วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องเหล้า ตอนแฟนเด็ก






                เกือบครบชั่วโมงแล้วที่ฉิม เต้และยศนั่งล้อมวงสุราโดยขาดสมาชิกไปหนึ่งคน นั่นก็คือนัยนั่นเองที่หายไป บนโต๊ะวงเหล้าเพียบพร้อมไปด้วยขวดเหล้าที่เหล้าพร่องลงไปนิดหน่อย บรรดามิกซ์เซอร์ทั้งขวดโซดา น้ำดื่มและถังน้ำแข็ง ยังมีจานกับแกล้มอีกสามจาน ทั้งหมูมะนาว เอ็นไก่ทอด ยำปลาดุกฟู ทุกอย่างดูเหมือนจะครบถ้วนสำหรับที่วงเหล้าควรจะมี แต่สิ่งที่ขาดหายไปนั้นคือความสนุกสนานเฮฮาจากการสนทนาในวงน้ำเมา

                เมื่อทั้งสามเพิ่งจะเริ่มนั่งในโต๊ะ พวกเขายังสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกันตามประสาขี้เหล้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า แต่ละคนเริ่มหมดคำถามและเริ่มรู้สึกถึงความไม่คุ้นชินที่จะมีกันแค่สามคนในวงสนทนา แต่ละคนเริ่มเงียบและหันมาดื่ม แต่ดื่มไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหันมาวางแก้วเพราะรู้สึกขาดอรรถรสอะไรไปบางอย่าง เมื่อใครคนหนึ่งหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเช็ค ทำให้คนที่เหลือต่างหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นตามบ้าง

                ความเงียบของวงเหล้าขาประจำในครั้งนี้ทำให้ลุงโฉมเจ้าของร้านผิดสังเกต แต่เขาก็ไม่มีเวลามาไถ่ถามถึงความสงัดนั้นว่ามาจากเหตุใด ลุงโฉมยังคงปล่อยให้สันติภาพในวงเหล้ายังดำเนินต่อไปโดยที่ไม่คิดจะไปแทรกแซงใดๆ เป็นครั้งแรกที่ลุงโฉมได้เห็นสังคมก้มหน้าตามสมัยนิยมจากบุคคลเหล่านี้

                หัวหน้าใหญ่แห่งวงสุราอดรนทนไม่ไหวกับความอึดอัดนี้ จึงเอ่ยประกาศขึ้นกลางวง

                “ใครก็ได้โทรไปตามไอ่นัยหน่อยสิ ตอนนี้มันอยู่ไหนแล้ว”

                ยศและเต้เงยหน้ามามองลูกพี่

                “แล้วทำไมพี่ไม่โทรล่ะ” ยศถาม

                ฉิมทำท่าอ้ำอึ้งนิดหนึ่งก่อนจะตอบ “โทรศัพท์ข้าตังค์หมด ยังไม่ได้เติมเลย”

                “งั้นผมโทรเองพี่” เต้รับคำเสร็จก็กดโทรทันที

                เต้รอสายพักหนึ่ง คู่สนทนาปลายสายก็ตอบกลับมา

                “ฮัลโหล” นัยพูดผ่านสายโทรศัพท์

                “อยู่ไหนแล้ว ลูกพี่ถามหา” เต้พูด

                “อยู่หน้าปากซอยแล้ว นี่จอดรถรับสาย เดี๋ยวจะถึงแล้วพี่ มีอะไรไปคุยกันที่นั่นนะ” นัยพูดเสร็จก็วางสายไป

                “มันว่าอยู่ปากซอยแล้ว อีกซักพักก็จะมาถึงแล้ว” เต้รายงาน

                ฉิมและยศทำสีหน้าโล่งใจ เหมือนความอึดอัดก่อนหน้านี้จะหายไปหมดสิ้นเมื่อรู้ว่าสมาชิกที่ขาดหายไปกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

                “น่าแปลกนะ ปกตินัยมันไม่เคยมาช้าขนาดนี้ ทุกทีก็เลิกงานตรงเวลาทุกคืนวันศุกร์ จะรถติดก็ไม่น่าใช่เพราะมอไซค์ลัดเลาะมาจากที่ทำงานมันก็ไม่น่านานขนาดนี้” ฉิมยังไม่วายที่จะตั้งข้อสงสัย

                “เห็นมันบอกก่อนหน้านี้นะว่าวันนี้อาจจะมาเลทหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะมาช้าขนาดนี้” เต้พูด

                “หรือว่ามันติดสาว” ยศเดา

                “ไม่แน่ ๆ” เต้พูด

                ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะถกเถียงกันจนถึงขั้นถึงพริกถึงขิง นัยก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมจูงมือเด็กสาวแสนสวยในชุดท่องราตรีที่สุดแสนวิจิตร ชุดเสื้อผ้าบนเรือนร่างหญิงงามนั้นดีเกินไปกว่าที่จะมานั่งในร้านโทรม ๆ แบบนี้ และภาพความแตกต่างที่สามารถมองเห็นได้ระหว่างการแต่งตัวของชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินเคียงข้างกัน นัยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าเวสป้อยส์สีเทาโรงงาน กางเกงยีนขากระบอกทรงโหล และรองเท้าหนังหัวเหล็กสำหรับคนคุมงานก่อสร้าง

                ในขณะที่หญิงสาวหุ่นงามระหงสวมสวมเสื้อลักษณะเหมือนเอาผ้ามาพันรอบตัว รัดไขว้จากไหล่พาดมาถึงเอวบดบังเนินหน้าอกแค่ครึ่ง เผยให้เห็นร่องอกใหญ่ยั่วน้ำลาย ผ้าลูกไม้ห่อหุ้มครึ่งแขนโชว์ความขาวของเนื้อนิ่ม กระโปรงผ้าสีดำยาวไม่ถึงเข่าประดับลูกไม้ชายประโปรงโชว์ให้เห็นเนื้อขาอ่อนวับ ๆ แวม ๆ

                สิ่งเดียวที่ทำให้คู่นี้ไม่กลายเป็นลูกคุณหนูเดินตามคนรับใช้ คือทั้งคู่เดินจูงมือกันเหมือนคู่รัก และด้วยใบหน้าที่คมคายของนัยทำให้คนอื่น ๆ พอจะเชื่อได้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน

ฉิม ยศและเต้เข้าใจได้ในทันทีถึงสาเหตุที่นัยมาสายในคืนนี้ โดยปกตินัยจะเลิกงานตรงเวลาในคืนวันศุกร์ เขาจะกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงมายังร้านเลย แต่วันนี้นัยคงนัดแนะหญิงสาวให้มานั่งกินเหล้าด้วยกัน ไหนจะต้องไปรับเธออีก ไหนจะต้องนั่งรอเธอแต่งตัวแต่งหน้าทำผมอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ และเรื่องแบบนี้ทำให้ทั้งสามต่างพร้อมที่จะอภัยให้กับรุ่นน้องได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร

                “นี่พี่ฉิม พี่ยศและพี่เต้”

                นัยแนะนำรุ่นพี่ให้แฟนสาว หญิงสาวในคราบนางฟ้ายกมือไหว้พี่ ๆ

                “สวัสดีค่ะ”

                “นี่น้องแป้งแฟนผมครับพี่ อุบไว้นานแล้ว วันนี้ขอมาเปิดตัว” นัยพูด

                ทั้งสามรับไหว้น้องแป้งพร้อมมองตาค้าง

                นัยเดินไปยกเก้าอี้ไม้ที่ทำจากไม้ต้นมะพร้าวมาจากโต๊ะว่างมาให้แป้งนั่ง แป้งยังไม่นั่ง เธอเปิดกระเป๋าถือยี่ห้อโค้ชและหยิบห่อกระดาษทิชชู่เปียกออกมาหนึ่งแผ่น และใช้มันขัดถูเก้าอี้ของเธอจากคราบฝุ่นจนเก้าอี้ไม้สะอาด เธอยังรีบยกมือห้ามไม่ให้แฟนหนุ่มของเธอนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนที่จะใช้กระดาษทิชชู่เปียกผืนใหม่เช็ดทำความสะอาดเก้าอี้ให้แฟนหนุ่ม

                กว่าทั่งคู่จะได้นั่งก็ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วทั้งสามรอกันจนเหงือกแห้ง

                “นั่นแน่ มีแฟนแล้วเงียบ ไม่บอกให้ใครรู้เลยนะ” ยศเริ่มเปิดประเด็นทันที หลังจากที่ทนนั่งเงียบเหงามากว่าชั่วโมงแล้ว

                ทั้งนัยและแป้งต่างยิ้มเขิน

                “ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ คือผมและน้องแป้งทำงานอยู่ที่เดียวกัน เราก็คุยกันมานานแล้วล่ะ แต่ก็เริ่มจากคุยเป็นเพื่อนกันก่อน ตอนนี้ตกลงปลงใจกันได้แล้ว ก็ว่าจะค่อย ๆ เปิดตัว” นัยยิ้มพร้อมมองไปที่แป้งที่ก็ยิ้มอายแก้มปริ

                “ดีจังเลย เป็นแฟนกันได้เจอหน้ากันทุกวันแบบนี้”

                ยศคิดในใจว่า แม้เขาจะจีบผู้หญิงมาแล้วหลายคน แต่เขาจะไม่มีวันที่จะจีบผู้หญิงในที่ทำงานเด็ดขาดเพราะความเชื่ออะไรบางอย่าง แต่ด้วยความสาวสวยขนาดนี้ หากที่ทำงานของยศมีผู้หญิงอย่างแป้งสักคน เขาคงไม่ปล่อยไว้ให้เสียของอย่างแน่นอน

                “เอ้อ ว่าแต่น้องจะดื่มอะไรครับ” ฉิมรีบถามเมื่อเห็นตรงหน้าของผู้มาใหม่ยังไร้แก้วประจำตำแหน่ง

                “ส่วนนัยเอ็งเอานี่ไปเลย” ยศชงเหล้าให้รุ่นน้องที่รู้ใจกันมานาน

                “ขอบคุณครับพี่” นัยตอบ

                แป้งยังไม่ตอบอะไร เธอหันซ้ายแลขวาก็ไปเจอขวดเหล้าแสงโสม

                “หนูขอน้ำเปล่าละกันค่ะ” แป้งตอบ

                เต้หยิบแก้วใหม่มาเตรียมใส่น้ำ แป้งตั้งใจมองแก้วใบนั้นในมือของเต้ก็เห็นคราบน้ำจาง ๆ ติดเต็มแก้ว เธอดูก็รู้ว่าแก้วใบนี้ไม่ได้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดขัดถูก่อนที่จะนำมาบริการลูกค้า เต้เกือบเผลอใช้มือหยิบก้อนน้ำแข็งในถังตามความเคยชินที่พวกเขามักจะทำกันบ่อย ๆ แต่เขานึกได้ทันจึงหยิบคีมคีบน้ำแข็งที่วางข้างถังขึ้นมาคีบก้อนน้ำแข็งหย่อนลงแก้ว

                แป้งรับแก้วน้ำดื่มมาวางตรงหน้า แต่เธอไม่คิดจะแตะมันเลย

                นัยมองท่าทีของแฟนสาวที่ดูทำท่าจะอึดอัดจึงรีบพูด

                “น้องแป้งจะดื่มโค้กหรือสไปรท์มั้ยคะ” เสียงนัยที่พยายามดัดเสียงให้ดูนุ่มนวลที่สุด

                ชายทั้งสามที่นั่งอยู่บนต่างรู้สึกขวยเขินกับคำพูดและน้ำเสียงของเพื่อนรุ่นน้อง ฉิมยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบเพื่อแอบซ่อนรอยยิ้มของเขา ยศและเต้ทำตาม

                แป้งคิดถึงเรื่องแก้วน้ำ ทำให้เธอไม่นึกอยากจะหยิบจับอะไรบนโต๊ะเลย

                “ไม่เป็นไรค่ะพี่นัย แป้งยังไม่อยากจะทานอะไร” แป้งพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเรียกความสงสาร เธอยังแกล้งหรี่ตาพร้อมย่นหน้านิดนึงเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากแฟนหนุ่ม

                นัยสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งการออดอ้อนนั้นฉายออกมาใจใบหน้าอ่อนหวานนั้นจาง ๆ ทำให้เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง

                “งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปหาอะไรให้น้องแป้งทานนะคะ มีเซเว่นอยู่ใกล้ ๆ นี่” นัยพูดด้วยแววตาที่ดูอบอุ่นและห่วงใย เขาทำท่าขยับโต๊ะเพื่อลุกจากเก้าอี้

                แป้งรีบพูด “แป้งไปด้วยค่ะ” พูดเสร็จก็ลุกเดินตามนัยออกไป

                ฉิม ยศและเต้มองภาพนั้นด้วยอาการยิ้มชอบใจที่เห็นสองคนนั้นค่อย ๆ ประครองกันเดินออกจากร้าน

                “น่าอิจฉาสองคนนั้นจริง ๆ นะพี่ ดูสิทำตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋” เต้พูดพร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่คลาย

                “ใหม่ ๆ กับเมียข้าก็เป็นแบบนี้แหละ” ฉิมพูดยิ้มแหะ ๆ “เวลาข้าจะไปไหนนะ ต้องถามแม่ทูนหัวว่าอยากได้อะไรมั้ย อยากกินอะไรมั้ย เดินไปไหนก็ต้องไม่ห่างกัน หายใจโดยใช้อากาศร่วมกัน เวลาที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานก็เฝ้ารอเวลาให้กลับมาเจอกัน”

                “แล้วตอนนี้ล่ะพี่เป็นไง” เต้รอลุ้น

                “ตอนนี้หรือ” ฉิมร้องหึเบาๆ ในลำคอ “ตรงกันข้ามกับที่ข้าพูดไปเมื่อกี๊ทุกอย่างเลย”

                ยศและเต้ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

                “มันเป็นเรื่องธรรมดาเว้ย เป็นสัจธรรมของชีวิต”

                ทั้งสามหัวเราะร่วมกัน และชนแก้วดื่มเหล้า

                “เฮ้ย... นัยกับแฟนมันมาแล้ว” ยศพูดเมื่อเห็นนัยเดินจูงมือแฟนสาวเข้ามาในร้าน

                แป้งหิวถุงเซเว่นเข้ามาวางบนโต๊ะและหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาเปิดกิน นัยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจ เขายังล้วงเข้าไปในถุงและหยิบห่อขนมออกมา

                “ทานขนมค่ะน้องแป้ง” นัยค่อย ๆ แกะห่อช็อคโกแลตท็อปอโลนและบิออกมาหนึ่งชิ้นยื่นให้แฟนสาว

                แป้งไม่เอื้อมมือไปรับ เธอจงใจแกล้งเผยอปากเล็กน้อยพร้อมแสดงแววตาอ้อนวอน เพื่อร้องขอให้แฟนหนุ่มป้อนช็อคโกแลตรูปทรงสามเหลี่ยมใส่ปากเธอ นัยทำตามแต่โดยดี

                “อร่อยมั้ยคะ” นัยถามและจ้องมองไปที่สาวแสนสวย

                “อร่อยเพราะพี่นัยป้อนให้นี่แหละค่ะ” แป้งตอบเสียงหวาน

                “พี่ดีใจนะคะที่น้องแป้งมีความสุข” นัยพูด

                ฉิม ยศและเต้แอบเหล่ตามองพร้อมก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาคาปากไว้ ฉิมกระแอมเบา ๆ ก่อนพูด

                “น้องแป้งทำงานที่เดียวกับนัยเหรอครับ ทำตำแหน่งอะไรเหรอ” ฉิมพยายามทะลายกำแพงที่ขวางกั้นไว้ระหว่างพวกเขาและทั้งคู่

                “อยู่แผนกบัญชีค่ะ” แป้งหันมาตอบสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้ม

                ทั้งสามเมื่อเห็นแป้งหันมาคุยด้วย ก็ทำสีหน้าสนอกสนใจคู่สนทนา แต่ทว่าเธอก็หันกลับไปกระหนุงกระหนิงกันสองคนเหมือนเดิม

                นัยและแป้งคุยกันเองด้วยน้ำเสียงเบากว่าเดิม เหมือนพวกเขาสองคนต้องการอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาเอง

                ทั้งสามหันหน้ามาคุยกันเองโดยไม่ให้สองคนนั้นได้ยิน

                “ทำยังไงดีพี่” เต้ถามในกลุ่ม

                “ทำอะไรวะ” ฉิมพูด

                “พี่ดูสิ นัยมันมัวคุยแต่กับแฟนมัน ไม่คุยกับเราเลย” ยศพูด

                “อ้าว... ก็ปล่อยมันคุยไปสิ มันอุตส่าห์มากับแฟนมันทั้งที”

                ฉิมพูดปรามความคิดของทั้งสอง แต่ในใจจริง ๆ แล้วของฉิมอยากให้รุ่นน้องมาคุยสนุกสนานเฮฮากับพวกเขามากกว่า เขานึกถึงช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ครบองค์ประชุม

                บรรยากาศบนโต๊ะต่างเงียบขรึมอีกครั้ง มีเพียงเสียงกระเซ้าเย้าแหย่กันเองจากนัยและแป้งเบา ๆ ไม่นานฉิมก็นึกอะไรบางอย่างและพูดมันออกมา

                “เอางี้ ข้านึกออกแล้ว เดี๋ยวเราชนแก้วกับนัยมันซัก 3 รอบ รับรองมันกลับมานั่งคุยกับเราแน่ ๆ” ฉิมกระซิบ

                “เออ... เข้าท่าดีพี่”

                เต้พูดเสร็จก็จัดแจงชงเหล้าของพวกเขาเองสามแก้ว เต้หันไปหยิบแก้วเหล้าของนัยที่เหล้าหมดแล้วมาเตรียมชง

                ฉิมแอบกระซิบกับเต้เบา ๆ “ใส่เหล้าเยอะ ๆ หน่อย สามฝาไปเลย”

                เต้หันมามองหน้าฉิม “เอางั้นเลยหรือพี่” โดยไม่รอคำยืนยันใด ๆ เต้เทเหล้าลงไปในแก้วของนัยสามฝา เขายิ้มร่ากับการกระทำนั้น ทั้งสองต่างแอบยิ้มด้วย

                “เอ้า... ชนแก้วกันพวกเรา” ฉิมพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั้งโต๊ะ

                นัยหันมาส่งยิ้มให้พวกเขา ก่อนจะหันกลับไปทางหวานใจอีก

                “เดี๋ยวพี่ขออนุญาตชนเหล้ากับพี่เขา ๆ หน่อยนะคะน้องแป้ง”

                แป้งยิ้มเจื่อน ๆ เหมือนถูกขัดจังหวะ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร

                ทุกคนในสมาคมชนแก้วและดื่มรวดเดียวหมด นัยดื่มเสร็จก็หันไปคุยหยอกล้อกับแป้งต่อ โดยไม่มีท่าทีจะมาร่วมสนทนากับเหล่าพี่ ๆ เลย

                “เอาไงพี่ ดูท่าทางไม่เห็นจะเป็นเหมือนที่พี่ว่าเลย” เต้พูด

                “ใจเย็น” ฉิมส่งสัญญาณให้ชงเหล้ารอบวงอีกรอบ

                เต้ทำเหมือนเดิมกับแก้วของทุกคน เมื่อชงเหล้าครบทุกแก้วเต้และยศทำท่าจะเตรียมชนแก้วอีก

                “อย่าเพิ่งเร่งเร็วนัก เราทำเป็นนั่งคุยกันไปก่อน ได้จังหวะค่อยชนแก้ว” ฉิมพูด ทุกคนเห็นด้วย

                “เอ้อ... ช่วงนี้ที่โรงงานพี่เป็นไงบ้าง” ยศทำเป็นพูดเสียงดัง

                “ช่วงนี้เหรอ ก็ดีนะ งานเข้ามาน้อยหน่อย ทำงานสบายขึ้น” ฉิมก็ตอบเสียงดังเช่นกัน

                ทั้งหมดชำเลืองไปยังนัยและแป้ง ดูท่าทางทั้งคู่จะไม่หันมาสนใจพวกเขาเลย

                “แล้วเอ็งล่ะยศ งานเป็นไง” ฉิมพูด

                “เฮ้อ...” ยศถอนหายใจดัง “ออฟฟิศกลับมายุ่งอีกแล้ว”

                “จริงเหรอยศ อดทนหน่อยนะ” เต้แกล้งปลอบใจเพื่อน

                ทั้งสามแอบมองไปที่นัย นัยและแป้งยังคงสวีทกันสองคนเหมือนเดิม

                “เอ้า ๆ ชนแก้ว ดื่มเพื่อเป็นกำลังใจให้ยศมันหน่อย ที่ทำงานมันเครียด” ฉิมพูด

                สักพักนัยหยิบแก้วเหล้าสูตรเข้มข้นที่เต้เตรียมไว้ให้แล้วยกขึ้นดื่มที่เดียวหมด จากนั้นก็หันไปออเซาะแป้งต่อ

                “แล้วเอ็งล่ะเต้ ช่วงนี้มีงานเยอะมั้ย”

                ฉิมพูดพร้อมหันไปมองที่นัย ตอนนี้นัยเริ่มจะครึ้ม ๆ แล้ว ฉิมเข้าใจแล้วว่าความหอมหวานของความรักอันหวานชื่นนั้น ช่วยกลบรสขมของเหล้าได้อย่างดี เมื่อกี๊นี้เขาเห็นเต้เทเหล้าลงไปในแก้วของนัยครึ่งแก้วแล้วเทโซดาตามและน้ำแข็งอีกหนึ่งก้อน

                “มีเยอะดิพี่ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด ยิ่งตอนนี้กรุงเทพรถติดด้วย ส่งทั้งคนทั้งเอกสารทั้งวันเครียดไปหมด ดีนะเนี่ยที่ได้มากินเหล้ากับพี่ทุก ๆ สุดสัปดาห์” เต้ตอบ

                “นั่นสิเนอะ ถ้าเราทำงานไปด้วยมองเห็นหน้าคนที่เรารักไปด้วยก็คงจะดี อิจฉาคนมีคู่รักในที่ทำงานซะจริง” ยศพูดเสียงสูงในท้ายประโยค

                “อ้าว... พี่พูดถึงผมเหรอ” นัยหันมามองหน้ายศ เขาเริ่มมีอาการเมา ๆ บ้างแล้ว

                “เปล่า” ยศพูดเสียงสูง “พวกข้าคุยกันสามคม”

                “อ้อ... งั้นแล้วไป” นัยพูดเสร็จก็หันไปคุยกับคนรักต่อ

                ทั้งสามหันมามองหน้ากัน ก่อนยศจะพูด

                “กับแกล้มเหลือเยอะ ช่วยกันกินหน่อยเร็ว”

                ทั้งสามจิ้มกินกับแกล้มสองสามคำ ก่อนฉิมจะพูด

                “เอ้า นัย ช่วยกันกินกับแกล้มหน่อย สั่งมาเยอะไม่มีคนช่วยกิน”

                “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมมีของผมเองแล้ว”

                นัยพูดเสร็จก็อ้าปากรับเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากมือแป้งเข้าปาก ทั้งคู่หัวเราะคิกคักกัน

                “ดูมัน ๆ น่าหมั่นไส้นัก” ยศบ่น

                “เอาน่า ๆ เมื่อความรักเข้าตา ใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”  ฉิมพูด

                “จัดหนัก ๆ ให้มันอีกซักแก้ว” ยศพูด

                “จัดไป” เต้เก็บแก้วเหล้ามาจากทุกคนและชงเหล้า โดยเน้นปริมาณเหล้าเป็นพิเศษในแก้วของนัย

                “เอ้า ดื่ม ๆ ทุกคนชนแก้ว เหล้าจะหมดแล้ว เดี๋ยวสั่งขวดใหม่ นัยดื่มเว้ย” ฉิมพูดเสียงดัง

                นัยหันมา “ทำไมเหล้าวันนี้หมดขวดเร็วจังพี่” เขาพูดด้วยท่าทีที่เริ่มเมาแล้ว

                “ก็พวกข้ามานั่งก่อนเป็นชั่วโมง กว่าเอ็งจะมาเหล้าก็เหลือน้อยแล้ว รีบ ๆ ตามให้ทันเร็ว ๆ”  ฉิมโกหก แต่ก็พยายามทำให้ดูจริงจัง

                จากนั้นทุกคนก็ดื่ม ฉิมมองไปนัย เขาคิดว่าตอนนี้รุ่นน้องของเขาเครื่องเริ่มติดแล้ว

                “ลุงโฉม ขอเหล้าอีกกลม” ฉิมสั่งเหล้า สักพักเหล้าก็มา

                “เป็นไงบ้างนัย ที่ทำงานเป็นไงบ้าง” ฉิมยิงคำถามใส่นัยทันที

                “ช่วงนี้งานยุ่งพี่ แต่ก็ดี งานเยอะโบนัสเยอะ” นัยตอบ

                “ดีแล้ว ต่อไปก็คงได้เลื่อนขั้นนะ เออ... แล้วที่ว่าบริษัทจะให้หยุดพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศอะไรนั่นน่ะ เอ็งได้ใช้วันหยุดหรือยัง” ยศถามเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกันมาเมื่อนานมาแล้ว

                “โหพี่ บริษัทจะให้หยุดตอนที่เริ่มโปรเจคใหม่ ถ้าผมหยุดก็จะมีคนมาเสียบงานแทน ไม่เอาหรอก” นัยตอบ

                “เหรอ เออ ๆ ดีละ ที่ทำงานการแข่งขันมันสูง ข้าก็เหมือนกันก็ต้องหมั่นสร้างผลงาน” ยศพูด

                “ข้าอยากจะต่อเติมบ้านหน่อย อยากจะกั้นห้องเพิ่มอีกซักห้อง ไอ้ตัวเล็กมันก็เริ่มจะโตแล้ว เดือนหน้าเอ็งมาทำให้ข้าหน่อยสินัย” ฉิมพูด

                “ได้สิพี่ เดี๋ยวจะทำให้อย่างดีเลย” นัยเริ่มจะลิ้นพันกัน

                “ขอบใจมาก ๆ เอ้า ดื่มให้กับความมีน้ำใจของนัยหน่อย” ฉิมพูด ทั้งโต๊ะชนแก้ว

                ฉิม ยศและเต้ดื่มพร้อมใช้หางตามองไปที่แป้งที่ตอนนี้เธอเริ่มจะทำหน้าบึ้ง คงเป็นเพราะแฟนหนุ่มหันไปคุยแต่กับหมู่วงเหล้า ทำให้เธอต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว

                “เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นนัดกันบ้านข้านะ พรุ่งนี้แมนยูเตะ อย่าลืม” ฉิมนัดแนะทุกคน

                “เตะกับใครนะพี่” นัยถาม

                “หงส์ แดงเดือด ๆ” ยศตอบแทน

                “จริงด้วย ผมลืมสนิทเลย โอเคพี่ พรุ่งนี้ทุ่มนึงเจอกันบ้านพี่” นัยพูด

               

                จากนั้นฉิม ยศและเต้ต่างดึงความสนใจของนัยมาอยู่ที่พวกเขา เรื่องสนทนาเฮฮาถูกพูดคุย เสียงหัวเราะสนุกสนานดังมาจากทั้งสี่ มีเพียงคนเดียวคือแป้งที่นั่งหงอยเหงาจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ฉิมแอบสังเกตมองบ้างก็เห็นแป้งนั่งกดโทรศัพท์เล่นพร้อมทำสีหน้าเซ็งอารมณ์

                ภาพที่คุ้นตากลับมาอีกครั้ง ภาพของชายหนุ่มสี่คนที่กินดื่มพูดคุยกันอย่างมีความสุขในมุม ๆ หนึ่งของร้านเหล้า ๆ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแป้งลุกขึ้นยืนพร้อมทำสีหน้าจริงจัง

                “พี่นัย แป้งไปเที่ยวกับเพื่อนนะคะ เพื่อนจอดรถรอที่หน้าร้านแล้ว” แป้งพูดเสร็จก็ยกมือไหว้ฉิม ยศและเต้อย่างลวก ๆ ก่อนจะวิ่งออกจากร้านไปทันที

                เป็นนัยที่ตกใจลุกขึ้นวิ่งตามแป้งออกไป ที่เหลือบนโต๊ะได้แต่นั่งนิ่งมองเหตุการณ์นั้นอย่างตกตะลึงไม่แพ้กัน

                “ซวยแล้วไงเรา ไปสร้างความร้าวฉานให้คู่นั้น” ฉิมพูด

                “เราทำกันเกินไปมั้ยพี่” เต้พูด

                “นั่นสิ ทำยังไงดีเนี่ย” ฉิมพูด

                “เราคงต้องไปขอโทษนัยมัน” ยศพูด

                “ใช่เลย แล้วเราจะพูดกับมันยังไงดี” ฉิมพูด

                ทั้งสามนั่งรอลุ้นให้นัยเดินกลับเข้ามาในร้านเพื่อที่จะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็รอนานหลายนาทีกว่าจะเห็นนัยเดินกลับเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแทบจะร้องไห้ออกมา

                และเมื่อนัยกลับมานั่งที่โต๊ะ น้ำใส ๆ ก็ไหลรินออกมาอาบแก้มของเขา ทำให้ทั้งสามที่นั่งรอจะพูดต่างพูดอะไรไม่ออก

                “เกิดอะไรขึ้นวะ” ฉิมถามเสียงเรียบ ๆ

                นัยพยายามกั้นเสียงสะอึกสะอื้นเพื่อจะตอบ “น้องแป้งหนีไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว น้องเขาบอกว่าผมน่าเบื่อที่สุด ไม่อยากเห็นหน้า ผมรู้สึกใจสลายเลยครับ”

                นัยขอตัวไปล้างหน้าในห้องนำเพื่อเช็ดคราบน้ำตาจากใบหน้าของเขา เมื่อเหลือกันแค่สามคนในโต๊ะ ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่าเกิดอะไรขึ้น

                “แล้วจะยังไงดีล่ะพี่ทีนี้” เต้พูด

                “เฮ้อ...” ฉิมถอนหายใจ “น้องเขาคงยังเด็ก คงต้องการความรักความเอาใจใส่จากแฟนมากหน่อย คนกำลังรักกันใหม่ ๆ พอมาโดนหมางเมินจากแฟนก็คงจะช็อค เป็นเราเองเสียอีกที่ทำตัวงี่เง่า”

                “ผมรู้สึกไม่ดีเลยพี่” ยศพูด “ถ้าสองคนนั่นจะต้องมาเลิกกันเพราะสิ่งที่เราทำ ผมคงจะรู้สึกผิด”

                “ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”

                เต้พูดเสร็จนัยก็เดินกลับมาที่โต๊ะด้วยใบหน้าที่ไม่ได้ดีกว่าเดิมเท่าไหร่

                “เป็นไงบ้างวะ” ฉิมพูด

                “ไม่เป็นไรแล้วครับพี่ ผมขอโทษนะครับที่น้องเขาเสียมารยาทแบบนั้น” นัยพูด

                ทั้งสามหันมามองหน้ากัน เหมือนจะเกี่ยงกันพูด

                “ข้าขอโทษที่ทำให้เอ็งดูแลน้องแป้งได้ไม่เต็มที่” ฉิมสารภาพ

                “ไม่ใช่ความผิดพวกพี่หรอกครับ ความจริงแล้วแป้งเป็นคนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อย ผมก็รู้ดีในเรื่องนี้ แต่ข้อดีของน้องเขาก็มีมากกว่า จนทำให้ผมมองข้ามข้อเสียข้อนี้ของน้องไป ความจริงแล้วผมไม่น่าจะชวนน้องแป้งมาที่นี่เลย เธอค่อนข้างจะติดหรูเพราะทางบ้านมีฐานะ” นัยพูด

                “แล้วน้องเขาไม่ว่าอะไรเหรอที่เอ็งทำตัวติดดินขนาดนี้ ขี่มอไซค์ไปทำงาน มานั่งกินเหล้าในร้านโทรม ๆ” เต้ถาม

                “ไม่หรอกพี่ ถึงน้องแป้งจะไฮโซแค่ไหน แต่เธอก็ยอมรับในตัวผมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรหรือจะทำอะไร” นัยตอบ

                “รักแท้” ฉิมเผลออุทานคำ ๆ นี้ออกมาจากปาก ยศและเต้ก็ทำท่าเห็นด้วย

                “คน ๆ นี้ต้องรักษากันดี ๆ นะ ส่วนเรื่องเอาแต่ใจเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น อ้อ น้องแป้งอายุเท่าไหร่ล่ะ” ฉิมถาม

                20 ครับ” นัยตอบ

                “นั่นไง ห่างกับแกเยอะ มีแฟนเด็กก็เหมือนกับมีลูกสาวที่โตแล้ว ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ” ฉิมให้คำแนะนำแบบติดตลก

                นัยหัวเราะเล็กน้อยกับคำพูดของฉิม “ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวผมขอส่งข้อความไปง้อน้องเค้าหน่อยนะ”

                นัยหยิบโทรศัพท์ขึ้น แต่เสียงเตือนมีข้อความเข้าดังก่อนที่เขาจะกดปุ่มเปิดเครื่อง นัยกดอ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ สักพักใบหน้าเขาก็มีน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง

                ทั้งสามต่างตกใจและเดาไม่ออกว่านัยร้องไห้เพราะอะไร แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ของนัย ก็ทำให้ฉิม ยศและเต้เริ่มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

                “น้องแป้งส่งข้อความมาครับ น้องเขาขอโทษพวกพี่ที่เสียมารยาท” นัยยิ้มดีใจ

                “ดีแล้ว เอ็งรีบส่งข้อความไปง้อน้องเค้าเลย ฝากบอกว่าพวกพี่ขอโทษด้วยนะ” ฉิมพูด

                “โอเคพี่” นัยกดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี๊น้องเขาบอกว่าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมานั่งกินเหล้ากับเราด้วย”

                ฉิม ยศและเต้หันมามองหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครพูดอะไร

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องเหล้า : เชียงใหม่


 
รถทัวร์ปรับอากาศชั้น 2 กำลังจะถึงเวลาเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาหมอชิต ป้ายหมายเลขประจำช่องชานชาลาแสดงสถานีปลายทางเป็นเชียงใหม่ แสงแดดอ่อนเพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไปไม่นาน แต่อุณหภูมิที่ร้อนระอุในช่วงกลางเดือนเมษายนยังคงช่วยรีดเหงื่อไคลให้ไหลออกมาจากร่างกายใครหลายคนได้ดียิ่งนัก

ร้านรวงที่บริการน้ำดื่มบรรจุขวดแช่เย็นต่างทำกำไรได้ดีในช่วงเวลาที่ผู้คนต่างขาดน้ำและความเย็น น้ำอัดลมในขวดพลาสติกซ่าเย็นฉ่ำเชื้อเชิญให้บรรดาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาควักเงินไปแลกมันมาดื่ม โดยที่พวกเขาไม่เกรงกลัวความรุนแรงของกรดที่ใส่ลงไปในน้ำสีสดใสนั่นจะกัดเนื้อกระเพราะนิ่ม ๆ ไม่ต่างจากโบ้และอัดที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังถือขวดเครื่องดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อยอดฮิตขนาด 500 มิลลิลิตรในมือ และทั้งสองซัดโฮกน้ำในขวดกันคนละอึกสองอึกก่อนจะเดินขึ้นรถทัวร์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำรอไว้

แม้จะเป็นรถ ป.2 แต่ในตัวรถก็ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำขับไล่ความอ่อนล้าของทั้งโบ้และอัด พวกเขาเข้าไปนั่งยังเบาะนั่งหน้าสุด โบ้สูดหายใจยาวพร้อมมองออกไปกว้าง ๆ ทะลุกระจกรถ เขาเห็นสีหน้าผู้คนมากมายที่กำลังต่อสู้กับความวุ่นวายและความร้อนจากอากาศภายนอก รวมถึงบางคนสีหน้ายังแสดงความว้าวุ่นในใจดูพะว้าพะวังที่จะกลับไปพบญาติที่บ้านเกิดในวันปีใหม่ไทย

แต่การเดินทางของโบ้ในครั้งนี้ไม่ใช่การกลับไปพบญาติที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาเพียงแต่ต้องการไปเที่ยวเชียงใหม่โดยการติดตามอัดที่บ้านเกิดอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ อัดจะกลับไปเยี่ยมพ่อละแม่ทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์

“เชียงใหม่ ๆ จะได้ไปเชียงใหม่แล้วโว้ย” โบ้ทำเสียงตื่นเต้นจากการที่เขาจะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรก

“มึงเป็นบ้าอะไรวะ เชียงใหม่ก็แค่จังหวัด ๆ หนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นเอง” อัดพยายามพูดตัดรำคาญจากความกะดี๊กะด๊าของเพื่อน

“ก็เชียงใหม่เป็นเมืองสวยงามนี่ มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะ ธรรมชาติยังสดใหม่อยู่เลย น้ำตกก็ใสไหลเย็นเห็นตัวปลา กูอยากไปนอนแช่ในน้ำตกทั้งวันเลย มึงพากูไปด้วยนะ”

โบ้คิดถึงภาพธรรมชาติสวยงามที่เขาเห็นผ่านภาพสื่อหลายสื่อ ความจริงแล้วภาพถ่ายสวยงามเหล่านั้นมักจะถูกเซ็ทภาพมาก่อนอยู่แล้ว ทั้งการตกแต่งสถานที่จริงก่อนกดชัตเตอร์บันทึกภาพ และการตกแต่งภาพถ่ายด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ น้ำตกหลายแห่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวจริง ๆ ของคนในพื้นที่ ต่างถูกทำลายทัศนียภาพจนห่างไกลจากคำว่าธรรมชาติบริสุทธิ์ไปหมดแล้ว

อัดเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกผิดที่คิดว่าเขาอาจจะทำลายความคาดหวังเล็ก ๆ ของเพื่อนได้ บ้านของอัดอยู่ในตำบลเล็ก ๆ ในอำเภอจอมทอง ที่อำเภอแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมากมายทั้งน้ำตก ถ้า น้ำพุร้อน แม่น้ำ ฯลฯ แต่ทว่าสำหรับอัดนั้นที่เป็นคนในพื้นที่ เขากลับไม่มีความรู้สึกที่จะไปเหยียบย่ำสถานที่เหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีเขาก็ตอบตัวเองว่าเพราะเขาอาจจะเบื่อสถานที่เหล่านั้นเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก และเคยไปหลายรอบแล้ว

แต่ความทรงจำของอัดในช่วงหลัง ๆ มานี้ มันเป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายกับความสกปรกของสภาพแวดล้อมมากกว่า

“ได้สิ เดี๋ยวกูจะพามึงไปน้ำตกวังควาย ขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ไม่ไกล แต่มึงเตรียมซื้อถุงดำเก็บขยะไปด้วยนะ” อัดหันมาพูดกับโบ้พร้อมเบ้ปาก

“เอาถุงดำไปทำไมวะ” โบ้ถามด้วยความสงสัยสุดขีด

“เอาไปเก็บขยะจากที่พวกแม่งมากินทิ้งกินขว้างยังไงล่ะ พวกเหี้ยนี่ขนของขึ้นไปกินกัน พอกินเสร็จก็ทิ้งไว้ตรงนั้น คนเอาเตาถ่านขึ้นไปปิ้งไก่ปิ้งปลา พอปิ้งเสร็จก็เทขี้เถ้ากองไว้ตรงนั้นเลย เศษกระดูกไก่พอแทะเสร็จก็โยนเข้ากอไม้ข้าง ๆ บางคนก็โยนทิ้งน้ำ จานใส่อาหารที่เป็นกระดาษยังมีส้มตำ มีลาบที่ยังกินไม่หมดก็วางอยู่ตรงนั้นเลย ไอ่พวกนี้พอกินเสร็จก็วางทิ้งไว้ตรงนั้นเลย ขวดเหล้าที่กินหมดแล้ว แก้วพลาสติก ขวดน้ำขวดโซดา ก้นบุหรี่ ถุงขนมเต็มไปหมด” อัดระบายสิ่งที่เขาคิดออกมา “ถ้ามึงถือถุงดำขึ้นไปเก็บขยะนะ จะกลายเป็นนักท่องเที่ยวตัวอย่างเลย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วแถวนั้นไม่มีถังขยะให้ไปทิ้งเหรอ” โบ้ถาม

“มีสิ เจ้าหน้าที่ก็เอาถุงดำไปผูกไว้กับต้นไม้ให้คนเอาขยะไปทิ้งกัน แต่เรื่องแบบนี้อยู่ที่จิตสำนึกน่ะ”

“แบบนี้ก็ไม่ไหวว่ะ พวกนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าไปทำลายธรรมชาติ” โบ้บ่นบ้างพร้อมทำหน้าเซ็ง

“ไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นหรอก นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะให้ความเคารพกับสถานที่ที่พวกเขาไป เพราะคนพวกนี้ต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในที่ต่าง ๆ จนเคยชิน คนที่ทิ้งขยะก็เป็นพวกคนในพื้นที่แหละ คนในอำเภอนี้เลยที่ขึ้นไปกินทิ้งกินขว้าง”

“แย่ ๆ” โบ้พูด “แล้วน้ำตกที่อื่นล่ะ เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดมั้ย”

“ไม่หรอก มันขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่น่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสันดานของนักเที่ยวหรอก น้ำตกดี ๆ สวย ๆ ในเชียงใหม่ก็มีเยอะ แต่มันไกลบ้านกูมาก ไม่มีเวลาพาไปว่ะ”

“เออ ๆ งั้นกูไม่ไปน้ำตกละ” โบ้ล้มเลิกแผนเที่ยวน้ำตก

 

ผู้โดยสารทยอยเดินขึ้นรถ พนักงานตรวจนับจำนวนคนจนมั่นใจว่าครบถ้วน เด็กประจำรถจึงตะโกนบอกคนขับให้เคลื่อนรถออกจากชานชาลา รถเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นานก็ต้องไปจอดแช่อยู่ตรงทางออกจากสถานี เพราะความแออัดของรถทัวร์หลายคันที่ต่างก็ต้องการเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย เสียงผู้โดยสารยังคงจอแจทั่วรถ บางคนพูดคุยกับคนที่นั่งข้าง ในขณะที่บางคนกำลังสนทนากับคนที่อยู่ปลายทางผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ โบ้เห็นความวุ่นวายจอแจนี้จึงร่วมผสมโรงด้วย โดยการหันไปชวนอัดคุย

“นี่ดูสิ กูอยากไปเห็นบ้านไม้สักทองที่มีจั่วหลังคาประดับด้วยช่อระกา ที่ขอบหน้าต่างและประตูประดับด้วยไม้แกะสลัก ไม้ระแนงฉลุลายสวย ๆ”

โบ้ยื่นวารสารท่องเที่ยวเกี่ยวกับเชียงใหม่ให้เพื่อนดู ก่อนหน้านี้หลายอาทิตย์เมื่อเขารู้ว่าจะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ โบ้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ให้มากที่สุด ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม แหล่งท่องท่องเที่ยวต่าง ๆ และสิ่งของโดดเด่นในจังหวัดเชียงใหม่ หากเขายังทำการศึกษาเชียงใหม่อย่างบ้าคลั่งแบบนี้ไปอีกสักปีสองปี บางทีเขาอาจจะรู้จักเชียงใหม่ได้ดีกว่าคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่เสียอีกก็เป็นได้

อัดที่กำลังจะปิดเปลือกตาลง เพราะเขาอยากจะงีบหลับสักหน่อย แต่เมื่อเจอความเซ้าซี้ของเพื่อนจึงต้องหันมามองภาพในกระดาษเล่มนั้น อัดเห็นโฆษณาโรงแรมบูติคสไตล์หรูหราที่แสดงตัวอย่างบ้านพักทรงล้านนาคลาสสิค อัดไม่กล้าบอกราคาสำหรับค่าเข้าพักหนึ่งคืนให้อาคันตุกะผู้มาเยือนบ้านเกิดของเขาให้รับรู้ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกเสียขวัญกับการที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นประชากรชั้น 2 ในจังหวัดที่ดูเป็นมิตรเมื่อมองแค่เปลือกนอกนี้

“อื้ม... บ้านทรงไทยสวย ๆ แบบนั้นในเชียงใหม่มีเยอะเลย แต่นั่นไม่ใช่สถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าแบนอย่างมึง” อัดจงใจทิ้งเสียงหนักในคำสุดท้ายของประโยค ก่อนจะเว้นวรรคและพูดต่อ “และของกูด้วย”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่สถานที่สำหรับคนเงินน้อย เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปนอนโรงแรมหรู ๆ แบบนั้นหรอกว่ะ ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งไปยืนมอง”

“อ้าว ทำไมล่ะ” โบ้พูดประโยคซ้ำกับก่อนหน้านี้

“เพราะโรงแรม รีสอร์ท สปาที่มีบ้านทรงไทยเหล่านั้นทุกที่เขาจะสร้างรั้วสูงล้อมรอบไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวของคนที่มาเสียเงินให้เขา คนธรรมดา ๆ ไม่เห็นหรอก”

“เหรอวะ แบบนี้ก็มีด้วย แล้วบ้านชาวบ้านไม่มีแบบนี้บ้างเหรอ”

“เขาอยู่บ้านปูนกันหมดแล้ว บ้านไม้ไม่มีใครเขาสร้างหรอก แพงด้วย พังง่ายด้วย”

โบ้แสดงท่าทางผิดหวังอีกครั้ง “งั้นพากูไปวัดก็ได้ จะได้เห็นอะไร ๆ ที่เป็นของทางเหนือบ้างแหละ คงจะได้รู้สึกสงบจิตสงบใจกับเขาบ้าง”

“ก็ได้ เดี๋ยวกูจะพาหลาย ๆ วัดเลย แต่ก็เผื่อใจไว้ด้วยนะ ความสงบมึงอาจจะไม่เจอ อาจจะเจอแต่นักท่องเที่ยวจีน แล้วตอนนี้โบสถ์วิหารหลายวัดเก่าแก่ที่คงความขลังของศิลปะล้านนาก็ถูกแทนที่ด้วยอาคารสมัยใหม่ เพื่อเอาไว้สำหรับต้อนรับพวกคนที่จะมาทำบุญให้วัด” ดูเหมือนอัดจะใช้อารมณ์กับน้ำเสียงที่อธิบายความเป็นไปนี้ เขาจริงจังมากกับประเด็นนี้

“การซ่อมแซมหรือบูรณะโบราญสถานให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเหมือนตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา  เป็นการแสดงถึงการไม่เคารพต่อประวัติศาสตร์ของมัน เรื่องความเสียหายนั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ กูจะพามึงไปดูวัดเจดีย์หลวง เจดีย์ที่พังลงมาครึ่งนึงเพราะแผ่นดินไหว แต่คนก็ยังอุตส่าห์ไปก่ออิฐให้มันทำให้ครึ่งนึงของเจดีย์เป็นอิฐใหม่ ทำให้กลับดูอัปลักษณ์ไปเลยในสายตากู การซ่อมแซมควรที่จะทำเท่าที่จำเป็นพอไม่ให้มันถล่มลงมาก็พอแล้ว และยิ่งการซ่อมแซมโดยการเททับอัตลักษณ์เดิมของสิ่งปลูกสร้าง นั่นก็เหมือนกับการทำลายรากเหง้าของบรรพบุรุษของเราด้วย”

“เหรอ... อืม ๆ” โบ้รับคำ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องที่อัดพูดซักเท่าไหร่นัก

“อ้อ... แต่ถ้ามึงไปวัดจะต้องเจอแน่ ๆ สิ่งนึงนั่นก็คือตู้รับบริจาคเงิน” อัดพูดเชิงหยอกกับเพื่อน

“งั้นกูไม่ไปละ งั้นมึงพากูไปนี่เลย ถ้ามึงไม่พากูไปเลิกคบแม่งเลย”

“ไปไหนวะ” อัดเริ่มขำกับท่าทางจริงจังของเพื่อน

“ไปถนนคนเดินวันอาทิตย์ กูดูในเว็บมา สถานที่ที่ต้องไปเยือนหากได้มาเชียงใหม่” โบ้กล่าวอย่างตั้งใจมาก

“ไอ่ควาย!” อัดใช้คำแรงด่าเพื่อน เพราะเขาคิดว่าการกระทำของโบ้สมควรโดนด่าด้วยคำแรงเช่นนี้ “มึงไปเชื่ออะไรกับบทความในเน็ท เขาก็เขียนอวยไปอย่างนั้นแหละ”

“เอ้า... ก็ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของขายที่แสดงถึงวัฒนธรรมเชียงใหม่ ไปที่เดียวครบ” โบ้พูดถึงสิ่งที่เขาเคยอ่านมา

“ไม่ต้องไปเดินให้เสียเวลาหรอก ทุกอย่างที่ขายในนั้นมีขายที่ร้านของฝาก คนก็เบียดเสียดจะเหยียบกันตายอยู่แล้ว”

“ไม่ไปก็ได้วะ” โบ้อารมณ์เสียอีกครั้ง “งั้นพากูขึ้นดอยอินทนนท์”

“อย่าเลย จะขึ้นดอยช่วงเทศกาล รถติดมากบนยอดดอย” อัดเบรก

“งั้นไปดอยสุเทพ”

“ที่นั่นติดทั้งดอยเลย”

โบ้พยายามใช้ความคิด “งั้นพากูไปเที่ยวเธคกลางคืนหน่อยสิ ที่เชียงใหม่สาวสวยเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

“กูไม่ใช่นักเที่ยว เสียใจด้วย” อัดพูดเสียงแข็ง

“โอ๊ย... ถ้าอย่างนั้นกูจะไปเชียงใหม่ทำมัยวะเนี่ย ที่นู่นมึงก็ไม่พาไป ที่นั่นมึงก็ไม่พา เดี๋ยวกูแม่งเปลี่ยนรถที่นครสวรรค์กลับกรุงเทพดีกว่า ไปเที่ยวกรุงเทพในสภาพที่ท้องถนนโล่ง ๆ” โบ้แกล้งตัดพ้อต่อเพื่อน

อัดยิ้มเป็นเชิงปลอบใจเพื่อน “เอาน่า ๆ ลืมไปแล้วเหรอว่าเราจะมาไปทำอะไรกันที่เชียงใหม่”

อัดยกกระเป๋าสะพายของเขาขึ้นมาวางไว้บนตัก ก่อนจะเปิดกระเป๋าและหยิบกล่องกระดาษให้โผล่พ้นออกมาจากกระเป๋าครึ่งหนึ่ง กล่องนั้นคือกล่องเหล้าชีวาส รีกัลขนาดหนึ่งลิตร เหล้าราคาแพงนี้อัดและโบ้ได้มันมาจากเจ้าของบริษัทที่ใช้ขวดแก้วนี้มอบให้แทนโบนัสประจำปี เพราะหัวหน้ารู้อยู่แล้วว่าลูกน้องทั้งสองชอบดื่ม

“อ้อ เราจะเปลี่ยนที่กินเหล้านั่นเอง” โบ้ยิ้มแหะ ๆ

“ไม่ต้องห่วงว่ามึงจะไม่ได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมภาคเหนือ เดี๋ยวกูจะให้แม่เตรียมกับแกล้มเมือง ๆ ไว้ให้ มีลาบปลา ไก่เมืองต้ม หมูย่างจิ้มแจ่ว ผักหวาน เห็ดถอบต้ม ยำไข่มดแดง เดี๋ยวให้ลองกินลาบควายด้วย เราไปปูเสื่อนั่งกินกันข้างแม่น้ำปิง ไม่ต้องจ่ายค่าเซอร์วิซชาร์จให้เสียความรู้สึก บริการตัวเอง ดีมั้ย”

โบ้น้ำลายสอกับรายชื่ออาหารที่เพื่อนเพิ่งพูดออกมา แต่ก็ยังไม่วายที่เขาจะแกล้งย้อนเพื่อน “มันจะเข้ากันเหรอ กับแกล้มเมือง ๆ กับเหล้าฝรั่งที่หมักบ่มมานานถึง 12 ปี”

อัดหันมาสบตากับเพื่อนพร้อมรอยยิ้มก่อนจะพูด

“แล้วมึงจะติดใจ”

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...