายตกใจและหยุดส่งเสียงกรีดร้อง เธอตรงเข้าไปยังร่างของลลิตาและหยิบมีดเล่มนั้นออกมาจากมือของเธอ จากนั้นเธอหยิบแผ่นกระดาษโปสเตอร์ขึ้นมาและเทียบตำแหน่งอวัยวะชิ้นนั้นระหว่างในกระดาษกับร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่ใกล้ๆนี้

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

100เหตุผล


“สุชล น้องแป้งเขาอยากออกเดทกับนายน่ะ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ น้องเขาแอบชอบนายมานานแล้วนะ” พี่สุภาพเอ่ยทักทายผม เมื่อผมเดินผ่านประตูร้านสะดวกซื้อเข้ามา วันนี้ผมจะมาเข้ากะต่อจากพี่สุภาพครับ แต่ผมต้องมาล่วงหน้าประมาณ 10 นาทีเพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสอบยอดเงิน

 “โธ่พี่ แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าแป้งเขาชอบผม” ผมเก็บกระเป๋าและเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คตัวเลข

“พวกผู้หญิงเขาพูดกันจนรู้กันหมดทั้งร้านแล้ว แกก็น่าจะรู้แต่แกล้งไม่รู้มากกว่า” พี่สุภาพพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาเตรียมตัวเก็บของเพื่อออกจานงานกะดึกไป

“นี่ฉันจะขอเตือนนายไว้อย่างนะ นายก็ไม่ใช่จะอายุน้อยๆแล้ว รีบหาคู่ซะ เดี๋ยวแก่ไปจะได้อยู่คนเดียว ชีวิตนี้มันเหงานัก แต่งงานมีลูกมีเมียเหมือนคนอื่นบ้าง”

“โธ่พี่ ผมยังไม่พร้อม เงินเดือนพนักงานแคชเชียร์อย่างเราจะไปพอเลี้ยงใครได้” ผมยังบ่นตัดพ้อกับพี่สุภาพ

“แล้วยังไง ดูข้าสิ เงินเดือนก็พอๆกันแต่ข้าก็ลูกสองแล้วนะโว้ย อย่าทำเป็นข้ออ้างเยอะไปหน่อยเลยน่า ยังไงก็ลองคิดดูนะ ข้าไปล่ะ” พี่สุภาพพูดเสร็จก็เดินออกจากร้านไป

สิ่งที่พี่สุภาพพูดนั้นก็ถูกนะครับ เพื่อนๆผมที่เรียนจบมาพร้อมกันก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปเกือบจะหมดแล้ว แต่ที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้เพราะผมยังคิดว่าตัวเองไม่พร้อมนี่สิ ชีวิตของผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลย เงินเก็บก็ไม่มีเพราะเงินเดือนที่ได้ก็แบ่งใช้จ่ายกับทางบ้านหมด รถยนต์สักคันก็ไม่ มีแต่มอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ  บ้านช่องห้องหับก็ไม่พร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่ๆเพิ่มเข้ามา ถ้าจะให้ไปซื้อบ้านใหม่เหรอ อันนั้นยิ่งหมดหวังเข้าไปใหญ่

ความจริงแล้วผมรู้ตัวเองดีครับว่าผมชอบน้องแป้ง เธอน่ารักและนิสัยดี เธอยังไม่มีแฟน และผมก็ยังรู้ดีอีกด้วยว่าน้องเขาก็รอผมอยู่ แต่ตัวผมก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทุกครั้งที่ความคิดเริ่มจะคล้อยไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีต่อแป้ง ผมจะคิดก่อนเสมอว่า ผมพร้อมหรือยัง หมายถึงพร้อมในเรื่องการเงินที่จะสามารถดูแลแป้งได้ แค่เมื่อคิดว่ายังไม่พร้อม ผมก็หยุดความคิดที่จะคบกับแป้งเป็นแฟนไป

เวรของพนักงานที่นี่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามตารางของผู้จัดการจะจัดให้ มีหลายครั้งที่ผมกับแป้งต้องมาจับคู่กัน ความจริงแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองชอบ แต่ด้วยเหตุผลที่ผมบอกไปว่าผมนั้นยังไม่พร้อมที่จะคบใคร ผมจึงแสดงออกเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานกับแป้งตลอดเวลา จนเธอเองก็คงคิดว่าผมไม่เคยมีใจให้ตัวเธอเองเลยสักนิด และแน่นอนว่าทั้งร้านก็คงไม่มีใครล่วงรู้ถึงความในใจนี้แน่นอน

“ว่าไงชล วันนี้ไม่ได้อยู่กะเดียวกับหวานใจล่ะสิ เสียใจด้วยนะ” เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมชื่อติ เขาเข้างานตรงเวลาและไม่ลืมที่จะพูดแซวผมเกี่ยวกับเรื่องแป้ง

“เอาอีกคนละ เรายังไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยนะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าแป้งเสียหายหมดสิแบบนี้” ผมเผยความในใจของตัวเองออกไปไม่ได้ ติยังคงหัวเราะร่าที่แกล้งแหย่ผมเล่น

“ไม่เป็นไรๆ ถ้านายไม่สนใจแป้งจริงๆงั้นเราจองละกันนะ” ติยังไม่เลิก เจ้านี่ยังจงใจจะแกล้งผม

“อ้าว แล้วแฟนนายล่ะ มีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าติมันมีแฟนอยู่แล้ว เรื่องนี้ใครๆในร้านก็รู้

“แล้วนายจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่รึ” เจ้าติพูดเสร็จมันก็หัวเราะร่า ในขณะที่ผมก็พูดอะไรไม่ออกถึงกับควันออกหู แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้


เวลาทำงานในช่วงกะดึก ช่วงเวลาประมาณตี 2 ถึงตี 3 เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ผมแอบสารภาพว่าบางครั้งผมก็มีหน้าของแป้งโผล่มาในหัวของผมเหมือนกัน ผมเข้ามาทำงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้หลายปีแล้ว เหตุผลเพราะมันใกล้บ้านมาก และเจ้าของกับแม่ของผมก็รู้จักกันดี ผมเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงก่อนที่จะเรียนจบ แต่ทำไปทำมาผมก็อยู่ทำประจำที่นี่เลย โดยทิ้งวุฒิวิศวกรไว้ไม่ยอมไปสมัครงานที่ไหน

ความจริงแล้วเพื่อนของแม่ผมเปิดโรงงานพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องจักร ซึ่งนั่นก็ตรงสายกับที่ผมเรียนพอดีเลย แม่สามารถฝากงานและเพื่อนแม่ก็จะรับเข้าทำงานทันที แต่ผมก็คิดว่าโรงงานแห่งนั้นไกลบ้านเกินไป ไกลเกินกว่าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปทำงานได้ จะขึ้นรถประจำทางก็ไม่มีเพราะบ้านผมออกมานอกตัวเมืองเยอะ มีทางเดียวคือต้องซื้อรถยนต์ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นภาระระยะยาวอีก

ผมใช้วิชาคำนวณความคุ้มทุนที่จะซื้อรถยนต์สักคัน เมื่อคำนวณจากสมการที่ผมคิดขึ้นเอง โดยใส่ตัวแปรเป็นราคารถ  โอกาสในการเดินทาง ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัยฯ ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ผลปรากฏว่ามันจะใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าที่จะคุ้มทุน ซึ่งผมมองว่ามันนานเกินไป

แม่มักจะคะยั้นคะยอผมทุกอาทิตย์ ให้ไปสมัครงานกับเฮียเพ้ง ซึ่งทุกครั้งผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จะเอาไปเถียงกับแม่ จนทุกครั้งที่เราพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้จบ แม่มักจะถอนหายใจ แล้วก็ส่ายหน้าทุกครั้งก่อนจะเดินหลบหนีหายไป


ใกล้ฟ้าสาง ถึงเวลาที่ผมต้องออกจากกะนี้ และกะต่อไปแป้งก็จะเข้ามาทำงาน หากผมอยากเจอหน้าเธอ ผมก็จะออกงานช้าหน่อยโดยทำเป็นเก็บข้าวของเคลียร์บัญชีไป และครั้งนี้ผมก็แกล้งทำเป็นออกจากกะช้ากว่าเวลาเลิกนิดหน่อย เหมือนทุกครั้งที่ผมรู้ว่ากะต่อไปจะเป็นเวรของแป้ง

“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าชลอยู่รอเห็นหน้าแป้งก่อน” สาวสวยคนที่ผมแอบชอบเธอพูดเย้าแหย่ผม เธอมักจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้ผมด้วยการหยอดคำพูดที่ฟังแล้วคันๆใส่ผม ผมทำได้แค่ยิ้มอายๆให้เธอ ในใจผมอยากจะหยอดคำหวานให้เธอบ้าง แต่เจ้าเหตุผลของผมนี่สิเป็นตัวคอยอุดปากผมไว้ไม่ให้พูดคำพูดที่ชวนเลี่ยนนั่นออกมา

“เปล่าหรอก เรากำลังจะกลับพอดีน่ะ” ผมรู้ตัวดีว่าได้พูดประโยคนั้นออกไปที่จะทำให้เธอรู้สึกผิดหวังหรืออาจจะเสียหน้า ผมก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีกว่านี้แล้ว

ผมสะพายกะเป๋าเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองใบหน้าของเธอผ่านกระจกใส แน่นอนว่าแป้งเองก็ยิ้มส่งให้ผมพร้อมโบกไม้โบกมือ ผมดีใจจนเนื้อเต้นจนเกือบจะเผลอโบกมือกลับ

“ลูกชล เฮียเพ้งเขาถามแม่มาอีกแล้วนะว่าเมื่อไหร่ลูกจะไปอยู่ที่โรงงานกับเขา” เป็นกิจวัตรไปแล้วที่แม่พูดเรื่องนี้กับผมในมื้ออาหาร

“ผมก็อยากไปอยู่นะแม่ จะว่าไปโรงงานของเฮียแกก็อยู่ใกล้บ้านเราที่สุด แต่นั่นก็ยังไกลโขอยู่นะ ถ้าเปรียบเทียบค่าเดินทางไปทำงานที่โรงงานเฮีย กับผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเรา อยู่ร้านสะดวกซื้อยังเหลือเงินมากกว่าอยู่นะ ดูสิ ผมยังมีเหลือให้แม่แต่ละเดือนเกือบ 5-6 พันเลย” ทุกครั้งที่แม่พูดเรื่องนี้ ผมก็จะใช้ประโยคเหล่านี้มาพูดบ้าง

“แต่แม่เสียดายความรู้ของลูกนะ อุตส่าห์เรียนจบมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้ทางนี้มาทำงาน ถ้าไปทำทางนู้นก็มีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอีก ส่วนเรื่องเดินทางเรอะ แม่มีเงินก้อนสะสมอยู่จำนวนหนึ่ง ลูกจะเอาไปดาวน์รถมาก่อนก็ได้นะ แม่ไม่ได้ใช้เงินหรอก”

เป็นครั้งแรกที่แม่พูดเหตุผลแบบนี้ใส่ผม เมื่อแม่พูดแบบนี้พร้อมแสดงความอาทรที่จะให้ผมนำเงินเก็บของแม่ส่วนหนึ่งไปดาวน์รถยนต์ ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมทำได้แต่เพียงตอบรับความปรารถนาดีนั้นไว้

“ครับแม่ ผมจะลองไปคิดดูครับ”

หลายวันมานี้ผมทำงานในร้านสะดวกซื้อด้วยจิตใจที่สับสนลังเลกับชีวิต บางครั้งแล้วผมก็คิดว่าผมใช้เหตุผลมากไป ไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสินใจใดๆเลย ใช่ครับ อารมณ์ความรักที่ผมมีให้กับแป้ง รวมถึงอารมณ์ที่อยากจะทำงานตรงสายที่เรียนจบมา แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลที่ผมคิดเองเป็นตัวขัดขวางไว้ไม่ให้ผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

วันนี้เป็นวันหยุดของผม ผมนัดแนะกับเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันไว้ว่าจะไปเที่ยวหามันที่บ้าน บ้านของเพื่อนก็ไกลอยู่พอสมควร ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์และไปต่อรถเพื่อเข้าไปในเมือง ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อทันให้ไปถึงบ้านเพื่อนช่วงสายๆ เพราะการเดินทางด้วยรถประจำทางนั้นค่อนข้างใช้เวลา

ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านเพื่อนในช่วงสายๆ ผมลงรถเมล์ที่ถนนใหญ่และต่อมอเตอร์ไซค์วินเข้ามาในซอยลึก ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพื่อนเขียนแผนที่อย่างละเอียดให้ผม และบ้านที่ผมเห็นนั้นช่างสวยงามและใหญ่โตจริงๆ ผมเห็นรถยนต์คันใหม่สวยหรูอีกคันจอดในที่จอดรถข้างบ้าน

“อ้าวชล มาถึงนานหรือยัง เข้ามาในบ้านก่อน เข้าไปตากแอร์เย็นๆในบ้านเร็ว ข้างนอกมันร้อนเหลือเกิน” เพื่อนของผมที่ชื่อเอโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างบ้าน พร้อมเรียกให้ผมเข้าไปข้างใน

เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวบ้านสิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ ลมเย็นสบายนี้ทำให้ความเหนื่อยจากการเดินทางก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น จะว่าไปแล้วลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศนี้ก็เหมือนกับในร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของผม แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าที่นี่คือบ้าน

“ไม่น่าเชื่อ แกเพิ่งจะเข้ามาทำงานในเมืองได้ 2-3 ปีเก็บเงินซื้อบ้านได้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” ผมยังทึ่งกับบ้านหลังใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

“เฮ้ย... เดี๋ยวนี้ใครเค้าซื้อเงินสดกัน ขอแค่มีสเตทเม้นท์ก็ทำเรื่องกู้ได้แล้ว เป็นวิศวกรในโรงงานได้เงินเดือนเยอะจะตาย”

“โรงงานที่แกอยู่นี่ไกลมั้ย”

“ใกล้ไกลไม่ใช่ปัญหา ขอแค่เรามีรถก็พอแล้ว”

ผมดีใจกับเพื่อนที่ตอนนี้มันมีชีวิตที่แทบจะสมบูรณ์แล้ว ผมเหลือบไปเห็นรูปเพื่อนถ่ายรูปกับเมียและลูกอีก 2 คน

“มี 2 หน่อแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว มี 2 คนก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่มันก็เป็นความสุขด้วย พอมาเห็นหน้าลูกๆก็หายเหนื่อยจากงานแล้ว”

“ดีจัง” ผมชื่นชมกับสิ่งที่เพื่อนมี บางครั้งก็แอบสะท้อนบางเรื่องมายังตัวผมเอง

“ว่าแค่นายทำงานที่ไหนเนี่ย ได้ทำตรงสายที่เราจบกันมามั้ย” ในที่สุดเพื่อนผมก็ถามเรื่องนี้กับผม ผมยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบกับมันยังไงดี

“ข้าเหรอ” ผมหยุดชะงักคำพูดไป “ตอนนี้ก็รอโรงงานเรียกตัวอยู่น่ะ ช่วงนี้ก็หาอะไรทำแถวบ้านไปก่อน” ผมพยายามบอกเลี่ยงๆ และเพื่อนผมก็ไม่ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ได้ข่าวเน็ทเพื่อนเรามั้ย เดือนที่แล้วบริษัทส่งมันไปอยู่สาขาที่ไต้หวันน่ะ ไปที่นั่นเป็นสวรรค์ของคนทำงานอย่างพวกเราเลยนะ”

“โห... มันก้าวหน้าถึงขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย น่าอิจฉาจริงๆ” ผมรู้ดีว่าที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ถูกนำเข้ามายังประเทศไทย ดังนั้นแล้ววิศวกรคนไหนที่ได้ไปดูงานที่ไต้หวัน นั่นหมายถึงโอกาสก้าวหน้าทางสายงาน

“ช่วงนี้ข้าไม่ได้ติดต่อใครเลยน่ะ แต่ละคนก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น เปลี่ยนที่อยู่บ้างล่ะ” ผมที่ไม่ได้ไปเที่ยวหากลุ่มเพื่อนๆนานมากแล้วพยายามหาข้ออ้าง

“เดือนแล้วพวกเราก็เพิ่งจะนัดกินเลี้ยงกันนิดหน่อยที่ร้านอาหาร เอาไว้คราวหน้าสิแกมาด้วยกัน มาหาข้าที่บ้านก็ได้”

ผมใช้เวลาตลอดบ่ายนั้นนั่งคุยกับเพื่อน พอใกล้เย็น เพื่อนอาสาที่จะขับรถเก๋งคันโก้มาส่งผมขึ้นรถประจำทางที่หน้าปากซอย ระหว่างทางก่อนออกจากซอยที่ผมนั่งบนเบาะนุ่มในรถเก๋ง ผมเริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนี้หลายๆเรื่อง การก้าวเดินต่อไปข้างหน้านั้นจำเป็นกับชีวิตหรือไม่ เหตุผลร้อยพันประการที่มักจะเอามาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วเหรอ ในเมื่อผมเองก็ยังมีความต้องการที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และยังเป็นทุกข์กับสถานะที่เรียกว่าจมปลักอยู่ตรงนี้

“โชคดีนะเพื่อน แล้วเจอกัน” เพื่อนผมล่ำลาก่อนเร่งรถออกไปจากป้ายรถเมล์ที่คนเริ่มพลุกพล่าน

ผมเห็นภาพของเพื่อนที่แต่งตัวดีขับรถยนต์ กับผมที่แต่งตัวธรรมดายืนรอรถเมล์อยู่ริมถนน ความขัดแย้งนี้มันช่างไม่น่าจะบรรจบเข้ามาหากันได้เลย หากผมและเจ้าเอไม่เคยเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน เราสองคนก็คงไม่มีทางได้มาโคจรพบกันได้


หลายวันผ่านมาหลังจากที่ผมกลับจากไปเที่ยวหาเจ้าเอที่บ้าน ผมยังคงทำงานด้วยจิตใจที่สับสนกว่าเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น ผมลังเลระหว่างคำว่าพอใจในชีวิตที่ตัวเองเป็น กับชีวิตที่เติบโตขึ้น ผมมักจะยึดติดกับคำแรกมากเกินไป บางทีแล้วอาจจะมีจุดสมดุลระหว่างคำสองคำนี้ก็ได้
หลายวันมานี้ผมบังเอิญได้เจอหน้ากับแป้งบ่อยขึ้น ใบหน้าของเธอยังปรากฏผ่านสายตาของผมหลายครั้ง และยังล่องลอยในมโนสำนึกของผมอีกหลายหน คำพูดเย้าแหย่จากเธอยังมีให้ผมอย่างสม่ำเสมอ

คืนหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน ผมนอนคิดเกี่ยวกับเรื่องไปทำงานกับเฮียเพ้ง นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะเริ่มเขาทำงานจริงๆจังๆเสียที ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะตอบรับคำขอของแม่ที่จะให้ไปทำงานกับเฮีย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก คือเรื่องของแป้ง ผมคิดว่านี่คงถึงเวลาที่จะต้องบอกความในใจของผมให้กับคนที่ผมรักได้รู้เสียที ผมได้ตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเธอ เมื่อเจอกับเธอในครั้งต่อไป



Happy Ending
“ลูกคุยกับเฮียเรื่องงานหรือยัง วันนั้นแม่คุยกับแก น้ำเสียงแกดีใจมากเลยนะที่จะได้ลูกไปช่วยงาน” น้ำเสียงของแม่ก็ดีใจไม่แพ้กับน้ำเสียงของเฮียเพ้ง วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจที่ทำให้แม่ดีใจได้ด้วย
“ผมโทรไปคุยกับเฮียแล้วครับ เริ่มงานสิ้นเดือนนี้เลย”
“ดีแล้วลูก นี่เงินก้อนนี้ลูกเอาไปดาวน์รถเลยนะ จะได้ขับไปทำงานได้ไม่ลำบาก”
“ขอบคุณครับแม่”
ผมรับเงินก้อนนั้นมาโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเมื่อผมได้เริ่มงานใหม่ บ่ายนี้ผมได้นัดแป้งไว้ว่าจะไปกินข้าวและอาจจะไปดูหนังด้วยกันสักเรื่อง หลังดูหนังจบผมกะว่าจะไปโชว์รูมรถเพื่อหาซื้อรถขนาดพอดีๆสักคัน
และแผนการต่อไปของผมคือ หากผมทำงานที่โรงงานครบหนึ่งปีแล้ว ผมจะขอแป้งแต่งงาน

Real Life Ending
“แม่เสียใจด้วยนะลูก พอดีว่าโรงงานของเฮียเพ้งกำลังเริ่มจะขาดทุน ทำ-ให้ไม่สามารถรับพนักงานใหม่เข้าไป” แม่พูดประโยคสั้นๆ แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บช้ำ ผมไม่รู้ว่าจะโทษใครดีระหว่างโชคชะตากับตัวเองที่ตัดสินใจช้าไป
เรื่องงานเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดอาการซึมเศร้า แต่นั่นมันคงไม่หนักหนาพอที่จะทำให้ผมหลั่งน้ำตาได้เท่ากับเรื่องของแป้ง
เมื่อเช้าผมไปหาเธอที่ร้านสะดวกซื้อช่วงที่เธออยู่กะ ผมเข้าไปหาพร้อมมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นแป้ง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกะนั้นบอกว่า แป้งกลับบ้านไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่พ่อของแม่เธอเลือกไว้ให้นานแล้ว ก่อนไปแป้งบอกว่าหากภายใน 3 ปีก่อนหน้านี้ถ้าเธอเจอคนที่ถูกใจและพาไปพบหน้าพ่อแม่ของเธอได้ สัญญาหมั้นจะถูกยกเลิก แต่เธอไม่เจอคนที่จะพาไปหาพ่อกับแม่ได้จึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก ก่อนออกจากร้านเธอเดินออกไปพร้อมน้ำตา
คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่บอกว่าแป้งเดินออกไปพร้อมน้ำตานั้น มันช่างเสียดแทงจิตใจของผมยิ่งกว่าถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงไปที่หัวใจ

ผมเดินออกจากร้านพร้อมน้ำตา

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...