วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

เฟรนด์ชิพ


"ได้ครับคุณสุพจน์ อีกไม่เกิน 10 นาทีผมจะถึงร้านอาหารที่เรานัดกันไว้แล้วครับ"
"ดีครับคุณกานต์ ไว้เราเจอกันตามเวลาที่นัดหมาย"
กานต์กดปุ่มจบการสนทนาจากหูฟังบลูทูธที่อยู่ในหูของเขา รถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันแพงวิ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูงออกนอกตัวเมือง เส้นทางรอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไร้วี่แววที่จะพบเจอบ้านผู้คน ในวันนี้กานต์มีนัดพบกับลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่ทำพวกโฆษณา และลูกค้ารายนี้ก็เฉพาะเจาะจงให้เป็นกานต์คนเดียวเท่านั้น ที่จะมารับงานชิ้นนี้
แสงตะวันใกล้ไต่เส้นขอบฟ้า ขอบภูเขาเริ่มแตะขอบดวงอาทิตย์ แสงสว่างเริ่มจางลงบนถนนที่ไร้แสงไฟส่องสว่าง แต่นั่นไม่สามารถทำให้ความเร็วของยานพาหนะสีแดงเพลิงลดลงไปได้ และในที่สุดกานต์ก็มองเห็นถึงจุดหมายที่เขามองหาตามพิกัด GPS ที่ได้มาจากลูกค้า
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตากานต์คือ ร้านอาหารสวยหรูขนาดกะทัดรัดท่ามกลางธรรมชาติแสนสวยงามและความสงบ เขาจอดรถและพยายามมองเข้าไป แต่ดูเหมือนกานต์จะมองไม่เห็นใครเลย ไม่มีพนักงาน ไม่มีลูกค้าเดินเข้าออก สิ่งที่ทำให้เขาอุ่นใจก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ส่องสว่าง และรถยนต์คันงามสีขาวที่จอดในที่จอด กานต์คาดว่ารถคันนี้คงเป็นของลูกค้าที่มาทานอาหารที่นี่
กานต์เปิดประตูเข้าไปในร้านอาหาร แต่ก็ยังไม่เห็นพนักงานต้อนรับ ไม่มีลูกค้าสักโต๊ะที่นั่งในร้าน เขาเหลือบมองไปรอบๆก็เห็นทั้งร้านมีโต๊ะเพียงแค่ 5 ชุด มีแค่โต๊ะชุดเดียวที่ดูเหมือนจะมีลูกค้านั่งอยู่ก่อนแล้ว เพราะเก้าอี้ถูกดึงออกมาจากใต้โต๊ะ 1 ตัว มีชุดจานและแก้ว 2 ชุดบนโต๊ะอาหาร
กานต์ตัดสินใจนั่งโต๊ะติดประตู ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกันกับโต๊ะที่มีชุดจานและแก้ว เขามองสำรวจรอบๆร้าน ห้องอาหารนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆคงจะเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนบนผนัง ภาพนั้นเป็นภาพที่แสดงรอยยิ้มของหญิงสาวคนหนึ่ง รอยยิ้มที่สวยงามและบ่งบอกถึงความร่าเริงแจ่มใส แต่ทว่าหากสังเกตที่ดวงตาของเธอ จะพบกับความโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
บริกรหญิงหน้าตาสะสวยในชุดประโปรงยาวสีขาว เธอโพกหัวด้วยผ้าสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับชุด บริกรหญิงถือเหยือกน้ำดื่มและแก้วมาวางไว้บนโต๊ะที่กานต์นั่ง
"สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ร้านอาหารเฟรนด์ชิพค่ะ ไม่ทราบว่าจองไว้กี่ที่คะ"
เสียงใสต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้ดียิ่งนัก กานต์หันมายิ้มให้ทางด้วยท่าทีที่โล่งใจ เขาจ้องใบหน้าขาวนวลด้วยเครื่องแป้งบนใบหน้าของเธอเนิ่นนาน ก่อนจะคลายยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับเธอ
 "ครับ พอดีว่าผมจองไว้ 2 ที่ แต่อีกสักพักแขกของผมจะมาถึง"
"ได้ค่ะ ระหว่างรอจะสั่งอะไรมาดื่มหรือรองท้องไว้ก่อนมั้ยคะ"
"ผมขอน้ำเปล่า 1 แก้วครับ ขอบคุณ อ้อ ผมรู้สึกทึ่งกับร้านอาหารแห่งนี้มากเลยครับ ทั้งสวยงามและบรรยากาศเงียบสงบ หากลูกค้าของผมไม่บอก นี่ผมไม่มีทางที่จะได้มายังสถานที่แห่งนี้แน่ๆเลยครับ"
"ทางร้านของเราเป็นร้านไพรเวทค่ะ แขกที่มาจะเป็นคนที่ถูกรับเชิญเท่านั้น เราไม่ต้อนรับลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญค่ะ"
กานต์ทำสีหน้าแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน
"มีร้านแบบนี้ด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย แล้วอาหารล่ะ"
"เจ้าของร้านทำร้านนี้ขึ้นมาเพื่อต้อนรับแขกส่วนตัวค่ะ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาทานที่ร้านของเราได้ ส่วนเรื่องอาหารนั้นจะถูกจัดเตรียมเมนูไว้แล้วตามจำนวนคนที่มา เครื่องดื่มก็เช่นกัน"
บริกรหญิงวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะก่อนจะค่อยๆรินน้ำจนเต็มแก้ว จากนั้นเธอขยับแก้วไปไว้เบื้องหน้าของกานต์
"เมื่อแขกอีกท่านมา เราจะยกอาหารและเครื่องดื่มออกมาค่ะ ระหว่างนี้คุณลูกค้าสามารถนั่งชมบรรยากาศรอบข้างไปก่อนได้นะคะ"
หญิงสาวโค้งศีรษะก่อนเดินจากไป บรรยากาศภายนอกร้านยามเย็นจวนค่ำ แสงอาทิตย์ที่เคยโลมเลียทุ่งหญ้าเขียวพร้อมใจกันลาจาก ในทุ่งหญ้าเมื่อไร้แสงอาทิตย์เป็นเหมือนกับสัญญาณแห่งความสงบกำลังจะเริ่มต้น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างสำหรับคนเมืองเช่นกานต์ ที่ในเมืองใหญ่นั้นหากแสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า นั่นหมายถึงความวุ่นวายในถนนหลายสายกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ภาพความสวยงามนั้นดึงดูดสายตาคู่นั้นจนกานต์ไม่ทันสังเกตว่าเจ้าของโต๊ะที่ว่างนั้นกลับมาแล้ว
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกับกานต์กลับมานั่งที่โต๊ะ เธอเช็ดไม้เช็ดมือด้วยผ้าที่บริกรหญิงเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ ท่าทางเธอสะดุดตากลับชายหนุ่มที่ได้แต่จ้องมองทุ่งหญ้าภายนอกร้าน เหมือนเธอจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
"นั่นกานต์หรือเปล่า ?"
หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเธอไม่สามารถเก็บความสงสัยนั้นไว้ได้ กานต์หันหน้ามามองและยิ้มออกมาทันที
"ใช่ครับ เอ่อ แล้วนั่นใช่มลหรือเปล่า ?"
"ใช่ๆ นี่มลเอง"
ทั้งคู่ทำท่าทางประหลาดใจ ต่างคนต่างไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสถานที่อันลึกลับแบบนี้
"เป็นยังไงบ้างกานต์ เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ หลังจากเราเรียนจบก็ได้เจอกันไม่กี่ครั้งเอง ตอนนั้นแต่ละคนก็งานยุ่งๆกันไม่มีเวลานัดมาเจอกันเลย"
"นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆที่เรามาเจอกันที่นี่ ว่าแต่มลมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ"
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของฉันกับสามี เขาอยากให้คืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับฉัน"
กานต์คิดว่าสามีของมลคงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาร้านแห่งนี้ได้ เขารู้สึกทึ่งกับความโรแมนติกครั้งนี้ยิ่งนัก
"แล้วเธอล่ะกานต์ มาที่นี่ได้ยังไง"
"คือว่าลูกค้าของเรานัดมาน่ะ เขาเฉพาะเจาะจงต้องให้มาที่นี่เท่านั้นเลยนะ"
"จริงเหรอกานต์ แสดงว่าลูกค้าของกานต์ต้องรู้จักกับเจ้าของร้านนี้แน่ๆเลย เห็นเขาว่าที่นี่เป็นร้านแบบไพรเวท"
"เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าล่ะ" กานต์พูด
ทั้งคู่มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง
"อีก 5 นาทีจะถึงเวลานัดกับลูกค้า ว่าแต่มลนัดกับสามีไว้กี่โมงล่ะ"
"ฉันไม่ได้ระบุเวลา แต่อีกสักพักเดี๋ยวอาจจะลองโทรไปถามว่าถึงไหนแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็พอมีเวลาคุยกันสักนิดล่ะนะ ว่าแต่ช่วงนี้เรื่องการงานของมลเป็นยังไงบ้าง"
"งานของฉันก็เรื่อยๆน่ะ บางครั้งก็เหนื่อยบ้างแต่ก็สนุกดี แต่ฉันก็คิดนะเรื่องความวุ่นวายที่เราเจอในชีวิต นั่นทำให้ฉันย้อนนึกถึงสมัยที่เราเรียนกันอยู่ในมหาลัย รู้มั้ยว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยนะ
ช่วงเวลานั้นเหรอ ใช่แล้วล่ะ ช่วงเวลานั้นสำหรับเราก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหมือนกัน ในช่วงนั้นเวลาที่เครียดที่สุดสำหรับพวกเราก็คือช่วงเตรียมตัวสอบ ช่วงนั้นน่ะนะแต่ละคนไม่ยอมกินยอมนอนเลยจริงๆ
ใช่ๆ ฉันจำได้ ตอนนั้นก็มีกานต์นี่แหละที่ช่วยติวข้อสอบให้พวกเรา ช่วงนั้นถ้าไม่มีกานต์สักคน คงมีเพื่อนๆของเราหลายคนที่เรียนไม่จบจากที่นั่นแน่ๆเลย
มลหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่เธอพูด แต่กานต์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดนี้
แหม มลก็พูดไป คนที่ติวหนังสือให้ไม่ใช่มีเราคนเดียว คนอื่นๆที่ถนัดวิชาไหนก็มาช่วยติววิชานั้นให้พวกเราเหมือนกันไง ดูอย่างเจนสิ ขานั้นติวหลายวิชาเลยนะ ถ้าหากไม่มีเจนสิพวกเราก็อาจจะไม่รอดกัน
มลยังหัวเราะชอบใจกับเรื่องนี้
พูดถึงเจนก็ไม่ได้เจอกับมันนานแล้วเหมือนกันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่กลุ่มเราจะได้มีโอกาสกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เฮ่อ ! คิดถึงเพื่อนๆเราจังเลย” มลพูด
เอาน่าๆ แต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ขอเพียงแค่เรายังไม่เลิกติดต่อกันมันก็ต้องมีโอกาสสักวันที่พวกเราจะได้มานัดพบกัน

แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว ในตอนนี้ภายนอกร้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ป่าแถบนี้ไร้บ้านผู้คน ไร้เสาหลอดไฟจากถนนที่จะส่องสว่างต่อสู้กับแสงดาวบนท้องฟ้า ทำให้ใครก็ตามที่แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจะพบเห็นแสงดาวที่พร่างพราวสวยในคืนเดือนมืด หมู่มวลดารานับล้านแข่งกันสะท้อนแสงกลับมายังพื้นโลก แต่มีดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ เสียดายแทนกานต์และมลที่เขาทั้งสองพลาดโอกาสในการมองเห็นความสวยงามนี้ เพราะทั้งคู่ต่างกำลังเพลิดเพลินกับการนั่งคุยกันจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพราะทั้งคู่ไม่ได้สังเกต
อ๊ะ ! กานต์ นี่ถึงเวลานัดของลูกค้าหรือยัง เขายังไม่มาอีกหรือนี่
จริงด้วย นี่เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ เดี๋ยวเราโทรไปถามลูกค้าก่อนว่าถึงไหน
กานต์ต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดที่เขาเพิ่งจะสนทนาเมื่อตอนเย็น แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถต่อสายไปถึงลูกค้าได้ เพราะเสียงสัญญาณตอบกลับแสดงว่าเครื่องปลายทางไม่ได้ถูกเปิด
แปลกมากเลย ไม่รู้ว่าสัญญาณไม่มีหรือเครื่องของลูกค้าแบตหมด เราติดต่อลูกค้าไม่ได้น่ะ
กานต์ทำท่าหงุดหงิด ทำให้มลหัวเราะเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอโทรหาสามีก่อนนะ ไม่รู้ว่าเขาขับรถมาถึงไหนแล้ว
มลต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดเช่นกัน แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับกานต์ที่ไม่สามารถต่อสัญญาณถึงปลายสายได้
โทรศัพท์ของสามีฉันก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้เป็นอะไร
ถึงคราวที่มลจะทำท่าร้อนรนบ้าง จนกานต์ต้องรีบพูดปลอบ
คงจะไม่มีอะไรมั้ง เส้นทางที่พวกเขาผ่านอาจจะไม่มีสัญญาณ ใจเย็นๆนั่งรอไปก่อน อย่าคิดมากน่า
โอเคจ้ะมลตอบรับ เธอดูคลายความกังวลลงไปเล็กน้อย
เหมือนบริกรหญิงจะรู้ใจทั้งกานต์และมล เธอนำอาหารว่างมาให้ทั้งคู่รองท้องกันก่อน ซึ่งในขณะนี้ทั้งคู่ได้มานั่งรวมที่โต๊ะเดียวกันแล้ว
ดูเหมือนว่าแขกของคุณลูกค้าจะยังมาไม่ถึงทั้งคู่ ทางเราจึงนำอาหารว่างมาให้รองท้องกันก่อนค่ะ
รอยยิ้มบนหน้าของบริการหญิงแสดงออกถึงความร่าเริงแจ่มใส เมื่อรวมกับน้ำเสียงที่หวานใสนั่นทำให้กานต์และมลต่างหันมาขอบคุณ เพียงแต่ว่าหากทั้งคู่ลองสังเกตแววตาของบริกรหญิงสักนิด พวกเขาอาจจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้น บริกรหญิงเดินกลับเข้าไปในครัว

อื้ม... อาหารของร้านนี้เขาอร่อยจริงๆ ที่ขนาดแค่ของว่างนะ
กานต์เอ่ยปากชมเมื่อเขาลองชิมขนมปังกรอบสอดไส้น้ำพริกเผา
จริงด้วยๆ พ่อครัวของร้านนี้คงจะเคยเป็นเชฟใหญ่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวมาก่อนแน่ๆเลย
มลเอ่ยปากชมบ้าง ไม่นานอาหารในจานก็หมดเกลี้ยง อาหารจากเล็กนี้สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งคู่ได้ไม่น้อย
ที่นี่เป็นร้านอาหารที่สมบูรณ์แบบเลยจริงๆนะ น่าเสียดายจังที่เราไม่สามารถมาใช้บริการที่นี่ได้อีกแล้ว เฮ้อ...!” มลพู
อย่าพูดแบบนั้นสิมล สถานที่ดีๆแบบนี้จะต้องพึ่งโชคชะตานำพามา ดูเราสองคนวันนี้สิ แค่วันนี้วันเดียวก็เกิดเรื่องปาฏิหาริย์กับเราหลายเรื่องเลยนะ
อืม... จริงด้วยเนอะ อาจจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้วันนี้เราได้มาเจอกัน ฉันว่านะบางทีอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้ มลพูด
ก็ขอให้เรื่องที่เกิดนั้นเป็นเรื่องที่ดีๆก็แล้วกัน
เออ... ไม่รู้ว่ากานต์จะรู้สึกเหมือนที่ฉันคิดหรือเปล่านะ ?”
เรื่องอะไรล่ะมล
กานต์รู้สึกคุ้นๆหน้ากับพนักงานคนนั้นหรือเปล่า ฉันว่าฉันเคยเห็นคุ้นหน้าเธอมากเลย แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร
จริงเหรอ เราไม่รู้เหมือนกันนะ อาจจะเป็นคนหน้าโหลก็ได้
ทั้งคู่หัวเราะชอบใจกับคำพูดของกานต์ แม้เสียงหัวเราะจะช่วยกลบความสงสัยของมลไว้ได้ แต่ร่องรอยความคลางแคลงใจยังปรากฏอยู่ในแววตาของเธอ
เออนี่ เราขอถามมลเรื่องนึงสิ มลเป็นเพื่อนสนิทกับฟ้าใช่มั้ย
ยัยฟ้าเหรอ ใช่แล้ว ฟ้ามักจะคุยกับฉันทุกเรื่อง กานต์อยากรู้เรื่องอะไรเหรอ นั่นแน่ ! หรือว่ากานต์อยากรู้เรื่องนั้น
 “มลก็รู้ว่าเราอยากรู้เรื่องอะไร กานต์ยิ้มแบบอายๆเล็กน้อย
ก็ได้ๆ ฉันก็จะบอกกานต์ก็ได้ กานต์อยากรู้ใช่มั้ยว่าตอนนั้นฟ้าแอบชอบใคร ถึงแม้ว่าฟ้าจะเป็นคนที่สวยและมีเสน่ห์ มีหนุ่มๆเข้ามาจีบมากมาย แต่มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฟ้าชอบ และคนนั้นก็คือ...
กานต์ไม่พูดอะไร เขาตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบ
คนที่ฟ้าชอบก็คือไก่นั่นเอง
กานต์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เหมือนสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดมานานได้ระเหยออกไปจนหมดสิ้น
หัวเราะหมายความว่ายังไง ฉันนึกว่ากานต์จะผิดหวังและร้องไห้เสียอีก
ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราอาจจะร้องไห้เสียใจ แต่เรื่องนี้มันผ่านมาจนเราโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะแยกแยะเหตุผลได้แล้ว ความรักของวัยรุ่นมันน่าตลกดีนะ
เป็นทีที่มลจะยิ้มออกมาบ้าง
ดีแล้วล่ะที่กานต์ตัดใจจากฟ้าได้ ตอนนี้ฟ้ามีครอบครัวมีลูกแล้วนะ
แล้วมลกับฟ้ายังได้ติดต่อกันอยู่บ้างมั้ย
ก็เหมือนกันกับกานต์แหละ เราต่างยุ่งเรื่องงานกันไม่ค่อยได้มีเวลามานัดเจอกันหรอก
อืม...กานต์ตอบรับพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ
กานต์หัวเราะเรื่องอะไร
อ๋อเปล่าหรอกไม่มีอะไร พอดีเรานึกถึงไก่คนที่ฟ้าแอบชอบไง
ทำไมเหรอ คิดถึงไก่แล้วมีอะไรน่าขำเหรอ ไก่เป็นเพื่อนสนิทของกานต์นี่นา หรือว่ากานต์ช็อกที่รู้ว่าคนที่ตัวเองแอบชอบนั้นก็แอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเอง
เปล่าหรอกมล คือว่าถ้าฟ้ารู้ว่าคนที่ฟ้าแอบชอบนั้นไม่มีใจให้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว ฟ้าจะรู้สึกยังไงนะ
คำพูดของกานต์ทำให้มลรู้สึกตะลึง
หมายความว่า ?”
ไก่มันเป็นเกย์ เรารู้เรื่องนี้ดีเพราะไก่มาปรึกษาเราหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ที่กานต์พูดนี่เรื่องจริงใช่มั้ย ทำไมพวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ไก่ไม่อยากให้ใครรู้ในเรื่องนี้ เพราะมันคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว มลอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ
ได้สิ รับรองฉันไม่บอกใครแน่นอน แต่เรื่องที่เธอว่ามานี่ไม่น่าเชื่อมากเลยนะ ไก่เพื่อนเราดูมาดแมนขนาดนั้น ถึงว่าล่ะสาวๆไหนมาจีบก็ไม่สนใจใครทั้งนั้น ตอนนั้นฉันคิดว่าไก่จะแอบมีใจให้ฟ้าด้วยซ้ำไป ก็เลยไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ตอนนั้นเราก็คิดเหมือนกันว่าฟ้าจะแอบชอบไก่ เราเลยไปถามไก่ว่ารู้เรื่องนี้มั้ย ถามไปถามมาก็ทำให้รู้ความจริงข้อนี้แหละ
กานต์ก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง
เราว่านี่มันแปลกๆแล้วนะ เลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ลูกค้าของเราก็ยังไม่โผล่มา เดี๋ยวขอโทรเช็คก่อนนะ
กานต์พูดเสร็จก็กดโทรศัพท์ออกไปเบอร์เดิม และผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิมคือไม่สามารถติดต่อได้
แย่จริงๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นัดหมายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ
ลองโทรไปให้บริษัทช่วยติดต่อให้ไม่ได้เหรอ บางทีบริษัทอาจจะมีข้อมูลลูกค้าที่มากกว่านี้
ลูกค้าคนที่เป็นลูกค้าที่เราดีลด้วยโดยตรงน่ะ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ที่เรา ว่าแต่มลเถอะ สามีเธออยู่ไหนแล้ว
งั้นเดี๋ยวฉันขอลองโทรก่อนนะ
มลกดเบอร์โทรถึงสามี แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นเดียวกัน
ไม่ติดเหรอ มลโทรไปหาเพื่อนที่ทำงาน ญาติพี่น้องอะไรมีบ้างมั้ย
จริงด้วย ฉันจะลองโทรเข้าบริษัทของเขาดู" มลทำตามที่เธอว่าทันที
ไม่มีใครเห็นเขาตั้งแต่บ่ายแล้ว แปลกมาก ตอนเย็นเราพึ่งจะคุยกันเอง” มลพูด
 สีหน้าและแววตาของมลเริ่มแสดงความกังวลออกมาให้เห็นแล้ว และในเวลานั้นเอง แสงไฟสีส้มสาดสะท้อนเข้ามาในร้านที่ล้อมรอบไปด้วยกระจก เป็นสัญญาณว่ามีรถยนต์ของลูกค้าขับเข้ามาจอดในร้าน
 กานต์และมลนั่งรอในห้องกระจก แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่รถยนต์คันนั้น จนกระทั่งคนที่อยู่บนรถเดินเข้ามาในห้องกระจก ทั้งกานต์และมลแทบจะร้องเป็นเสียงเดียวกัน
เจน !!
หญิงที่ถูกเรียกชื่อเปิดประตูเข้ามาในร้าน เธอถอดหมวกออก
กานต์ ! มล ! พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่
เจนทำท่าตกใจยิ่งกว่า 2 คนที่นั่งอยู่ในร้าน กานต์อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เจนฟัง รวมถึงเรื่องที่ไม่สามารถติดต่อลูกค้าของกานต์ และสามีของมลที่ขาดการติดต่อ
นี่พวกเธอพูดเรื่องจริงหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ มลเธอใจเย็นๆนะ บางทีเส้นทางที่มาอาจจะทำให้หลงทางได้ และสัญญาณโทรศัพท์อาจจะไม่มี
ขอบคุณมากเจน แล้วว่าแต่เธอล่ะ มาที่นี่ได้อย่างไร
ฉันเหรอ พอดีเพื่อนที่ทำงานฉันนัดกันมาปาร์ตี้ที่นี่หลังเลิกงาน ออกจากทำงานก็ขับตามกันมา ไม่รู้ว่าไปหลงทางกันตรงไหน แต่เดี๋ยวสักพักก็คงจะมาแล้วล่ะ
หลังจากที่เจนวางกระเป๋าลงบนโต๊ะชุดถัดไปที่กานต์และมลนั่ง เจนเข้ามานั่งร่วมวงกับทั้ง 2 คน จากนั้นไม่นานบริกรหญิงคนเดิมเดินออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือนคนใหม่
สวัสดีค่ะ ร้านเฟรนด์ชิพขอต้อนรับ เป็นลูกค้าที่จองไว้ 3 ที่ใช่มั้ยคะ
ค่ะ จองไว้ 3 ที่ แต่เดี๋ยวจะตามมาอีก 2 คน ขอนั่งรวมโต๊ะที่นี่ก่อนนะคะ พอดีเจอเพื่อนเก่า
ได้ค่ะ
บริกรยื่นแก้วน้ำให้เจนก่อนที่เธอจะเดินหายไป มลลุกขึ้นยืนพร้อมเข้าโผเข้ากอดเจน เธอแสดงท่าทางยินดีที่ได้พบเพื่อนเก่า
ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมาเจอเธอ 2 คนได้ที่นี่ ยิ่งบอกว่าทั้งกานต์และมลไม่ได้มาด้วยกันแต่มาเจอกันที่นี่ยิ่งน่าแปลกเข้าไปอีก
นั่นน่ะสิเจน กานต์เขาบอกว่าโชคชะตานำพาให้เรามาพบกันโดยบังเอิญ ใช่มั้ยกานต์
มลสะกิดกานต์ที่ทำท่าทางเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 
เธอว่าอะไรนะ
ฉันบอกว่าที่พวกเรามาเจอกันที่นี่เพราะโชคชะตานำพาให้พวกเรามาเจอกันไง” มลทวนคำพูด
อ่อ ก็ทำนองนั้นมั้งกานต์พูดเสร็จก็เริ่มทำสีหน้าครุ่นคิดหนักอีกครั้ง เหมือนกับว่าเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นกับเขาวันนี้มันช่างไม่ปะติดปะต่อกันเลย เขายังไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความสงสัยในเรื่องนี้กานต์ได้พยายามเก็บซ่อนไว้ไม่ให้เพื่อนอีก 2 คนเห็น
เออนี่พวกเธอ ไม่รู้ว่าเธอ 2 คนจะคิดเหมือนฉันหรือเปล่านะ
เรื่องอะไรอีกล่ะเจนกานต์ถาม
คือฉันคิดว่าพนักงานหญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนกับจะเคยเห็นที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันคิดว่าฉันคุ้นมากเลย
จริงหรือเจน
มลพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เธอกลัวว่าเรื่องนี้จะดังไปถึงหูของพนักงานหญิงคนนั้น
ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันนะเจน ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว แต่ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเคยเจอที่ไหน" มลยังคงตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
บ้าน่าพวกเธอ นี่มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ คนเราหน้าตาคล้ายๆกันมีถมเถไป บางทีสมองพวกเธออาจจะทำงานผิดพลาดไปแล้วก็ได้ ดูสิพวกเราอายุปาเข้าไปเท่าไหร่กันแล้ว
กานต์พูดจบก็หัวเราะกลบเกลื่อนความคลางแคลงใจของทั้ง 2 ไม่วายมลก็ทำทีเป็นเห็นด้วยกับความคิดของกานต์
ก็อาจจะเป็นอย่างที่กานต์ว่าจริงๆก็ได้นะ เอาเถอะๆ ไหนๆเราก็ได้มาเจอกันแล้ว ถือเสียว่าได้มารวมรุ่นเล็กๆเลยละกันนะ รู้มั้ยเจน เพราะเธอทำให้ชีวิตในรั้วมหาลัยของพวกเราสนุกสนานมีชีวิตชีวากันมากขึ้นเลยนะ
มลพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด เธอพูดพลางยิ้มไปกับความทรงจำที่เธอกำลังกล่าวถึง
ใช่สิมล จำครั้งที่พวกเราไปเข้ากิจกรรมอาสาได้มั้ย พวกเรา 5 คนได้รับมอบหมายให้ไปเรี่ยไรเงินบริจาค เราไปที่ไหนบ้างนะ อ้อ ไปตามตลาดนัดรอบๆเมือง มีแต่ฉันคนเดียวที่ตะโกนแหกปาก พวกนายได้แต่ยืนถือกล่องและถือป้าย"
ทั้ง 3 หัวเราะร่า ความเงียบสงัดของร้านนี้พอที่จะถูกกลบเกลื่อนลงไปได้บ้าง ด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
"แต่นั่นก็ทำให้เราได้เงินบริจาคเยอะเลยนะ" มลพูด
"ใครว่าล่ะ คนให้เงินเราเยอะเพราะคนถือกล่องคือไก่ และคนถือป้ายก็คือฟ้าต่างหากล่ะ ที่ทำให้คนรุมมาบริจาคเพราะอยากได้รอยยิ้มจากสองคนนั้น"
"อืม... ก็จริงนะ เพราะสองคนนั่นถ้าบอกคนอื่นว่าเป็นดารานี่จะไม่มีใครสงสัยเลย ฉันยังแอบลุ้นให้ทั้งคู่คบเป็นแฟนกันเลยนะเนี่ย เสียดายจริงๆ"
มลพูดพลางหัวเราะ เธอหันไปทางกานต์และยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องความลับเกี่ยวกับไก่ที่คุยกันก่อนหน้านี้
"แต่ฉันว่ากลุ่มเราเป็นกลุ่มที่รักกันมากเลยนะ" เจนพูด
"ยังไงล่ะ ? " มลถามกลับ
"ก็ยัยฟ้าน่ะสิออกจะฮอตขนาดนั้น มีหนุ่มมารุมจีบฟ้ามากมาย แล้วก็จะมีกานต์นี่แหละที่ชอบทำท่าทางหึงหวงต่อหน้าผู้ชายที่เข้ามาจีบยัยฟ้า จนคนอื่นเขาคิดว่ากานต์กับฟ้าเป็นแฟนกันจริงๆแล้วล่ะ"
กานต์ถึงกับยิ้มเขินๆเมื่อได้ยินสิ่งที่เจนพูด
"แล้วเธอล่ะกานต์ ตอนนั้นกานต์รู้สึกยังไงกับฟ้า" เจนถาม
"เอาจริงๆนะ เมื่อก่อนเราก็เคยแอบปลื้มฟ้าอยู่เหมือนกัน แต่ในตอนนั้นเราคิดถึงมิตรภาพของความเป็นเพื่อนมากกว่าน่ะ แค่เป็นเพื่อนกันก็มีความสุขแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟน เราก็ไม่รู้ว่าความสุขที่เคยมีมาก่อนนั้นจะยังคงอยู่เหมือนเดิมมั้ย"
กานต์พูดด้วยความรู้สึกระบายความในใจออกมา ทั้งมลและเจนต่างก็ซาบซึ้งในคำพูดเหล่านั้น
"ก็ถูกของกานต์นะ เพราะอย่างนี้ไง มิตรภาพของเราจึงยืนยาวไม่รู้จบ"
เจนเห็นด้วยกับความคิดนี้ และเธอก็นึกถึงบางเรื่องขึ้นมาทันที เจนก้มลงดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
"เดี๋ยวนะ ทำไมเพื่อนของฉันยังไม่มาอีก นี่ก็ผ่านมาเกือบ 20 นาทีแล้ว ทั้งๆที่ขับตามกันมาก่อนจะออกนอกเมือง"
"เจนลองโทรไปสิ" 
มลเสนอความคิดเห็น เจนทำตามทันที แต่ไม่ว่าจะโทรหาเพื่อนคนไหน ต่างก็ไม่สามารถติดต่อได้
"แปลกจังเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะคุยกันก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่พวกเขาเหมือนจะปิดโทรศัพท์"
คำพูดของเจนยิ่งสร้างความกังวลและสงสัยให้กับกานต์และมล โดยเฉพาะกานต์ที่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกตินี้
"นี่เจน ใครเป็นคนแนะนำให้เธอมาที่ร้านนี้"
"ก็เพื่อนของฉันน่ะสิแนะนำมา เขาบอกว่ารู้จักสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ เขาเลยลองชวนฉันกับน้องอีกคนมาดัวยกัน"
"พนักงานบอกเราว่าร้านนี้เป็นร้านแบบไพรเวท คนที่มาร้านนี้ได้จะต้องถูกเชิญจากคนที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาได้เท่านั้น เราอยากรู้ว่าเพื่อนของเธอรู้จักร้านนี้โดยบังเอิญนั้นเขารู้จักได้อย่างไร"
"ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขารู้จักได้ยังไง แต่เอ๊ะ ! ทำไมกานต์ถึงถามแปลกๆแบบนั้นล่ะ มีเรื่องอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นเหรอ"
น้ำเสียงของเจนเริ่มแสดงออกถึงความกังวล
"ไม่มีอะไร เราถามดูเฉยๆ" 

บริกรหญิงในชุดขาวถือถาดอาหารเดินมาวางบนโต๊ะที่ทั้ง 3 นั่ง
"เชิญทานอาหารว่างก่อนค่ะ คือทางเราขออธิบายกับลูกค้าว่า อาหารและเครื่องดื่มที่เราจัดเตรียมไว้แล้วนั้น ผู้ที่รับเชิญทุกท่านมาได้จ่ายค่าอาหารไว้หมดแล้ว และพอถึงเวลา 2 ทุ่ม อาหารทั้งหมดจะถูกยกออกมาค่ะ"
"เอ่อ ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ เมื่อกี้ที่คุณบอกว่ามีเฉพาะคนที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาที่นี่ได้ แสดงว่าคนที่นัดพวกเรามาที่นี่ต่างเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ พวกเขาจะต้องเป็นสมาชิกที่นี่หรือต้องเคยมาที่นี่ เราอยากรู้ว่าที่ร้านนี้สามารถติดต่อคนเหล่านั้นได้มั้ยครับ"
หญิงในชุดขาวหันมาสบตาพร้อมรอยยิ้มให้กับกานต์ เธอพยายามปิดบังแววตาแห่งความเศร้านั้นไว้ภายในไม่ให้ใครสังเกตได้ แต่ก็ยังมีบางคนที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น
"ใช่ค่ะ เราสามารถติดต่อกับสมาชิกของเราได้ วันนี้มีสมาชิกของเรา 5 คนที่จะมาที่นี่ เอาอย่างนี้ละกันค่ะ เดี๋ยวทางเราจะยืนยันกับสมาชิกทั้ง 5 ท่านค่ะ คุณลูกค้ากรุณารอสักครู่นะคะ"
บริกรหญิงพูดเสร็จก็เดินกลับเข้าไปหลังร้าน  คำตอบของเธอน่าจะทำให้ทั้ง 3 ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะคลายความกังวลลงไปได้บ้าง แต่กานต์ยังคงไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
"แล้วร้านจะติดต่อกับแขกของเราได้ยังไงกัน ขนาดเราโทรไปก็ยังติดต่อไม่ได้เลย" กานต์พูด
"นั่นน่ะสิ ฉันว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่นะ" แม้แต่มลก็ยังคิดถึงความผิดปกตินี้
"เอาน่าๆ พวกเธอก็คิดมากไปได้ นี่เป็นวันดีนะที่เรามาเจอกัน เลวร้ายที่สุดหากไม่มีใครมาจริงๆ ก็ถือว่าเรามาเลี้ยงฉลองกันเองก็ได้นี่"
เจนพูดด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อไม่ให้บรรยากาศเครียดไปกว่านี้ ทั้งกานต์และมลต่างก็เงียบไม่พูดอะไรต่อ โดยเฉพาะกานต์ที่นั่งนิ่งเหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง และทันใดนั้นเข้าก็คิดอะไรบางอย่างออกมา
"เดี๋ยวนะทุกคน เมื่อกี๊พนักงานบอกว่ามีคนจองโต๊ะไว้ 5 ที่ ถ้าหักเราไป 3 แล้วก็ยังจะเหลืออีก 2 ที่จะมา"
"อืม... เหลือแขกอีก 2 ที่"
"ทั้งร้านคงจะรองรับลูกค้าได้แค่ 5 ที่น่ะ"
เจนมองไปรอบๆร้านก่อนจะเสนอความคิดเห็น
"หวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องมานั่งรอเหมือนกับพวกเรานะ" กานต์พูด

ทันใดนั้นที่สิ้นเสียงคำพูดของกานต์ มีแสงไฟสาดส่องเข้ามาในร้านอีกครั้ง พวกเขาทั้ง 3 จ้องมองดูที่รถจนกระทั่งเจ้าของรถเดินมาถึงหน้าประตูกระจก และทั้ง 3 ต่างก็ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า
"ฟ้า !!"
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในร้าน สีหน้าเธอทั้งแปลกใจและดีใจที่ได้เห็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า
"พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย"
ทั้งกานต์ มลและเจนต่างมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ทั้ง 3 คนต่างก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
"ฟ้ามาที่ได้ยังไง"
กานต์ถามด้วยน้ำเสียงที่จิงจังจนฟ้าแปลกใจกับท่าทีนั้น
"ก็พอดีพ่อกับแม่ของฟ้านัดฟ้ามาทานอาหารเย็นกันที่นี่น่ะ คือพวกท่านบินมาจากต่างจังหวัดและนัดสถานที่ให้มาเจอกันที่นี่"
ฟ้าตอบคำถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่บังเอิญมาเจอเพื่อนเก่าถึง 3 คน
"ว่าแต่พวกเธอเถอะ ทำไมถึงมารวมตัวกันที่นี่ล่ะ หรือว่าพวกเธอนัดกันมา"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกฟ้า เราว่าเรื่องนี้มันแปลกมากเลยนะ ความจริงแล้วเรานัดลูกค้าเพื่อมาคุยเรื่องงานกัน แต่ว่าเมื่อถึงเวลานัดลูกค้าที่เรานัดไว้กับติดต่อไม่ได้"
"เหรอจ๊ะ แต่นั่นก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย"
"เดี๋ยวก่อนสิ เธอลองฟังเรื่องของมลบ้าง" กานต์พูด
"คือว่าฉันมีนัดกับสามีของฉันไว้ที่นี่น่ะฟ้า พอเลิกงานเราต่างก็ขับรถมาที่นี่เลย ก่อนจะออกมาเราก็โทรคุยกันแล้ว แต่พอฉันมาถึงกลับกลายเป็นว่าไม่สามารถติดต่อกับสามีของฉันได้"
"จริงเหรอมล พวกเธอไม่ได้มาที่นี่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายไว้เหรอ แล้วเธอล่ะเจน"
"ฉันนัดกับเพื่อนที่ทำงานไว้ว่าจะมาเจอกันที่นี่"
"แล้วพวกเขาก็ยังมาไม่ถึง และยังไม่สามารถติดต่อได้" ฟ้าพยายามเดา
"ใช่" เจนตอ


ร้านอาหารที่ทำเป็นห้องกระจกสว่างเรืองรองอยู่ท่ามกลางความมืดมิด รอบข้างแวดล้อมไปด้วยป่าและต้นไม้ แสงสว่างจากโคมไฟส่องแสงสู้หมู่แสงจากดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้า ความเงียบสงบในยามดึกในป่าเขานี้ไม่สามารถช่วยให้ความคลางแคลงใจในร้านอาหารที่ชื่อเฟรนด์ชิพจางหายไปได้ การมาถึงของฟ้ายิ่งทำให้กานต์ มลและเจนต่างยิ่งกลัว กับสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้
"พวกเธอทำฉันงงไปหมดแล้ว นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า"
คน 3 คนที่มาถึงก่อนหน้านี้ต่างมองตากันไปมาอีกครั้ง
"ตอนแรกเราก็เชื่อแบบนั้นนะฟ้า แต่พอรูปแบบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคล้ายๆกันถึง 3 ครั้ง ไม่สิ ! 4 ครั้ง เราคิดว่าบางทีแล้วอาจจะมีคนอยู่เบื้องหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้"
"กานต์พูดอะไรน่ะ มลกลัวหมดแล้วนะ"
มลแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาทันที นั่นทำให้ทั้งเจนและฟ้าต่างคล้อยตาม
"ใจเย็นนะพวกเราตั้งสติไว้ก่อน บางทีแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ"
เจนพยายามพูดปลอบใจทั้งตัวเองและเพื่อนคนอื่นๆ
"ก็เป็นได้ ถ้าไม่มีใครคิดจะเล่นตลกกับพวกเรา"
"เอาอีกแล้วนะกานต์ กานต์พูดจนมลกลัวไปหมดแล้วนะ"
มลแสดงความหวาดกลัวออกมาอีกครั้ง ทำให้ไม่มีใครพูดอะไรต่อไป แต่ความสงสัยอยากพิสูจน์ยังมีอยู่ในความคิดของกานต์
"นี่ฟ้า ลองโทรหาพ่อกับแม่เธอดู เราอยากรู้ว่ารูปแบบของเหตุการณ์นี้มันจะซ้ำรอยหรือเปล่า" กานต์พูด
ด้วยความอยากรู้ว่าเรื่องราวที่เหล่านี้จะเป็นเหมือนที่กานต์คิดหรือเปล่า ทำให้เขาแสดงสีหน้าและแววตาเร่งเร้าให้ฟ้าทำตามที่เขาสั่งทันที
ฟ้ากำโทรศัพท์ในมือเธอไว้แน่น เธอยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด เหมือนกับฟ้าเองจะกลัวว่าผลลัพธ์ในการโทรจะเป็นเหมือนกับเพื่อนอีก 3 คนก่อนหน้านี้
"โทรสิฟ้า ! โทร"
สติของกานต์เริ่มจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้ว อาจเป็นเพราะเขาคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่มีใครรู้
"ใจเย็นสิกานต์ ทำไมต้องเสียงดังใส่ฟ้าด้วยล่ะ เราอยู่กันแค่นี้เองนะ"
"นั่นยิ่งทำให้พวกเรากลัวไปหมดแล้ว มีสติหน่อยสิกานต์"
ทั้งมลและเจนช่วยกันเรียกสติของกานต์ให้กลับมา และเหมือนกานต์จะคิดได้ เขาสงบสติอารมณ์โดยพยายามที่จะผ่อนลมหายใจที่รุนแรงให้สงบนิ่งลง
"เราขอโทษฟ้า ขอโทษนะทุกคน บางทีเราอาจจะคิดมากไป ถ้าฟ้าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยลองโทรดูนะ"
ฟ้ายังยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ อาจเป็นเพราะคนที่เธอจะโทรหาเป็นพ่อและแม่ของเธอ ในขณะที่คนอื่นๆต่างโทรหาคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนั้น
"ถ้าฟ้าไม่กล้าโทร เราจะโทรให้เองเอามั้ย"
"ฟ้ากลัวไปหมดแล้วกานต์ ฟ้ากลัวในสิ่งที่ทุกคนเล่าให้ฟ้าฟัง นี่ฟ้าก็เพิ่งจะมาถึงเอง ขอรอพ่อกับแม่สักหน่อยได้มั้ย"
"ก็ได้ฟ้า ถ้านั่นทำให้ฟ้าสบายใจ"
กานต์ตอบรับแทนเพื่อนๆที่จะยอมให้ฟ้ารอเวลา ในระหว่างนั้นทั้ง 4 คนต่างนั่งนิ่งไม่ยอมพูดจาใดๆ เหมือนกับว่าแต่ละคนจะกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปนั้นจะเป็นเรื่องจริง
เวลาผ่านไปไม่นาน ฟ้าตัดสินใจกดเบอร์โทรศัพท์หมายเลขล่าสุดและโทรออกทันที และเมื่อสัญญาณแสดงว่าไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ เธอทำซ้ำกับอีกหมายเลข แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นเดียวกัน
ฟ้าร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัวออกมาทันที เมื่อคิดถึงคำบอกเล่าจากเพื่อน ความกลัวที่มาจากการรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด มันคงจะน้อยกว่าความกลัวที่มาจากการไม่รู้อะไรเลยแต่เฝ้าคิดไปเองหลายเท่าตัวนัก
เพื่อนๆต่างช่วยกันปลอบใจฟ้า และทันใดนั้น บริกรหญิงเดินออกมาพร้อมอาหารและชุดแก้วน้ำสำหรับหนึ่งคน เธอหันไปสังเกตฟ้าแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา หญิงในชุดขาวได้แต่หันไปพูดกับทุกคนตามปกติ
"ขอโทษนะคะที่ออกมาต้อนรับช้า พอดีทางเราได้ติดต่อไปยังสมาชิกของเรา ซึ่งก็เป็นแขกของคุณลูกค้านั่นเอง และเราสามารถติดต่อพวกเขาได้หมดทุกคนแล้ว พวกเขาไปรวมตัวกันเพื่อจะเดินทางมาที่นี่พร้อมกันที่ร้านของเราอีกสาขาหนึ่ง ความจริงแล้วพวกเขาจะปิด เรื่องนี้เป็นความลับ แต่เห็นว่าลูกค้าเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางเราเลยต้องบอกเรื่องนี้ให้ทางลูกค้าทราบทันทีค่ะ"
เจ้าของเสียงพูดเสร็จวางจานอาหารลงบนโต๊ะพร้อมรินน้ำใส่ลงในแก้ว พอทำทุกอย่างเสร็จบริกรก็เดินจากไป
ทั้ง 4 มองหน้ากันไปมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะระเบิดดังลั่นจากทุกคน ร่องรอยความกังวลใจและความกลัวเลือนหายออกไปจากใบหน้าของทั้ง 4 แล้ว และเมื่อเสียงหัวเราะเริ่มเบาบางลง กานต์พูดขึ้นเป็นคนแรก
"เอ้ายัยฟ้า เช็ดขี้มูกซะ" กานต์พูดเสร็จก็หยิบกระดาษเช็ดหน้ายื่นให้กับฟ้า
"แหมกานต์ก็ ลองมาเป็นฉันบ้างสิ" ฟ้าหัวเราะร่าพร้อมรอยคราบน้ำตาที่ยังไม่จางหาย
"กานต์พูดถูกจริงๆด้วย มีใครบางคนพยายามจะเล่นตลกกับพวกเรา" มลพูดบ้าง
"อืม... เล่นตลกแต่ขออย่าให้มีใครเจ็บตัวก็แล้วกัน" เจนออกความเห็น
"แล้วพวกเธอคิดว่าใครกันที่คิดพยายามจะเล่นตลกกับพวกเรา"
กานต์ตั้งคำถาม จนเพื่อนที่เหลือต่างช่วยกันคิดถึงความเป็นไปได้ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
"หรือว่า..."
"หรือว่าจะเป็นเพื่อนของเราอีกคน"
"เป็นไปได้ หมอนั่นชอบเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้อยู่แล้วนี่"
ทั้ง 3 ช่วยกันออกความเห็น
"พวกเธอก็คิดเหมือนที่เราคิดใช่มั้ย บางทีคนที่พยายามจะเล่นตลกกับพวกเราก็คือไก่" กานต์พูด
"แหม... ต้องเป็นเจ้านั่นแน่ๆเลย" มลพูดด้วยความมั่นใจในสิ่งที่เธอพูด
"หมอนั่นชอบเล่นอะไรแบบนี้ด้วยสิ มันเคยหลอกให้พวกเราขวัญผวาหลายครั้งแล้ว" เจนสมทบ
"นั่นน่ะสิ พวกเรามาช่วยคิดวิธีการเอาคืนมันกันดีกว่า" กานต์ยังแค้นเล็กๆ
"เอาไงดีล่ะ ฉันจะเอาคืนให้สมน้ำสมเนื้อ" ฟ้าเห็นด้วยกับกานต์
จากนั้นในร้านอาหารบรรยากาศเปลี่ยนไปจากความคลางแคลงใจเปลี่ยนเป็นความสนุกสนาน

และทันใดนั้น แสงไฟสีส้มสาดเข้ามาในร้าน สายตาทั้ง 4 คู่มองไปที่รถยนต์ที่เพิ่งจะแล่นเข้ามาจอด และเมื่อเจ้าของรถเปิดประตูร้านเข้ามา สีหน้าของเขาตกใจเมื่อเห็นใบหน้าคนทั้ง 4 ที่อยู่ในร้าน
"พวกแก ! มาทำอะไรกัน"
แต่ตอนนี้คนที่อยู่ในร้านไม่แสดงสีหน้าแห่งความแปลกใจแล้ว แต่ละคนแค่ยิ้มทักทายให้กับคนที่เดินเข้ามา
"นายมาได้ยังไงน่ะไก่" กานต์ถาม
"เฮ้ย ! พวกแกยังไม่บอกเลยว่ามาทำอะไรกันที่นี่ นัดกันมารวมกลุ่มเหรอ แล้วทำไมไม่มีใครบอกเราเลย น้อยใจนะเนี่ย"
"เปล่าหรอก พวกเราไม่ได้มาด้วยกัน เรานัดเจอลูกค้าที่นี่ มลนัดกับสามีไว้ เจนนัดกับเพื่อน และฟ้านัดพ่อแม่ของเธอไว้ที่นี่" กานต์พูด
"อ้าว จริงเหรอ แล้วลูกค้านายอยู่ไหนล่ะ สามีของมล เพื่อนของเจนและพ่อแม่ของฟ้าอยู่ไหน" ไก่ถามพร้อมมองไปรอบๆร้านเพื่อมองหาคนเหล่านั้น
"ตอนแรกพวกเราติดต่อคนที่เรานัดมาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะโทรหายังไงก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย เราตกใจมากเลยนะ ทั้งมล เจน ฟ้าด้วยก็ไม่สามารถติดต่อคนที่นัดมาได้ พอดีพนักงานในร้านบอกว่าคนเหล่านั้นต่างไปรวมตัวกันเพื่อจะทำเซอร์ไพรส์พวกเรา และแกล้งให้พวกเราติดต่อไม่ได้"
"เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน บ้ามาก  ! เราว่ามันแปลกๆมากเลยนะ ต้องมีใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ"
"นายคิดแบบนั้นจริงๆเหรอไก่ ก่อนที่นายจะมาถึงพวกเราต่างคิดว่านายคือคนที่จัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา" กานต์พูด
"เราไม่รู้เรื่องนะ ที่เรามาวันนี้เพราะเรานัดเพื่อนของเราไว้ที่นี่ และเดี๋ยวเขาก็คงจะมาถึงภายในไม่เกิน 10 นาทีนี้"
"ถ้าเป็นไปตามที่พนักงานคนนั้นได้บอกพวกเราไว้ นายจะไม่สามารถโทรติดต่อเพื่อนของนายได้"
ไก่ลองโทรหาเพื่อนที่นัดไว้ทันที และก็ไม่สามารถติดต่อเพื่อนของเขาได้เช่นกัน
"ติดต่อไม่ได้จริงๆ สงสัยจะเป็นอย่างที่พนักงานคนนั้นว่าจริงๆ" ไก่พูด
ทันใดนั้นพนักงานหญิงเดินถือแก้วน้ำพร้อมอาหารเดินออกมา
"สวัสดีค่ะ ร้านเฟรนด์ชิพขอต้อนรับ เมื่อทุกคนมาครบแล้วทางร้านจะยกอาหารและเครื่องดื่มออกมาเลยนะคะ"
พนักงานยื่นแก้วน้ำตรงหน้าไก่และวางจานอาหารที่ถือมาลงบนโต๊ะ ไก่ตกตะลึงเมื่อมองไปที่หน้าพนักงานคนนั้น ไก่จ้องหน้าของเธอโดยไม่ละสายตาจนกระทั่งพนักงานเดินกลับเข้าหลังร้าน ไก่อุทานชื่อคนบางคนออกมา
"ภา !"
ทุกคนหันมามองที่ไก่เป็นสายตาเดียวกัน
"เป็นไปไม่ได้หรอกไก่ เธอคนนั้นไม่ใช่ภา" กานต์พูด
"เรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สายตาและใบหน้าของเธอคนนั้นเราไม่มีวันลืม"
ไก่หันไปสบตากับทุกคน
“แต่ก็ใช่นะ นั่นไม่ใช่ภาแน่นอน เพราะภานั้นตายไปแล้ว นี่อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญแค่นั้น เอาล่ะ ไหนๆวันนี้เราก็มาเจอกันด้วยความบังเอิญหรือจะมีใครจัดฉากให้เราก็แล้วแต่ ในเมื่อเรามาอยู่ด้วยกันแล้วก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้พูดคุยกันเรื่องเก่าๆของเราดีกว่านะ”
“ใช่แล้วไก่ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” มลพูด
“อืม... ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องวีรกรรมสมัยที่เรายังอยู่ในรั้วมหาลัยของแต่ละคน ว่าใครทำอะไรมาบ้าง” กานต์เสนอความเห็น นั่นเรียกรอยยิ้มจากใครบางคนได้บ้าง
“ก็ดีนะ ฉันขอเริ่มก่อนเลยละกัน

            ทุกคนจำได้มั้ยว่าสมัยที่เราอยู่ปี 1 มีวิชาที่เราไม่ได้อ่านหนังสือก่อนเข้าสอบเพราะจำตารางสอบผิด เลยไม่ได้อ่านกันทั้งกลุ่ม พอก่อนเข้าห้องสอบก็คิดว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ พวกเราตัดสินใจจดโพยเข้าห้องสอบ ทำให้ครั้งนั้นพวกเรารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด" มลพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
"อ๋อ จำได้ๆ ครั้งนั้นต้องโทษไก่เลยนะเพราะไก่เป็นคนจัดตารางติวหนังสือ แล้วดันลืมติวให้พวกเรา"
เจนพูดบ้าง นั่นเรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากหลายคน
“โอเคๆ ถึงแม้ครั้งนั้นเราจะผิด แต่คนที่ทำโพยให้ก็คือเรานะ"
"เอาน่าๆ นั่นคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า คนทุกคนก็ต้องเอาตัวรอดกันไปก่อน มันก็โทษใครไม่ได้หรอก" กานต์พูด
"แต่ฉันว่านะ ในตอนนั้นพวกเราก็ทำผิด พอมองย้อนกลับไปก็ละอายเหมือนกันนะ" ฟ้าพูด
"นั่นน่ะสิฟ้า เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เธอจำตอนปี 2 ได้มั้ยที่พวกเราก็พยายามจะจดโพยเข้าห้องสอบ แต่ในระหว่างสอบเราโดนอาจารย์คุมสอบจับได้ว่ามีโพย ตอนนั้นเราอายมากเลยเหมือนกัน" ไก่พูดแต่ก็ยังหัวเราะเชิงเขินอายเล็กน้อย
"แต่โชคดีที่ไก่เป็นลูกรักของอาจารย์ อาจารย์แกเลยไม่ปรับตกวิชานั้น" ฟ้าพูด
"อืม... ตอนนั้นเรารู้ด้วยว่าใครเป็นคนไปฟ้องอาจารย์ เพราะนอกจากพวกเราที่รู้ว่าเราแอบพกกระดาษเข้าห้องสอบ ก็ยังมีอีกคนที่รู้เรื่องนี้"
"ใครเหรอ" มลถาม
"ก็จะมีใครอีกล่ะ ก็ภานั่นแหละที่รู้ว่าเราแอบจดโพย คือว่าก่อนวันสอบที่เรานั่งจดโพยอยู่ที่โรงอาหาร ภามันมาเห็นเข้าและถามว่าเราทำอะไร ก็ตอนนั้นหลักฐานมันคาอยู่ในมือน่ะ ก็เลยไม่รู้ปฏิเสธยังไง ภาเห็นแต่ก็ไม่ว่าอะไร เธอสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมาหักหลังเราด้วยการไปฟ้องอาจารย์" ไก่พูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
"จริงหรือไก่ แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกให้พวกเรารู้"
"ก็ตอนนั้นเราไม่ได้โกรธภาเลยนะ คือเรารู้ว่าตัวเองผิดก็ถือว่ายอมรับผิดไป และที่ไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปบอกให้พวกเธอรู้เพราะกลัวพวกเธอไปต่อว่าภาในตอนนั้นไง ไหนๆพวกเธอก็รอดเรื่องโพยอยู่แล้วนี่"
"นี่หรือเปล่าที่ทำให้เธอไม่ค่อยชอบมาคุยกับพวกเรา" กานต์พูด
ไก่นิ่งไม่พูดอะไรไปชั่วขณะ เขาเหมือนกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา
"ไม่รู้สิ เราว่าคงไม่ใช่หรอก เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ไม่ได้สร้างความเกลียดชังอะไรนี่ เราไม่แม้แต่จะโกรธด้วยซ้ำไป"
“นายใจเย็นมากนะไก่ ถ้าเป็นฉันในเวลานั้นนะ รับรองยัยภานั่นต้องโดนฉันตบอย่างแน่นอน” มลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็เพราะเรารู้ไงว่าเธอใจร้อนและวู่วามด้วย ตอนนั้นเราเลยไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใคร”
มลทำหน้านิ่งและเงียบไป เหมือนเธอจะสำนึกถึงอะไรบางอย่างในใจ
“ไก่ก็มีเหตุผลนะที่ไม่บอกเรื่องแค่นั้นให้คนอื่น มันก็จริงอย่างที่ไก่พูดนะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เราไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
กานต์เสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคร่งเครียด
“แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็ผ่านเรื่องสอบนั่นมาได้แล้ว เราไม่ต้องคุยถึงมันหรอก งั้นเอาเรื่องนี้ดีกว่า พวกเราต่างก็รู้ดีว่ากานต์มันชอบกินเหล้า วิชาไหนที่เป็นคาบเช้าแล้วมันไม่ได้เข้า พวกเราก็จะรู้ทันทีเลยว่าจะไปตามมันที่ไหน” ไก่พูด
“ใช่ๆ ร้านเหล้าของพี่รูปหล่อที่อยู่หลังมหาลัย ในสมัยนั้นยังไม่มีการจัดโซนนิ่ง และไม่มีการจำกัดเวลาเปิดปิดร้าน แล้วเจ้าของร้านก็ดันซี้กันกับกานต์อีกด้วย แต่นั่นก็ดีนะที่ทำให้กานต์ไม่ไปเที่ยวไหนไกลเลย วันๆก็อยู่แต่ใกล้รั้วมหาลัย”
เจนเล่าถึงความหลัง นั่นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ไม่น้อย โดยเฉพาะกานต์ที่ยิ้มอย่างเขินๆ
“คนเรามันก็มีความชอบที่ต่างกันนี่ แม้เราจะชอบกินเหล้าแต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนนะ”
“ก็ใช่นะ กานต์ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ก็มีแต่ครั้งนั้นที่พวกเราทั้งแก๊งถูกนายลากไปกินเหล้าด้วย เรากินกันตั้งแต่ 2 ทุ่มยัน 7 โมงเช้า ทำให้เช้าวันนั้นพวกเราไม่ได้ติวหนังสือกัน”
ฟ้าพูดเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของวีรกรรมและเพื่อนๆ
“อันนั้นจะมาโทษเราก็ไม่ถูกนะ อุตส่าห์หนีไปกินเหล้าคนเดียวไม่บอกใคร ก็เธอนั่นแหละฟ้าที่ไปตามหาเราที่ร้านเหล้า เพราะจะเรียกให้เราไปติวสอบในวันวันมะรืน พอฟ้ามาหาและขอลองดื่มเหล้าไป 1 แก้ว จากนั้นเธอก็ติดลมไม่ยอมลุกเลย”
“ไม่ใช่ๆ วันนั้นฉันไม่ได้ลองขอดื่มเหล้าเลยนะ กานต์น่ะแหละที่บอกว่าให้ฉันดื่มแค่แก้วเดียวเธอถึงจะยอมไป แต่นายก็รู้อยู่แล้วว่าฉันน่ะคออ่อนขนาดไหน พอดื่มไปแค่แก้วเดียวก็ไปไหนไม่ได้แล้ว” ฟ้าพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
“คออ่อนที่ไหนล่ะยัยฟ้า ตอนนั้นฉันจำได้ว่าพอเธอไปตามกานต์ที่ร้านแล้วไม่ยอมกลับมาซักที ฉันนี่แหละที่ไปตามเธอต่อ พอไปถึงเห็นฟ้านั่งดื่มไปเกือบครึ่งขวดเลยนะ” เจนพูดทำให้ฟ้าหัวเราะด้วยความเขินอาย
“แหม... ก็ที่ร้านนั่นดนตรีออกจะคึกคักขนาดนั้น พอนั่งไปๆก็เคลิ้ม เจนไม่ต้องมาว่าให้คนอื่นหรอก จำได้มั้ยพอเธอเข้าไปในร้านก็ไม่ยอมลุกออกไปไหนเลย” ฟ้าพูด เจนหัวเราะชอบใจรวมถึงคนอื่นๆ
“ไม่ต้องเถียงกัน ตอนนั้นพอรู้สึกตัวอีกทีทั้งไก่และมลก็ตามมาสมทบกันด้วยไง แล้วในที่สุดพวกเราก็นั่งกินจนถึงเช้า และกลับไปเมาหลับที่หอจนถึงตอนเย็น” กานต์พูดสรุปตอนจบเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ดีนัก
“อืม... ใช่ และนั่นก็ทำให้เราไม่ได้อ่านหนังสือสอบกัน และไก่ก็ต้องจดโพยเข้าห้องสอบก่อนที่จะโดนอาจารย์จับได้” กานต์พูดพรางยิ้ม แต่คนอื่นหน้าเครียด
“เอาน่าๆ ก็นั่นมันเป็นช่วงชีวิตวัยรุ่นของเรา บางครั้งเราก็อาจจะทำเรื่องที่ผิดพลาดได้ แต่ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เราคงไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวเหล่านั้นได้หรอกน่า แม้ว่าเราจะเสียใจกับเรื่องเหล่านั้นมากสักเพียงใด” ไก่พูด
“นั่นสินะ เราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ พวกเธอจำได้มั้ยในครั้งที่พวกเราไปออกค่ายอาสากัน ในตอนนั้นเป็นวิชาบังคับที่ทำให้ต้องยกห้องไปกันทุกคน ฉันก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมตอนนั้นภาถึงต้องทำตัวแปลกแยกจะกลุ่มเพื่อนๆ พอมารู้ความจริงในวันนี้เลยทำให้เข้าใจเลย” มลพูด
“นั่นนะสิมล เพราะว่าเธอคงจะรู้สึกผิดที่เอาเรื่องไก่ไปฟ้องอาจารย์ บางทีภาอาจจะคิดว่าไก่ยังคงโกรธเรื่องนั้นอยู่” เจนพูด
“เพราะเรื่องนี้เองเหรอ ที่ทำให้ภาถูกแอนตี้จากกลุ่มเพื่อนๆ พอนานๆไปก็เกิดเป็นความเกลียดชังโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว” ฟ้าพูดจนทำให้ทุกคนนิ่งไป
“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะมล เราไม่รู้ตัวเลยนะว่าเราทำอะไรลงไปบ้างในตอนนั้น” ไก่พูด
“ไม่เอาน่าไก่ เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว และตอนนี้ที่ไปค่ายอาสานั้น ภาก็มีปากเสียงกับเพื่อนกลุ่มอื่นๆด้วย อาจจะไม่เกี่ยวกับเราก็ได้ที่ทำให้เธอแปลกไปในครั้งนั้น”  กานต์พูด
“แล้วพอจะมีใครรู้มั้ยว่าภามีปากเสียงเรื่องอะไรกับใครในตอนนั้น” มลถาม
 ทุกคนทำสีหน้าเรียบ ไม่มีใครส่งเสียงใดๆออกมา แต่ไม่นานมีคนๆหนึ่งเฉลยคำถามคาใจของมล
“เรารู้ว่าเธอมีปากเสียงกับใคร และสาเหตุใด” กานต์พูด
ทุกคนหันหน้ามามองที่กานต์แต่ยังไม่มีใครพูดอะไร
“ในตอนนั้นเป็นเพราะเราเองที่ไปบอกกับคนที่เก็บเงินค่ากิจกรรมว่าภายังค้างค่ากิจกรรม เพราะตอนนั้นเงินส่วนกลางหายไปเก็บได้ไม่ตามเป้า”
“เฮ้ย ! แล้วกานต์รู้ได้ยังไงว่าภาค้างจ่าย” มลพูด
“เราเดาเอา”
“ไม่ใช่นะกานต์ มันไม่ได้เป็นอย่างที่กานต์คิด ในตอนนั้นในพวกเราไม่ได้ทำบัญชีรับเงินว่าใครจ่ายแล้ว หรือยังไม่ได้จ่าย ระบบตอนนั้นคือใครจ่ายก็แค่เอาเงินมากองรวมกันไว้ ใช้ระบบเชื่อใจกัน แต่พอมีปัญหาว่าเงินขาดจึงไม่สามารถระบุได้ว่าใครยังไม่ได้จ่าย และในตอนนั้นฉันเห็นว่าภาเอาเงินไปจ่ายแล้วนะ แต่คนที่เก็บเงินคงจะจำไม่ได้” มลอธิบาย
“อ้าว ! จริงเหรอเนี่ย ความจริงเราก็พูดส่งๆไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องบาดหมางอะไร”
“ก็ภาคงจะไปเถียงกับคนที่เก็บเงินไงว่าเธอจ่ายแล้ว แต่ไม่มีพยานยืนยัน ตอนนั้นฉันรู้เพราะฉันกับภาไปจ่ายเงินพร้อมกัน” มลย้ำ
“โอ้ ! ไม่นะ นี่คงเป็นสาเหตุให้เธอถูกแอนตี้จากเพื่อนๆในห้อง  เป็นเพราะเราเหรอเนี่ย”
กานต์พร่ำบ่นกับตัวเอง เหมือนเขาจะสำนึกกับการกระทำอะไรบางอย่างที่ผ่านมาในอดีต สิ่งนี้ยิ่งทำให้สีหน้าของกานต์เต็มไปด้วยความเศร้า
“ไม่หรอกกานต์ ความจริงแล้วถ้าตอนนั้นภามาขอให้มลไปช่วยยืนยันว่าเธอจ่ายเงินแล้ว เรื่องวุ่นวายหลังจากนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่ที่เธอไม่ยอมมาขอให้มลช่วยพูดให้เพราะว่าเธอไม่อยากจะคุยกับกลุ่มของเรา น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่ภารู้สึกผิดที่เอาเรื่องโพยข้อสอบของเราไปฟ้องอาจารย์” ไก่พูด
หลังจากสิ้นเสียงคำพูดของไก่ ทั้งเจ้าของเสียงและกานต์ต่างก็ทำหน้าเศร้าเพราะเสียใจในสิ่งที่พวกเขาคิด ในเวลานี้ไม่มีใครอยากที่จะพูดอะไรออกมา ทำให้บรรยากาศที่น่าจะยินดีที่ทั้ง 5 คนได้มาพบกันนั้น กลับกลายเป็นปลกคลุมไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ
“ไม่เอาน่าๆ เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้ว เราจะมาจมอยู่กับความเศร้าไปทำมัยกัน ใครก็ได้ช่วยเปลี่ยนเรื่องคุยกันหน่อยได้มั้ย” เจนพูด
“จริงสินะ ทำไมเราต้องพูดถึงแต่เรื่องภาด้วยนะ แปลกมากจริง” ไก่พูดด้วยสีหน้าสงสัย
“อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงหน้าเหมือนภาคนนั้นมั้ง ทำให้เราคิดถึงเรื่องนี้” กานต์พูดพร้อมยิ้มแบบแหยงๆ
“เป็นไปได้ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฉันก็มีเรื่องบางอย่างนะที่อยากจะพูดเกี่ยวกับตัวเธอ” ฟ้าพูด “มีเรื่องๆหนึ่งที่ตัวฉันเองกับภามีเรื่องเข้าใจผิดกัน บางทีเพื่อนๆในห้องก็อาจจะยังสงสัยและอาจรวมถึงพวกเธอด้วย ในปีสุดท้ายที่อาจารย์มอบหมายให้เราทำวิทยานิพนธ์ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ว่าหัวข้อและเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ของฉันกับของภานั้นคล้ายกัน เราสองคนถูกเรียกเข้าไปพบกับอาจารย์ แต่ปรากฏว่าภาเธอถูกสั่งให้ค้นหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ใหม่ จนเป็นสาเหตุให้ตอนนั้นเธอไม่ทันจบการศึกษาในปีนั้น” ฟ้าอธิบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“แล้วเรื่องนั้นมันเป็นยังไงกันแน่ละฟ้า สรุปว่าใครลอกวิทยานิพนธ์ของใครกันแน่เหรอ” มลถาม
“มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะมล ในตอนแรกต่างคนก็ต่างนำหัวข้อไปเสนอ อาจารย์ก็บอกว่าหัวข้อของเราคล้ายกัน แต่ก็ยอมให้ทำเพราะคิดว่าเนื้อหาคงไม่เหมือนกัน”
“อืม เรื่องมันเป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย” มลพูด
“แล้วอาจารย์ก็เรียกเราสองคนเข้าไปคุยเรื่องวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน ตอนนั้นฉันเองก็ยังงงๆอยู่นะว่าอะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้”
สรุปแล้วว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจริงๆ แล้วหลังจากนั้นภาถูกสั่งให้เปลี่ยนหัวข้อเหรอ" มลถามต่อ
"ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันกับภาก็คุยกันนะว่าจะเอายังไง สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะทำใหม่ แล้วให้ฉันส่งวิทยานิพนธ์เล่มนั้น" ฟ้าตอบ
"น่าเสียดายจริงๆ ถ้าปีนั้นเธอจบได้พร้อมพวกเราก็คงไม่..." กานต์พูด
"เรื่องพวกนี้เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ตอนแรกฉันก็นึกว่าเป็นตัวภาเองที่ทำงานส่งไม่ทันถึงไม่จบ น่าเสียดายนะ ถ้าพวกเรารู้เรื่องนี้มาก่อนก็อาจจะช่วยเหลือเธอได้บ้าง เพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่เราเคยทำไม่ดีกับเธอไว้" ไก่พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไร้วี่แววที่จะมีใครขับรถเข้ามาจอดในร้านอาหารนี้ ความกังวลและความคลางแคลงใจมีมาเป็นระยะจากพวกเขา แต่เวลานี้คงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งรอ แม้จะอยู่กลางป่าเขาที่ดูวังเวง แต่ทุกคนบนโต๊ะคิดว่าอย่างน้อยในกลุ่มก็ยังมีตั้ง 5 คน คงจะพอช่วยเหลือกันได้บ้างหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันในคืนนี้
พนักงานหญิงเดินออกมาพร้อมถาดอาหาร บนถาดมีจานอาหาร 5 ใบวางบนนั้น ในจานมีสปาเก็ตตี้ราดซอสสีขาวส่งกลิ่นหอม เธอค่อยๆบรรจงวางจานบนโต๊ะอาหาร
"ทางเราคิดว่าลูกค้าคงจะหิวกันแล้ว จึงนำเมนูอาหารมาให้รองท้องกันก่อน แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ มื้อใหญ่จะเริ่มหลังจากนี้ ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับอาหารที่เราเตรียมไว้ให้นะคะ"
หญิงในชุดขาวพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งไว้แต่จานสปาเก็ตตี้ที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน รวมถึงกลิ่นหอมที่น่าจะบ่งบอกถึงรสชาติอาหารชั้นเลิศ แม้แต่ละคนจะยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในใจ แต่เมื่อท้องเริ่มหิวบวกกับอาหารที่เย้ายวนให้ลิ้มลอง แต่ละคนบนโต๊ะอาหารจึงลงมือกินอย่างไม่คิดสงสัยอะไร
"ว้าว ! ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่นี่จะอร่อยเทียบเท่ากับโรงแรมระดับ 5 ดาวเลยนะเนี่ย"
กานต์พูดในขณะที่เส้นสปาเก็ตตี้ยังอยู่ในปาก เขาคงถูกใจกับอาหารจนต้องเอ่ยปากชมทันทีที่รสชาติสัมผัสกับลิ้น
"ไม่น่าเชื่อว่าในป่าในเขาอย่างนี้จะมีอาหารชั้นดี ชักจะอยากเห็นหน้าพ่อครัวซะแล้วสิ" เจนพูด
"เอ๊ะ หรือว่าคนที่ยกอาหารออกมาจะเป็นคนทำอาหารนี้ บรรยากาศที่นี่เงียบมากและฉันก็ยังไม่เห็นได้ยินใครคุยอะไรกับใครเลย" มลตั้งข้อสังเกต
"ก็เป็นไปได้นะ เพราะตั้งแต่เรามาก็ยังไม่เห็นใครสักคนเลย ถ้ามีพ่อครัวอย่างน้อยก็ต้องเดินออกมาบ้าง" กานต์พูด
"อื้ม... จริงสิเนอะ เธอยกน้ำออกมาทีก็หายไปนานเลย สงสัยต้องไปเตรียมอาหารด้วย อย่าเพิ่งพูดมากเลย มากินกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวอาหารเย็นแล้วจะไม่อร่อย" ไก่พูด
ทั้ง 5 ต่างเพลิดเพลินกับมื้ออาหารมื้อนี้ จนความกังวลใจก่อนหน้านี้ของพวกเขาหายไปหมดสิ้นในเวลานี้

มื้ออาหารผ่านไป ทุกคนทำท่าทางอิ่มท้อง จากนั้นกานต์ลุกขึ้นยืนจากโต๊ะและบอกกับคนอื่นว่าจะออกไปสูบบุหรี่
กานต์เดินออกไปหน้าร้านและหยิบซองบุหรี่พร้อมไฟแช็ค เขาค่อยๆจุดประกายไฟจ่อเล็งไปที่ปลายมวนบุหรี่ที่กานต์คาบไว้ในปาก เมื่อไฟติดเขาสูดควันจากใบยาที่เผาใหม้เข้าไปเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาอย่างช้าๆ
ควันสีเทาจางล่องลอยขึ้นไปในอากาศ ควันบุหรี่ละลายหายไปเหลือไว้แต่แสงสะท้อนจากดวงดาวเป็นจุดๆ ในคืนเดือนมืดทีไร้แสงจากพระจันทร์มาบดบังเหล่ามวลหมู่ดาว ทำให้คืนนี้กานต์สังเกตเห็นดวงดาวได้อย่างชัดเจนนัก ลวดลายการเรียงตัวกันของแสงดาวบนท้องฟ้าวิจิตรสวยงามเหมือนภาพวาดเชิงนามธรรม รูปภาพที่มันจะสามารถเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่คนมองจะจินตนาการหรือรู้สึกถึงมัน ตอนนี้กานต์รู้สึกถึงความคลุมเครือและความหวาดระแวงเมื่อมองไปที่กลุ่มดาวเหล่านั้น
“กานต์” เสียงไก่ที่เดินตามมาจากในร้าน
“ว่าไงไก่” กานต์ตอบรับ เจ้าของเสียงแรกนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
“เราว่าเรื่องนี้มันแปลกๆแล้ว เราเริ่มจะไม่สนุกกับเรื่องนี้แล้วนะ มันแปลกมากเลยที่ใครจะจัดฉากให้พวกเรามาพบกันโดยบังเอิญขนาดนี้ และสถานที่ที่น่าหวาดระแวงแบบนี้ คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ก็ต้องรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราทั้ง 5 คน”
“นั่นน่ะสินะ ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบใดๆมาอธิบายเรื่องนี้ได้เลย นี่ถ้าภายังอยู่เราก็คิดว่าคงมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ แต่นี่เธอตายไปนานแล้ว”
“ถ้าภายังไม่ตาย จะเป็นไปได้มั้ยว่าเธออยากจะแก้แค้นพวกเรา”
กานต์ยังไม่ตอบ เขายกบุหรี่ขึ้นสูบจนเต็มปอดอีกครั้งก่อนจะพ่นควันล่องลอยไปบนท้องฟ้า
“เราก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ แต่พวกเราผิดมากมายขนาดนั้นเลยเหรอที่เธอถึงจะตามมาแก้แค้น แม้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะผ่านมานานแล้ว”
“ไม่รู้สิกานต์ แม้ว่าพวกเราทั้ง 5 คนจะทำเรื่องที่ไม่ดีกับเธอ และมันไม่ได้หนักหนาอะไรมากมาย แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีหนึ่งในพวกเราคนใดคนหนึ่งที่เล่นกับเธอแรงมาก จนกลายเป็นความแค้นที่ฝังรากลึกในจิตใจ และยากจะที่ให้อภัย”
สิ้นเสียงไก่พูด กานต์หันหน้ามองที่เจ้าของเสียงและทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาสูบควันเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะทิ้งบุหรี่ที่เหลือลงกับพื้นพร้อมใช้เท้าเหยียบดับไฟ
“เราไม่รู้”

ในห้องอาหารที่มีมล เจนและฟ้านั่งอยู่
“นี่พวกเธอ เราว่านะที่นี่มันเริ่มมีกลิ่นแปลกๆแล้ว” มลพูด
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ฟ้าถาม
“เหตุการณ์ในวันนี้มันบังเอิญอย่างเหลือเชื่อมาก คิดดูสิเราทั้ง 5 คนมาพบกันโดยบังเอิญ ฉันคิดว่าคงต้องมีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ และใครกันล่ะที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราทั้ง 5 คน”
“ถ้าภายังอยู่ ฉันคิดว่าต้องเป็นเธออย่างแน่นอนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เจนพูด
“นั่นน่ะสิเจนเราก็คิดแบบนั้น แต่นี่เธอตายไปเป็นสิบปีแล้ว” มลคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้
“แล้วถ้าเธอยังอยู่ เธอจะทำเรื่องแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะมล” ฟ้าพูด
“หรือว่าบางทีเธออาจจะมาแก้แค้นพวกเราที่เราเคยทำไม่ดีไว้กับเธอ” มลสงสัย
“สิ่งที่เราทำไว้กับเธอมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” ฟ้าพูด
“ฉันก็ไม่รู้”
ทั้ง 3 นิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรต่อจนกระทั่งเจนพูดขึ้นมา
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะร้ายแรงพอหรือเปล่า ถ้าหากภายังอยู่เธออาจจะแค้นเรื่องนี้ก็ได้”
มลและฟ้าต่างหันมามองที่เจนโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร
“ในตอนปี 3 มีเพื่อนของเราในห้องคนหนึ่งบอกว่ามีคนแอบชอบภาอยู่ และเขายังขอฉันเป็นคนแนะนำให้ด้วยนะ”
“คนที่แอบชอบภาใช่คนในห้องเราหรือเปล่า มลเธอรู้มั้ยว่าเป็นใคร” ฟ้าถาม
“ไม่ใช่หรอกฟ้า เป็นคนที่อยู่กันคนละคณะน่ะ”
“แล้วเธอติดต่อให้ภามั้ย”
“ฉันก็เอาเรื่องนี้ไปบอกให้ภานะ หนุ่มคนนั้นกับภาก็ได้รู้จักกัน แต่ว่า !
“แต่อะไรเหรอเจน” มลพูด
“คือภากับหนุ่มต่างคณะคบกันได้ไม่นาน แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าหนุ่มคนนั้นได้หลอกให้ภาไปโดนรุมโทรมมาด้วย”
“หา ! จริงเหรอ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง” มลตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ก็ไอ้หนุ่มพวกนั้นน่ะสิ มันมอมยาภาก่อนที่จะทำเรื่องแบบนั้น”
“ทำไมตอนนั้นภาไม่ไปแจ้งความล่ะ นี่มันเรื่องร้ายแรงเลยนะ” ฟ้าพูด
“เธอคงอายกว่าที่จะทำเรื่องแบบนั้น” เจนตอบ

กานต์นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาได้แต่ยืนจ้องมองท้องฟ้า กานต์จุดบุหรี่ขึ้นสูบและพ่นควันขาวขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง
“แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจทำให้เธอแค้นฝังใจไม่มีวันลืม หากภายังไม่ตาย” กานต์พูดเสียงค่อยกับตัวเอง แต่ดังพอจะเข้าหูคนข้างๆที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“เรื่องอะไร ?” ไก่ถามขึ้นมา ทำให้กานต์รู้สึกตัวว่ามีคนได้ยินสิ่งที่เขาพูด
กานต์ยังคงนิ่งไปสักพักหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องออกไปดีหรือไม่ แม้ไก่จะเป็นเพื่อนที่สนิทและเป็นคนที่เก็บความลับได้ดียิ่งนัก แต่กานต์คงจะอายที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลย มันเป็นเรื่องระหว่างเรากับภา 2 คน”
“ถ้านายเล่าแล้วรู้สึกสบายใจก็เล่ามาเลย เราไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครแน่”
กานต์ยังคงอ้ำอึ้งอยู่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะให้ใครก็ได้มารับรู้เรื่องนี้ด้วย และไก่ก็เป็นคนๆนั้นที่กานต์ไว้ใจ
“คือช่วงปีสุดท้ายเรากับภาแอบคบกันแบบลับๆ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย แล้วมันร้ายแรงยังไง แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง” ไก่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ความจริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก มีอยู่วันหนึ่งเราเจอกับภานอกมหาลัย เราได้คุยกันและติดต่อกันอยู่พักหนึ่งและเริ่มคบกัน”
“จริงสิ ความจริงแล้วภาเป็นคนที่หน้าตาสะสวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีหนุ่มๆหลายคนหมายปองเธอ แต่ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าคนที่พิชิตใจเธอได้จะเป็นนาย แล้วต่อจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”
“เราสองคนเข้ากันได้ดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนปรากฏว่าเธอท้อง”
“ท้อง !” เสียงไก่อุทานด้วยความตกใจ
“แล้วนายทำยังไงต่อ”
“เราสองคนมีปากเสียงกัน เราพยายามบังคับให้ภาทำแท้งแต่เธอไม่ยอม”
“แล้วสุดท้ายเป็นยังไง”
“ตอนแรกภายืนยันที่จะเก็บเด็กไว้ ไม่ยอมเอาออกแม้เราจะไม่เห็นด้วย เธอบอกว่าจะเลี้ยงเด็กเองโดยที่ไม่ต้องมีพ่อเด็กก็ได้ เราก็ทำเป็นเออออตามใจภา แต่เราก็ยังแอบวางแผนให้เธอไปทำแท้งอยู่ดี”
“ทำยังไง”
“เรารู้จักคลินิกทำแท้งเถื่อนอยู่ที่หนึ่ง เราแกล้งบอกภาว่าจะพาเธอไปตรวจที่คลินิกแห่งนั้น แต่พอไปจริงหมอก็วางยาสลบเธอและเอาเด็กออกตอนที่เธอไม่รู้สึกตัว”
“นายบอกให้หมอทำแบบนั้นเหรอ”
กานต์ไม่ตอบด้วยคำพูด แต่เขาพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
“และนี่ใช่มั้ยที่เป็นสาเหตุให้ภาฆ่าตัวตายเพราะเธอตรอมใจ”
“เราว่าใช่” กานต์ตอบ
“เอาล่ะ ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านพ้นไปนานแล้ว เราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เราเข้าไปนั่งข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นรอ”
ไก่เดินนำเข้าไปในร้านอาหารโดยที่พยายามไม่แสดงท่าทีอะไรมากนัก สักพักกานต์เดินตาม

“เอาล่ะ ตอนนี้เราคิดว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ปกติแล้ว เราคิดว่าเราจะไม่รอให้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น เราควรขับรถออกไปและไปแจ้งความที่สถานีตำรวจดีกว่า”
ไก่พูดแสดงการตัดสินใจที่แน่วแน่ คนอื่นๆทำท่าทีเห็นด้วย ไม่มีใครคัดค้านอะไร และเมื่อทุกคนกำลังจะเตรียมตัวลุกจากโต๊ะ หนักงานหญิงเดินถือโทรศัพท์มาจากหลังร้าน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ทุกท่านยังไม่ต้องรีบลุกไปไหน พวกเขากำลังจะมากันภายใน 10 นาทีนี้แล้วค่ะ คุณกานต์มีสายจากทางแขกของคุณโทรมาค่ะ”
พนักงานหญิงยื่นโทรศัพท์ให้กับกานต์
“เอ่อ ขอโทษครับคุณกานต์ พวกเรากำลังจะไปถึงที่นั่นแล้ว พวกคุณอย่าเพิ่งลุกไปไหนนะครับ บอกคนอื่นด้วยว่าแขกของเพื่อนๆคุณก็กำลังจะไปเช่นกัน” กานต์จำเสียงได้ว่าเป็นสุพจน์ลูกค้าของเขา
กานต์ไม่ได้ตอบรับอะไรลงไปในโทรศัพท์ เขาวางสายไปทันที สีหน้าครุ่นคิดและกังวลของกานต์ยังแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่า เขาไม่วางใจกับเรื่องนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นภายในคืนนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่ทว่าในตอนนี้ดูท่าทีของเพื่อนคนอื่นๆจะคลายความกังวลใจไปได้เยอะ เมื่อมีการยืนยันมาจากผู้ที่กำลังจะมาถึง
หญิงในชุดขาวเดินเข้าไปหยิบขวดเหล้าจากบาร์และชุดแก้วจำนวน 5 ชุดมาด้วย  
“ตอนนี้อากาศข้างนอกเริ่มเย็นแล้ว เราเตรียมเครื่องดื่มแก้หนาวไว้ให้แล้วค่ะ”
พนักงานทิ้งไว้แต่ขวดเหล้าชั้นดีวางไว้บนโต๊ะและเดินจากไป คำพูดของเธอช่วยคลายความกังวลของผู้ที่นั่งในโต๊ะได้ดีนัก จนกระทั่งหนึ่งในนั้นทำท่าทางวางใจและหยิบขวดเหล้าขึ้นมาเตรียมเปิด
“มาๆทุกคน เราก็ไม่รู้นะว่าเรื่องบ้าๆนี่ใครจะอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้เรามีเหล้าชั้นดีในร้านอาหารชั้นเลิศ และพวกเราอยู่กับครบทีม  จะปล่อยให้ช่วงเวลาพิเศษๆนี้ผ่านไปได้อย่างไรล่ะ”
พูดจบไก่ก็บิดฝาเกลียวที่ขวดเหล้าออก เขาค่อยๆรินเครื่องดื่มที่ส่งกลิ่นหอมจางๆลงในแก้วจนครบ 5 แก้ว จากนั้นกานต์ขยับแก้วแต่ละใบไปไว้ตรงหน้าของเพื่อน
“หวังว่าหลังจากที่เราดื่มเหล้าแก้วนี้หมด ทุกอย่างที่อยู่ในใจเราจะคลี่คลาย” ไก่พูดเสร็จก็ยกแก้วขึ้นมาจนระดับอยู่ตรงหน้า เป็นสัญญาณให้ทุกคนทำตาม และเมื่อไก่เทเหล้าในแก้วเข้าปาก คนอื่นๆก็ทำอย่างเดียวกันกับที่ไก่ทำ
สายตาที่เปลี่ยนไปของกานต์หลังจากดื่มเหล้าแก้วนั้น รูม่านตาที่ดูหดตัวลงแสดงถึงความผ่อนคลายจากกล้ามเนื้อหลายๆส่วน และทุกคนที่ดื่มเหล้าแก้วนั้นไปก็มีลักษณะเช่นเดียวกับกานต์ เหมือนโลกของทุกๆคนเปลี่ยนไปเป็นโลกอีกหนึ่งใบที่ไร้ความลังเล หรือความกังวลใดๆ
"นี่มันเหล้าอะไรกันนี่ ทำไมมันช่างวิเศษอย่างนี้”
คำพูดของไก่แสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกพึงพอใจมากกับเหล้าแก้วนี้
“พวกเราอย่าเพิ่งไปเลยนะ พ่อแม่ของฉันกำลังจะมากันแล้ว”
เสียงฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากก่อนหน้านี้ เธอยิ้มค้างที่มุมปากอย่างสบายคลายความกังวล แม้แต่กับกานต์ที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วินาทีที่เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังแสดงท่าทางที่ไร้ความกังวลใดๆออกมาอีก
“เอ้าไก่ รินมาอีก”
เสียงจากอดีตนักดื่มตัวยงบอกให้เพื่อนเติมเหล้าในแก้วของกานต์ที่ตอนนี้ว่างเปล่า
กานต์ดื่มไปอีกหลายแก้ว ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่ต่างทยอยกันดื่มจนพวกเขาเริ่มเมามาย
“นี่พวกเรา ไหนๆพวกเราก็มาอยู่กันที่นี่แล้ว เรามาคุยเรื่องสนุกๆกันดีกว่า”
มลชักชวนเพื่อนๆหาอะไรทำแก้เบื่อ
“เรื่องสนุกๆที่พวกเรามีส่วนร่วมก็คงเป็นเรื่องสมัยเรียนของเรา” เจนเสนอความคิดเห็น
“ใช่ๆ ถ้าพูดถึงเรื่องสนุกๆแล้วก็คงจะไม่พูดถึงเรื่องสมัยในห้องเรียนของพวกเราไม่ได้ เนอะ” มลสมทบ
เสียงหัวเราะจากทั้ง 5 แสดงถึงความคลายกังวลและสนุกสนาน น่าแปลกที่ว่าเหล้าเพียงแค่ขวดเดียวกับคนถึง 5 คน จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
“ในกลุ่มพวกเรานี่ต้องนับว่าไก่เป็นคนที่หัวดีที่สุดเลยนะในเรื่องการเรียน ถ้าไม่มีไก่พวกเราก็อาจจะไม่จบตามกำหนดได้” เจนพูด
“ไม่ขนาดนั้นหรอกเพื่อน เราไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในห้องซะหน่อย” ไก่ตอบด้วยอาการที่เมา
“แล้วใครกันล่ะที่เก่งที่สุดในห้อง”
“ภา” ไก่ตอบ ทุกคนนิ่งเงียบ แต่สักพักก็ยิ้มหัวเราะร่า
ไก่นิ่งไปชั่วครู่ สักพักเขาก็พูดอะไรบางอย่างออกมาจากใจ
“นี่เราจะบอกอะไรให้นะ เรื่องที่ภาเธอเอาเรื่องโพยไปฟ้องอาจารย์น่ะ ความจริงแล้วเธอไม่ได้ฟ้องหรอก” ไก่พูด
“อ้าว แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” ใครคนหนึ่งถาม
“ตอนที่เราโดนจับได้น่ะ คือเราดันหยิบโพยออกมาดูแล้วอาจารย์โผล่มาข้างหลังพอดี อาจารย์เห็นก็เลยโดนจับได้ต่างหากล่ะ”
“เหรอ แล้วทำไมถึงต้องไปโทษให้ภาล่ะ”
“ก็เราอายไง เลยต้องหาเรื่องกับภาเพื่อล้างอายและหาแพะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนแรกเราจะแฉเรื่องภาให้พวกเราได้รู้เหมือนกัน และให้พวกนายช่วยไปรุมหาเรื่องกับเธอ แต่คิดไปคิดมาก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้”
เมื่อทุกคนได้ยินเรื่องนี้จบ พวกเขากับหัวเราะชอบใจกันเหมือนเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องตลก
“น่าสงสารภาจัง ไก่ นายทำไปเพื่ออะไรล่ะ” มลยังถามด้วยน้ำเสียงที่เจือปนด้วยเสียงหัวเราะ
“เธอว่าห้องเราขาดอะไรไปอย่างนึงรู้มั้ย ทุกห้องเรียนที่เราเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กจะต้องมีตัวเชื้อโรคหนึ่งตัวเสมอ คนที่เป็นตัวเชื้อโรคนั้นจะถูกรังเกียจจากคนในห้อง จะไม่มีใครอยากไปอยู่ใกล้ และภาเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่เราจะเพาะเชื้อโรคลงไปในตัวเธอ”
“แล้วนายทำสำเร็จมั้ย” มลถาม
“ไม่สำเร็จ ไม่มีใครในห้องเกลียดภาเลย แต่ว่ามล เธอเป็นจุดเริ่มต้นการบ่มเพาะเชื้อร้ายให้ภา”
“อ้าว ทำไมว่าอย่างนั้นล่ะ” มลถาม
“ก็ครั้งที่มีความเข้าใจผิดเรื่องที่ภาจ่ายค่ากิจกรรมหรือยัง เธอเป็นคนที่ไม่ยอมออกมาบอกความจริงกับคนอื่นๆ ทำให้ภาถูกเข้าใจผิดและมีปากเสียงกับคนในห้อง”
มลระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากไก่พูดจบ
“เดี๋ยวๆๆ ไก่นายเข้าใจผิดแล้ว ใช่ ! นายเข้าใจถูกเรื่องที่ฉันไปเพาะบ่มเชื้อโรคให้ภา แต่ว่าเรื่องที่ฉันบอกว่าฉันพลาดที่จะออกมาแก้ตัวให้ภานั้นเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วฉันไปบอกกับคนเก็บเงินเองแหละ ว่าคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินก็คือภา และยุให้เพื่อนๆในห้องเถียงกับเธอในเรื่องเงิน”
“จริงเหรอมล เธอร้ายมากเลยนะ” ไก่พูดพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น รวมทั้งมลและคนอื่นๆ แต่กานต์เหมือนจะทำเป็นไม่รับรู้
“ความจริงแล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบหน้ายายนั่นเหมือนๆกับนายยังไงล่ะไก่ ภามันชอบทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา เรียนเก่งแต่ไม่ยอมช่วยเหลือคนอื่นๆ คนแบบนี้ต้องโดนซะบ้าง” มลพูด
“น่าสงสารเธอจริงนะ แต่ก็อย่างว่าแหละ ในห้องแม้จะไม่ค่อยมีใครชอบหน้าเธอ แต่เธอก็ถือว่าเป็นคนที่มีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอมานะ พอเรามองย้อนกลับไปก็รู้สึกผิดเหมือนกัน” ไก่พูด
“เธอพูดก็จริงนะ  เธอช่างมีน้ำใจมากจริงๆ ความจริงแล้วตอนที่ฉันไปเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ที่ปรึกษา ฉันยังเตรียมหัวข้อไม่ทัน เลยไปปรึกษากับภา เธอยังอุตส่าห์ช่วยฉันคิดหัวข้อโดยดัดแปลงหัวข้อมาจากหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอเอง และตอนที่เริ่มทำวิทยานิพนธ์ ฉันก็ยังไปขอดูผลงานที่เธอทำเสร็จแล้ว จากนั้นฉันก็ลอกวิทยานิพนธ์ของเธอทั้งเล่มไปส่งอาจารย์ก่อนเลย” ฟ้าพูด
“อ้าว จริงเหรอ แล้วภาเขาไม่ทักท้วงอะไรเหรอ” ไก่ถาม
“ภาคงไม่กล้าน่ะ ฉันขโมยผลงานเธอมาดื้อๆเลย และหลังจากนั้นฉันก็ไม่คุยกับเธออีกเลย”
“ร้ายมากนะ นึกว่ามีแค่เรากับมลที่เคยทำร้ายภา”
ไก่พูดสำนึกผิด แต่น้ำเสียงก็ยังแสดงความชื่นชอบกับการกระทำเหล่านั้น หรืออาจจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าแก้วนั้นที่ทำให้ระดับจริยธรรมของคนกลุ่มนี้ลดลงไป ไก่หัวเราะชอบใจ
ทุกคนในห้องนี้ต่างส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดีกับเรื่องเล่า และอาจจะเพราะเคลิบเคลิ้มกับน้ำที่ดื่มไป คงมีเพียงแต่กานต์เท่านั้นที่ไม่สนุกกับเรื่องที่เขาได้ยินมาจากเพื่อนๆ สักพักกานต์ขอตัวเพื่อนๆเดินออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก
ดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะไม่สามารถหยุดความคิดได้อีกต่อไปแล้ว เจนพูดขึ้นมาบ้างด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
“จะพูดถึงความมีน้ำใจของภานี่ต้องยกนิ้วให้เลยนะ เธออุตส่าห์ยอมไปช่วยบำบัดความใคร่ให้กับหนุ่มๆต่างคณะเกือบยกห้องเลย” เจนพูด ทั้งมลและฟ้าหัวเราะร่า
“เดี๋ยวๆ พวกเธอพูดถึงเรื่องอะไรกัน เราพลาดอะไรไป”
มลและฟ้าพยายามอธิบายสิ่งที่เจนเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ให้ไก่ฟัง ไก่ได้ยินก็หัวเราะร่าเช่นเดียวกัน
“เธอช่างมีน้ำใจจริงๆนะ ไม่รู้ว่าภาเต็มใจด้วยหรือเปล่านี่สิ” ไก่ถาม
“ไม่หรอก ฉันเป็นคนใส่ยาให้เธอกินก่อนที่จะไปเจอพวกหนุ่มๆนั่นน่ะ” เจนพูด
“หา ! หมายถึงว่าเจนเธอตั้งใจจะให้ภาโดนรุมโทรมจากหนุ่มต่างคณะจริงๆใช่มั้ย” ไก่ถาม
“ใช่แล้ว ฉันได้ค่าตอบแทนมาเป็นเงินจำนวนเยอะเลยนะ” เจนตอบ ทั้ง 4 คนหัวเราะชอบใจ
ทันใดนั้นหญิงในชุดขาวโผล่มาอีกครั้งพร้อมเหล้าขวดใหม่ ที่ต่างยี่ห้อกันกับขวดแรก
“ขออนุญาตเก็บแก้วเก่าก่อนนะคะ เพราะเหล้าคนละกลิ่นกันอาจจะทำให้เสียรสชาติได้”
หญิงสาวพูดเสร็จก็ทยอยเก็บแก้วเหล้าที่ใช้แล้วลงใส่ถาด และวางแก้วเหล้าชุดใหม่ลงบนโต๊ะ พร้อมวางขวดเหล้าขวดใหม่ไว้ข้างๆกับชุดแก้ว จากนั้นเธอก็เดินจากไป
ไก่รินเหล้าลงแก้วทั้ง 5 ทั้ง 4 คนดื่มเหล้าแก้วนั้นทันที
“ฉันคงจะเมามากแล้ว ตาจะปิดแล้วเนี่ย” มลพูดและทำท่าทางจะหลับ
สักพักทั้งเจนและฟ้าก็ทำท่าคล้ายๆกัน จากนั้นทั้ง 3 ก็ฟุบลงไปกับโต๊ะ
ไก่รินเหล้าใส่ในแก้วแล้วดื่มต่อ เขาก็มีท่าทางเหมือนตาจะปิดด้วย แต่ก็ยังฝืนดื่มต่อไป
กานต์เดินเข้ามาหลังจากสูบบุหรี่หมดมวน เขาเข้ามานั่งที่โต๊ะและดื่มเหล้าในแก้วของเขาลงคอ
“นี่ไก่ เรายังเล่าเรื่องนั้นยังไม่จบเลยว่ะ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันเราถึงอยากจะพูดเรื่องนี้ออกมา” กานต์พูด
“เรื่องอะไร”
“ความจริงแล้วเราไม่ได้อยากให้ภาเอาเด็กออกเลยนะตอนนั้น คือว่าเราเอาเรื่องนี้ไปคุยกับที่บ้าน พ่อกับแม่ของเราพยายามบังคับให้เราพาเธอไปทำแท้ง”
“นายพร้อมจะเลี้ยงเด็กเหรอตอนนั้น”
“ไม่ว่าจะยังไงเราก็รักทั้งภาและลูกของเรา การมีลูกในตอนนั้นคงไม่ทำให้ชีวิตเราเดินต่อไปไม่ได้หรอกมั้ง”
“ทำไมนายไม่พูดเรื่องนี้กับพ่อและแม่ล่ะ”
“ท่านอยากให้เราเรียนต่อถึงปริญญาเอกที่เมืองนอกเลย พวกเขาจัดการเรื่องนี้ไว้หมดแล้ว และยังบอกอีกว่าถ้าเราไม่จัดการเรื่องนี้เอง พวกเขาจะให้ลูกน้องมาจัดการกับภา เรากลัวว่าหากให้ลูกน้องของพ่อมาจัดการ กลัวจะทำให้เธอเจ็บมากกว่านี่ แต่เราคิดผิดจริงๆที่ทำเรื่องแบบนั้น”
“ทำไมนายคิดว่านายคิดผิด”
“ภาอาจจะเข้าใจผิดว่าเราไม่อยากเก็บเด็กไว้ และทำให้เธอเสียใจมากยิ่งขึ้นจนถึงกับต้องฆ่าตัวตาย หากเราเข้มแข็งมากกว่านี้ในตอนนั้น เธอก็อาจจะยังไม่ตาย และเราก็อาจจะได้แต่งงานกับเธอภายหลัง”
กานต์พูด เขาหันหน้าออกไปนอกกระจก หันไปจ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมวลหมู่ดาราแข่งกันส่องแสง
“เราหวังมาตลอดเลยว่าอยากเจอเธออีกสักครั้งในชีวิตนี้ ตอนที่เราเห็นหน้าพนักงานคนนั้นเรายังตกใจคิดว่าเป็นเธอเลย เราอยากจะชดใช้ความผิดในครั้งนั้นไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม”
กานต์พูดเสร็จก็หันหน้ามามองที่ไก่ แต่ปรากฏว่าไก่ฟุบลงไปที่โต๊ะแล้ว ไม่ต่างจากอีก 3 คน กานต์หัวเราะชอบใจเล็กน้อย

ณ เวลานี้เป็นเวลาที่เงียบสงบไร้การรบกวนใดๆ กานต์นั่งทบทวนกับความคิดในจิตใจของเขาเอง ความเศร้าที่เกาะกินจิตใจเขามานานหลายปี กาลเวลาช่วยบรรเทาสิ่งเหล่านั้นลงไปได้บ้าง แต่กับบทสนทนาในวันนี้ทำให้เขาอยากจะจบเรื่องที่ให้ได้สักที แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ในเวลานั้น พนักงานสาวเดินออกมาจากหลังร้าน เธอเดินมาโดยไม่ให้กานต์รู้ตัว เมื่อเธอมายืนที่โต๊ะ เธอหยิบขวดเหล้ารินให้กานต์ กานต์รู้สึกตัวและหยิบแก้วเหล้าดื่มลงคอ จากนั้นเขาหันมามองหน้าเธอด้วยสายตาที่เริ่มจะเลือนราง
“ภา นั่นภาใช่มั้ย กานต์คิดถึงภา” สิ้นเสียงนั้นกานต์ฟุบหลับลงไปบนโต๊ะทันที

            กานต์ค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง อาการมึนหัวเข้ามารบกวนจิตใจของเขา แต่เมื่อกานต์พยายามจะขยับตัว ปรากฏว่าตัวของเขาถูกพันธนาการไปด้วยเชือกมัดติดกับเก้าอี้ที่เขานั่งอย่างแน่นหนา กานต์แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามมองไปรอบโต๊ะ ต่างเห็นเพื่อนๆที่นอนแน่นิ่งไปกับพื้นโต๊ะแต่ไม่ถูกมัดเช่นเดียวกับเขา
            และทันใดนั้นหญิงสาวก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของกานต์ แต่ครั้งนี้ใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอจากการที่ลบรอยเครื่องสำอางออกจากใบหน้าจนหมดสิ้น และเอาผ้าโพกหัวออก เธอแสดงใบหน้าที่แท้จริงออกมาให้กานต์เห็น
            “เป็นไปไม่ได้ ภาตายไปแล้ว !” กานต์อุทานออกมา
            “ฉันไม่ใช่ภา แต่เป็นพี่สาวฝาแฝดของภา”
            เมื่อได้ยินเช่นนั้นกานต์เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าภามีพี่น้องฝาแฝด”
“ฉันไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันกลับมาประเทศไทยหลังจากที่ภาตายไป 3 ปี”
แววตาที่ดูเศร้านั้นจางหายไปแล้วจากบนใบหน้าของหญิงสาว เธอในตอนนี้ไม่มีแววตาโกรธแค้นใดๆให้กานต์เห็น แต่สำหรับกานต์เองก็ยังคงคิดว่าความแค้นนั้นยังยัดแน่นอยู่เต็มอกเธอ
“พวกเราคงจะโดนยาสลบในแก้วเหล้ากันใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันแอบผสมยาบางลงไปในแก้ว พอพวกเธอกินก็เลยยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ฉันก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน ในแก้วชุดแรกที่ผสมยาสลบลงไปนั้นคงจะใส่ยาน้อยลงไปหน่อย ทำให้มันกลายเป็นยาพูดความจริง”
“ยาพูดความจริง !? มันคืออะไร”
Sodium thiopental น่ะ มันคือยากล่อมประสาทที่จะใช้สำหรับคนที่กำลังจะผ่าตัด หากใช้ในปริมาณไม่มากก็จะทำให้ผู้รับยารู้สึกผ่อนคลายไร้ความกังวลใจใดๆ ทำให้ฉันได้รู้ความจริงจริงอะไรบางอย่าง” หญิงสาวอธิบาย
“ผ่อนคลาย มิน่าล่ะถึงทำให้แต่ละคนพูดอะไรออกมามากมาย แล้วทำไมพวกเขายังไม่ตื่น”
กานต์ถาม หญิงสาวยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“ความจริงวันนี้ฉันตั้งใจไว้แล้วล่ะว่าจะฆ่าคน ฉันต้องการให้วันนี้มีคนตายเพื่อทำให้ความแค้นของฉันมันจางหายลงไปบ้าง”
“อ่อ อย่างนั้นหรือ ผมคิดว่าคนที่ควรจะตายนั้นน่าจะเป็นผมมากที่สุด เอาเลยครับ จะฆ่าด้วยวิธีไหนดีล่ะ”
หญิงสาวยิ้มอีกครั้ง
“หากฉันใส่ยานั้นมากพอในแก้วเหล้าชุดแรก นายก็คงจะได้ตายสมใจอยากแล้ว แต่พอยาชุดแรกไม่สามารถทำให้พวกนายสลบได้ กลับเป็นพูดความจริงออกมา ฉันก็คิดว่านายไม่สมควรตาย”
“หา !! เธอได้ยินที่พวกเราคุยกัน”
“มีไมโครโฟนเล็กๆติดอยู่ที่ใต้โต๊ะ นายรู้ไหมว่าเวลาที่ฉันฟังพวกนายเล่าถึงน้องสาวฉัน ฉันแทบจะออกมาจากหลังร้านเพื่อเอาปืนมายิงหัวพวกเธอให้ตายจะได้จบๆกันไปเลย แต่ฉันก็ยังอดทนรอ ไม่ร้องไห้ไม่ทำหน้าโกรธแค้นใดๆ”
“แล้วทำไมผมถึงไม่สมควรตาย ผมเคยทำร้ายภา”
กานต์พูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
“ฉันได้รู้ความจริงจากปากของนายเองแล้วว่านายไม่ได้อยากจะทำร้ายภา และยังคิดที่จะปกป้องภาด้วย ฉันจึงเลิกล้มความคิดที่จะฆ่านาย”
กานต์สังเกตสีหน้าของหญิงสาว ที่คลายความเศร้าออกไปหมดแล้ว
“ไหนเธอบอกว่าวันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้มีใครตาย”
หญิงสาวระเบิดเสียงหัวเราะ คล้ายเธอจะปลดปล่อยความทุกข์ออกมาแล้วจนหมดสิ้น
“นายไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมไซยาไนด์มาเยอะ มีพอสำหรับคน 4 คน”
“ไซยาไนด์ หรือว่า !?” กานต์เห็นไปมองเพื่อนๆที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
หญิงสาวหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา
“ฤทธิ์ยากล่อมประสาททำให้พวกนั้นเผยธาตุแท้ออกมา การกระทำของคนพวกนี้มันน่าขยะแขยงยิ่งนัก น้องของฉันคงจะแค้นเพื่อนๆของนายมาก และคงจะแค้นนายมากเช่นกัน แต่เธอแค้นนายมากเพราะรักมาก ตอนนี้ฉันเข้าใจอะไรหมดแล้ว นายยังคงรักน้องสาวฉันอยู่ ฉันไม่มีทางฆ่าคนที่น้องฉันรักได้ลงคอหรอก”
"ถ้าจะฆ่าผมตั้งแต่แรก แล้วจะให้ทั้ง 4 คนนี้มาทำอะไรที่นี่" กานต์ถาม
"ตอนแรกฉันตั้งใจว่าอยากให้เพื่อนๆของนายได้รับรู้ว่าสิ่งที่นายทำนั้นมันน่าโกรธแค้นแค่ไหน อยากให้พวกเขามาเป็นพยานในการตายของนายแค่นั้นเอง แต่นึกไม่ถึงว่า..."
สีหน้าของกานต์ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆของเขา ไม่นานหญิงสาวใช้มีดมาตัดเชือกของกานต์ให้เขาพ้นจากเครื่องพันธนาการ
กานต์ลุกขึ้นและสะบัดข้อมือที่เมื่อยล้าจากการถูกรัด เขามองไปยังเพื่อนๆที่ไร้ลมหายใจ
“แล้วแขกคนอื่นของพวกเขาล่ะ” กานต์พูด
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาถูกหลอกให้ไปรออยู่อีกที่หนึ่ง ทั้งหมดปลอดภัย เราบอกให้เขาปิดโทรศัพท์”
“แล้วคุณสุพจน์ลูกค้าของผม” กานต์ยังไม่คลายความสงสัย
“สุพจน์คือคนที่ฉันจ้างไว้”
กานต์เตรียมเดินออกจากร้านทันที เขากำลังจะเดินฝ่าความมืดมิดออกไป
“ผมจะแจ้งตำรวจ” กานต์พูด
“สถานีตำรวจอยู่ทางทิศเหนือไป 3 กิโล บอกพวกเขาว่าร้านเฟรนด์ชิพ”
หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้ม กานต์เดินออกมาทันที

เสียงสตาร์ทรถคำรามดังกระหึ่มจากเครื่องยนต์ V8 กว่า 6,800 ซีซี รถยนต์สุดหรูพุ่งออกตัวไปยังทิศเหนือ เขาตั้งใจว่าจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่ใจหนึ่งก็เฝ้าคิดถึงพี่สาวของภาว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ แววตาล่าสุดของเธอนั้นดูเหมือนจะพึงพอใจกับสิ่งที่เธอทำลงไป และหมดกำลังใจและพลังที่อยู่มีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้แล้ว
กานต์เหยียบเบรกเต็มแรงจนล้อไถลไปไกลเกือบเมตร เขาหักพวงมาลัยกลับรถอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเร่งเครื่องไปยังทิศทางเดิมที่เพิ่งจากมา
เขาจอดรถที่เดิมและวิ่งตรงไปที่ห้องอาหารทันที ในตอนนี้เปลวไฟเริ่มแผดเผาใหม้ในร้าน เขาเห็นแกลลอนน้ำมันในมือของหญิงสาวซึ่งมองผ่านทะลุบานกระจกเข้าไป กานต์รีบวิ่งเข้าไปในร้านทันทีเพื่อหวังจะช่วยเธอออกมาจากเปลวเพลิง แต่ทว่าเมื่อเขาวิ่งเข้ามาใกล้ประตูกระจก ทำให้มองเห็นว่าในมืออีกข้างหนึ่งของเธอถือเข็มฉีดยาไว้ และเธอยกเข็มขึ้นมาจ่อไว้ที่คอของเธอ
กานต์เห็นว่าไม่มีเวลาพอที่เขาจะเอื้อมมือไปเปิดบานกระจกแล้ว กานต์ตัดสินใจวิ่งกระแทกบานกระจกเข้าไปในร้าน หมายจะรั้งปลายเข็มฉีดยาไว้ไม่ให้ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อนิ่มๆนั้น
แต่ไม่ทันการณ์ มันไม่เป็นไปตามที่กานต์คิดไว้ กานต์ทำได้เพียงแค่เข้าไปประคองเธอไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้นเมื่อเธอหมดสติทันทีที่เข็มฉีดยาฝังเข้าไปในร่างของเธอ และของเหลวที่อยู่ในหลอดก็ถูกดันผ่านเข็มไปแล้วจนหมดสิ้น เลือดของเขาจากแผลที่ถูกคมกระจกบาดไหลนองเต็มพื้นห้อง เช่นเดียวกับน้ำตาของกานต์ที่ไหลลงมาจากตา เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า และใบหน้านั้นยังเหมือนกับคนรักของเขาที่กานต์เฝ้าคิดถึงมานับสิบปี
กานต์ค่อยๆวางร่างหญิงสาวลงกับพื้น เขาฟุบกอดร่างนั้นและร้องไห้ฟูมฟายกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

กานต์นอนหมอบแน่นิ่งบนพื้นห้องที่เปลวไฟเริ่มลุกโชน เหมือนใจเขาคิดที่จะจบเรื่องนี้ด้วยการ ให้ความร้อนของกองไฟที่อยู่ตรงหน้านี้ช่วยดับไฟที่เผาไหม้จิตใจของเขาให้สงบไปตลอดกาล

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรือยอร์ชพูดได้


"มูลนิธิสืบ โกศลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ประมูลเรือยอร์ชของท่านสืบไปในราคา 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่เราคาดหวังไว้กว่า 30 ล้าน หากท่านสืบยังอยู่และได้ทราบว่ามูลนิธิของท่านได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ประมูลมูลค่าสูงขนาดนี้ ท่านคงจะดีใจ"
พิธีกรสาวพูดกล่าวบนเวทีในห้องประชุมที่จุคนจำนวนนับพัน ห้องแห่งนี้กำลังแสดงความยินดีกับปองปรีดา เจ้าของเรือยอร์ชราคาแพงคนใหม่ ซึ่งเจ้าของคนเดิมคือสืบ เจ้าของมูลนิธิสืบ โกศล และยังเป็นเจ้าของธุรกิจภัตตาคารจีนหลายสาขาทั่วประเทศ เขายังครองแชมป์รายได้สูงสุดจากการขายอาหารจีนติดต่อกันนานเกือบ 10 ปีแล้ว ถ้าหากว่าสืบไม่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อหลายเดือนก่อน ปีนี้เขาคงจะครองแชมป์เรื่องรายได้ในธุรกิจที่เขาถนัดที่สุดเป็นสมัยที่ 11
"และเจ้าของเรือยอร์ชสุดหรูที่เคยเป็นตัวแทนของท่านสืบ ก็คือคุณปองปรีดา ทายาททางธุรกิจอันดับ 1 ของท่านสืบ ขอเชิญคุณปองปรีดาขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึกค่ะ"
พิธีกรสาวพูดเสร็จ ปองปรีดาก็ลุกจากโซฟาแถวหน้าสุดเดินขึ้นไปบนเวที เขาขึ้นไปยืนบนแท่นพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆห้องประชุม สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ปองปรีดา สายตาบางคู่แสดงความชื่นชมนับถือ แต่บางคู่ก็ยังแฝงไปด้วยความเคลือบแคลงใจในชายคนนี้ ปองปรีดาพูดผ่านไมโครโฟน
"หากจะพูดถึงความเสียใจที่คุณพ่อมาจากไป คนที่เสียใจที่สุดน่าจะเป็นจันทร์เพ็ญภรรยาของผม ซึ่งเธอก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณพ่อ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นความโศกเศร้าที่มากเกินกว่าผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว สำหรับตัวผมเองนั้นได้รู้จักกับท่านมานานนับ 10 ปี ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เพราะท่าน คุณพ่อให้โอกาสใหม่ๆในชีวิตแก่ผม และยังให้โอกาสในการดูแลลูกสาวของท่านแก่ผมด้วย ผมรู้ดีมาตลอดว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่ท่านรักที่สุด ผมจึงยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อประมูลเรือยอร์ชลำนี้มา เพื่อเป็นเครื่องลำลึกถึงท่าน เราสองคนจะคิดถึงท่านสืบ โกศลทุกครั้งที่ได้ล่องเรือลำนี้"
เสียงปรบมือดัง แสงไฟแฟลชจากช่างถ่ายภาพสว่างสลับกันนับไม่ถ้วน ปองปรีดาเดินลงมาจากเวทีทันทีเมื่อพูดจบ เหมือนกับเขาไม่อยากยืนเป็นเป้าสายตานานเกินไปนัก
ปองปรีดากลับไปนั่งที่โซฟาเดิมของเขา  ผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่ของปองปรีดาเป็นเชิงปลอบใจ ผู้ชายเหล่านั้นต่างเป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารใหญ่ที่มีความอาวุโสกว่าปองปรีดาทั้งนั้น ปองปรีดานั่งลงบนโซฟาโดยไม่พูดอะไร

"เป็นยังไงบ้างคะพี่ ที่งานการกุศล" จันทร์เพ็ญ ภรรยาของปองปรีดาพูดเมื่อปองปรีดากลับมาถึงบ้าน
"พี่สามารถประมูลเรือยอร์ชที่เป็นทรัพย์สมบัติในนามของมูลนิธิมาได้แล้ว"
"จริงหรือคะ เรือลำนั้นมีความทรงจำดีๆมากมายของคุณพ่อและน้อง โชคดีจริงๆที่มันได้กลับมาอยู่กับเราอีกครั้ง"
ปองปรีดาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อสามารถทำให้เธอยิ้ม
"สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความทรงจำ เราจะเก็บมันไว้เสมอในใจเรา"
"ไว้เรื่องทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เราสองคนไปออกเรือด้วยกันอีกนะคะ"
"ได้สิจ้ะ รอให้เรื่องคดีความเสร็จสิ้นก่อน ให้คนร้ายที่ฆ่าคุณพ่อเข้าตารางให้ได้ จากนั้นเราจะออกเดินทางไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้ง"
จันทร์เพ็ญโผเข้ากอดปองปรีดาไว้ สีหน้าเธอตอนนี้แม้จะแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ก็ยังพอจะมีรอยยิ้มแสดงออกบนใบหน้านี้
"ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างคะ"
"ตำรวจยังไม่สรุปสำนวนคดี ในเบื้องต้นตำรวจบอกว่าพี่อาจจะถูกจัดฉากให้เป็นฆาตกร แต่หลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้พี่ไม่เป็นผู้ต้องสงสัย คงจะมีคนใกล้ตัวที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"
จันทร์เพ็ญทำสีหน้าตกใจกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอถึงกับใจหายว่ามีคนใกล้ตัวของสืบลอบกัดพ่อของเธอ และเธอเองก็อาจจะเป็นรายต่อไป จันทร์เพ็ญถึงกับตัวสั่นจนปองปรีดาสังเกตได้
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่พี่ยังอยู่ ก็จะไม่มีใครมาสามารถทำอะไรน้องได้"
ปองปรีดาพูดพลางรัดโอบจันทร์เพ็ญ ท่าทางของเธอจะคลายความหวาดกลัวลงไป เมื่ออยู่ในอ้อมอกของชายคนที่เธอรัก

ในร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม 5 ดาว เหล่าบันดาหุ้นส่วนคนอื่นๆต่างมาชุมนุมกันโดยที่ไร้เงาของปองปรีดา ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ความสมัครสมานสามัคคีกลับมาอยู่ทางฝั่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นอีกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีความเห็นที่แตกแยกของกลุ่มคนเหล่านี้มีออกมาบ่อยครั้ง
เสี่ยบุญยง ผู้ถือหุ้นของสืบ โกศลกรุ๊ป ที่มีมูลค่าหุ้นรองจากปองปรีดาเพียงคนเดียวเท่านั้นหลังจากที่ปองปรีดาได้รับมรดกจากสืบ เขาเริ่มต้นคำพูดในค่ำคืนนี้
"อย่างที่ทุกท่านทราบ ตอนนี้ลมมันเปลี่ยนทิศไปแล้ว ความไม่แน่นอนได้ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พวกเรา หากพวกเราไม่เกาะกลุ่มกันดีๆไว้ มีโอกาสที่นายปองปรีดาจะเขี่ยเราให้พ้นจากเส้นทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร"
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างส่งเสียงเห็นด้วยกับแนวคิดของเสี่ยบุญยง จากนั้นนริศที่ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการบริหารก็พูดขึ้นมา
"ใช่แล้วครับ เรื่องนั้นเรายังต้องคุยกันอีกยาว และถ้าหากตำรวจยังไม่สามารถตามหัวตัวคนร้ายได้โดยเร็ว สถานการณ์ที่คลุมเครือนี้ก็ยากที่จะคลี่คลาย"
ทุกคนบนโต๊ะทำท่าทีเห็นด้วยอีกครั้ง เสี่ยอำนาจที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น เขามีหุ้นส่วนในธุรกิจสำคัญๆหลายตัวในตลาด เขาพูด
"ว่าแต่พวกเราที่นั่งอยู่ในนี้ไม่มีใครรู้เห็นกับเรื่องนี้ใช่มั้ย ?"
น้ำเสียงที่ดุดันของอำนาจทำให้ทุกคนต่างผวาเล็กน้อยกับเสียง จนกระทั้งเสี่ยบุญตาต้องรีบพูด
"จะมีใครได้ประโยชน์จากการตายของสืบ สืบตายพวกเราก็ไม่ได้อะไรเลย ผู้ถือหุ้นก็ต่างมีจำนวนหุ้นเท่าเดิม ยกเว้นก็แต่..."
เสี่ยบุญยงไม่พูดชื่อคนออกมา แต่คนอื่นๆก็รู้ว่าเสี่ยบุญยงพูดถึงใคร
"นั่นน่ะสิ แรงจูงใจมันชัดเจนขนาดนี้ ตำรวจมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่" ใครบางคนพูดออกมา
"มันไม่มีหลักฐาน แม้ปองปรีดาจะเป็นคนพบศพคนแรก แต่ตำรวจก็ไม่พบอาวุธในการฆาตกรรม และยังมีพยานที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ลงมือฆ่าสืบ" เสี่ยบุญยงอธิบาย
"สมมุตถ้าไม่ใช่ปองปรีดาก็คงจะเป็นพวกของเสี่ยถัง เสี่ยถังเคยโดนสืบเล่นงานจนเกือบไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้" เสี่ยบุญยงพูด
"มีความเป็นไปได้ สืบเคยเล่นสกปรกกับเสี่ยถังไว้เยอะ เรื่องข่าวลือที่สืบปล่อยทำลายฝ่ายตรงข้าม เกือบทำให้เสี่ยถังต้องเข้าไปอยู่ในคุกได้" ใครอีกคนนึ่งพูด
"แต่ผมว่าเรื่องนี้มันอาจจะไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่ เรื่องความแค้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าถึงกับมายิงกันตายนี่มันคงจะเสี่ยงมากเกินไป ได้ไม่คุ้มเสีย" นริศเสนอความคิดเห็น
"น่าจะเป็นอย่างที่นริศว่า เสี่ยถังคงมีแรงจูงใจอยู่บ้างแต่เขาคงไม่ซี้ซั้วฆ่าคนระดับสืบเพื่อเรื่องแค่นี้" อำนาจเสริม
"ผมก็คิดอย่างนั้นครับ คนที่มีแรงจูงใจและมีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดสืบมากที่สุดก็คือปองปรีดา และผมเคยได้ยินข่าวเรื่องการไม่ลงรอยของสืบกับปองปรีดาในเรื่องการทำธุรกิจ" นริศพูด
"หรือว่าคนที่บุกฆ่าสืบบนเรือยอร์ชลำนั้นจะเป็นพวกโจรทั่วไปเพื่อชิงทรัพย์" อำนาจตั้งคำถาม
"เป็นไปไม่ได้ครับ ยามที่เฝ้าในอู่จอดเรือยืนยันว่าไม่มีใครเข้าออกรั้วนั้นในช่วงเวลาภายใน 1 ชั่วโมง ยกเว้นปองปรีดาคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ ตำรวจไม่พบอาวุธปืนที่ยิงสืบ ก็เลยไม่สามารถสรุปได้ว่าปองปรีดาเป็นคนยิง"
ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จนใครคนหนึ่งบนโต๊ะตะโกนขึ้นมา
"เอ้า คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ มากินอาหารกันดีกว่า"
ทุกคนบนโต๊ะต่างหันมาสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า

รถเก๋งคันหรูสีดำมันวาวเข้าจอดเทียบหน้าประตูสถานีตำรวจ เมื่อรถจอดสนิทคนขับรถรีบก้าวออกจากรถเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ปองปรีดานั่ง ปองปรีดาลงจากรถและเดินเข้าไปในอาคาร จากนั้นเขาถามถึงห้องของสารวัตรก่อนจะเดินตรงไปที่นั่น
"อ้าว คุณปองปรีดา มาตามเวลานัดเลยนะครับ" สารวัตรพูดทักทายกับผู้มาเยือน
"ผมไม่อยากทำให้ท่านสารวัตรเสียเวลากับผมนานครับ เลยต้องรักษาเวลา" ปองปรีดายิ้มทักทาย
"งั้นเชิญนั่งเลยครับ เราจะได้เข้าเรื่องกัน นี่คือสำนวนที่เราเคยซักถามกับคุณปองปรีดามาแล้ว แต่เราอยากจะเน้นถึงความชัดเจนเลยต้องขอเวลาคุณปองปรีดามาให้ปากคำ" สารวัตรหยุดพูด ก่อนจะพูดต่อ
"ในฐานะพยาน"
"ได้ครับ" ปองปรีดาตอบด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
"ในเช้าวันที่ 7 xx 25xx เวลา ตี 5 คุณปองปรีดาโทรเข้ามาแจ้งกับสถานีตำรวจว่าพบศพคุณสืบ บนเรือยอร์ชในห้องนอนใช่มั้ยครับ"
"ใช่ครับ"
"เมื่อตำรวจไปถึงเราพบศพคุณสืบในสภาพถูกยิงจากท้ายทอย มีเลือดนองเต็มพื้นและมีเศษเลือดกระจายติดที่ผนังฝั่งที่คุณสืบยืนหันหลังให้"
"ใช่ครับ ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี"
"หลังจากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวคุณปองปรีดาไว้ เพื่อตรวจสอบร่องรอยหลักฐานที่อยู่บนตัวคุณปองปรีดา"
"ใช่ครับ และผลการตรวจหาร่องรอย ก็ไม่พบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง ไม่มีกลิ่นดินปืนติดบนเสื้อผ้าของผมรวมถึงคราบเลือด และที่ส้นรองเท้าของผมไม่มีเลือดติดอยู่"
"กล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพบริเวณทางขึ้นเรือยืนยันว่าคุณไม่ได้เดินออกมาจากห้องเลย ตั้งแต่คุณโทรหาเราจนเมื่อตำรวจไปถึง"
"ใช่ครับ"
สารวัตรหยุดนิ่งไม่พูดอะไร แม้เขาจะพยายามปั้นสีหน้าให้ปกปิดร่องรอยแห่งความเครียดไว้ แต่ปองปรีดาก็ยังสังเกตได้ถึงความสับสนของสารวัตร
"เอาล่ะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจสรุปได้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนยิง คุณแค่เดินเข้าห้องไปและพบศพคุณสืบ ผมขอความเห็นคุณปองปรีดาหน่อยครับ ในฐานะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณสืบมากที่สุด คุณคิดว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆาตกรรมคุณสืบบ้าง"
ปองปรีดาหยุดคิด เขาแสดงสีหน้าใช้ความลังเลที่จะพูด
"เอ่อ ขอโทษครับคุณสารวัตร ผมไม่สามารถพูดอะไรได้"
"ไม่เป็นไรครับ เราไม่มีอะไรจะสอบถามแล้ว ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ"
ปองปรีดาลุกขึ้นยืนพร้อมลาสารวัตร ก่อนเขาจะเดินออกจากห้องไป ตำรวจนักสืบคนหนึ่งแอบชำเลืองปองปรีดา เมื่อมั่นใจว่าปองปรีดาเดินจากไปไกลแล้ว เขาจึงเดินตรงไปยังห้องของสารวัตร
"ผมไปสืบตามที่สารวัตรบอกแล้ว เราไม่เจอการกระทำใดๆนี่น่าสงสัยของปองปรีดาเลย รวมถึงความสัมพันธ์ของคนที่อยู่รอบตัวของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคดี"
"เหรอจ่า แล้วกล้องวงจรปิดที่เราได้จากที่เกิดเหตุบอกอะไรมั้ย"
"ในเวลานั้นปองปรีดาเดินขึ้นเรือด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพู กางเกงยีนและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ไม่มีอะไรที่ปองปรีดาถือขึ้นไปบนเรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะซ่อนปืนไว้ในตัว และตั้งแต่เขาเดินเข้าห้องไป เพียงแค่ผ่านไป 3 นาที เวลานั้นที่ สน. เราก็ได้รับแจ้งจากปองปรีดาว่าพบศพ"
"มีใครได้ยินเสียงปืนช่วงนั้นมั้ย"
"ระยะทางที่ระหว่างเรือกับป้อมยามห่างกันเกือบ 400 เมตร ถ้าเป็นปืนเก็บเสียงยามคงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน"
สารวัตรยิ่งทำหน้าเครียด เวลานี้เขาไม่ต้องแกล้งกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไปแล้ว ทำให้ตำรวจนักสืบมั่นใจว่าสารวัตรจริงจังกับคดีนี้มากเพียงใด
"รายงานผลชันสูตรศพของผู้ตายล่ะ"
"สภาพศพในเวลาที่เข้าเก็บศพยังอยู่ในสภาพอุ่น ไม่น่าจะตายเกิน 1 ชั่วโมง"
"จากกล้องวงจรปิดมีคนเข้าเดินขึ้นไปบนเรือมั้ยภายใน 1 ชั่วโมงนี้"
"ในกล้องไม่พบใครเดินผ่าน แต่ถ้าหากคนร้ายรู้มุมกล้องก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินขึ้นเรือโดยไม่ให้กล้องจับได้"
คำบอกเล่าของตำรวจนักสืบ ยิ่งทำให้สารวัตรถึงกับคิ้วชนกัน
"ต่อจากนี้สารวัตรจะทำยังไงต่อไปครับ"
"คงต้องไปข้อความเห็นจากเสี่ยถัง"

ในสถานบริการออกกำลังกายย่านใจกลางเมือง ผู้คนต่างประจำอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายของตัวเอง เสียงเหล็กกระทบกันจังหวะคล้ายเสียงกลอง สายพานลู่วิ่งดังสร้างความถี่เสียงคล้ายเครื่องดนตรี ในมุมยกน้ำหนักด้วยบาร์เบล เสี่ยถังกำลังยืนอยู่ใต้คานเหล็กที่วางอยู่บนโครงเหล็ก เขากำลังเตรียมทำท่าสควอทโดยมีเทรนเนอร์ตัวใหญ่ช่วยประครองที่ด้านหลัง เสี่ยถังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างแผ่วเบา เพื่อรวบรวมสมาธิในการแบกน้ำหนักกว่า 120 กิโลกรัม และจังหวะนี้ถึงจุดที่เขาพร้อมในการยืดต้นขาเพื่อดันลูกหลักขึ้น เสี่ยถังเปล่งเสียงดังลั่นเพื่อเรียกพลัง
"เอส.....!!"
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เสี่ยถังจะได้ออกแรงจากหลังและต้นขาเต็มที่ ลูกน้องคนสนิทตะโกนส่งเสียงขัดจังหวะ
"เสี่ยๆ ตำรวจมาหาเสี่ยที่ใต้ตึกนี้แล้วครับ"
เสี่ยถังเสียจังหวะทันที บาร์เบลที่ถูกยกออกจากแท่นแล้ว แต่เสี่ยถังไม่ได้ส่งแรงไปดันต่อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หลังถูกกดทับจากน้ำหนักมหาศาล โชคดีที่มีเทรนเนอร์ร่างยักษ์คอยช่วยประครองเหล็กไว้ ไม่อย่างนั้นเสี่ยถังอาจจะได้ไปนอนเป็นผักบนเตียง
"ไอ้บ้าเอ๊ย !! มึงมาเรียกอะไรตอนนี้วะ" เสี่ยถังตะโกนด่าลูกน้องดังลั่นพร้อมใช้ฝ่ามือตบไปที่กะโหลกของลูกน้องหนึ่งที
"ตำรวจมาอีกแล้วเหรอ แล้วมันมีเรื่องเร่งด่วนอะไรนี่ถึงต้องมาที่นี่วะ" เสี่ยถังพูดด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนไม่หาย เขาเดินออกไปด้วยท่าทางที่เจ็บส่วนหลังเล็กน้อย
ที่ใต้ตึก สารวัตรมายืนรออยู่แล้วพร้อมตำรวจนักสืบคนเดิม เสี่ยถังเดินลงมาด้วยชุดออกกำลังกายที่ชุ่มเหงื่อ
"สารวัตรมาหาผมมีอะไรเหรอครับ" เสี่ยถังพูด
"เราเข้าไปนั่งคุยในล็อบบี้ของฟิตเนสดีกว่า ผมมีอะไรอยากถามเสี่ยนิดหน่อย"
"เรื่องอะไรสารวัตร ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกน้องของผมไปไล่กระทืบพวกแผงลอยหน้าภัตตาคารของผม เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่สารวัตร" เสี่ยถังพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากนัก
"ใจเย็นๆก่อนเสี่ย ผมไม่ได้มาคุยเรื่องนั้น เอาเป็นว่าเราเข้าไปนั่งในห้องแอร์ให้ใจเย็นๆกันก่อนดีกว่า" สารวัตรพูดเสร็จก็เดินนำไปในห้องกระจก เขาเดินไปนั่งยังชุดโซฟาติดประตูทางออก
"ผมอยากมาคุยเรื่องคดีฆาตกรรมนักธุรกิจที่ชื่อสืบ" สารวัตรพูด
"ผมไม่รู้เรื่องนะสารวัตร"
"ผมไม่ได้จะมากล่าวหาเสี่ยซักหน่อย ผมแค่อยากจะมาขอความเห็นของเสี่ยว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆ่า เผื่อมันจะช่วยให้เราสืบสวนได้ง่ายขึ้น"
"จริงเหรอสารวัตร ถึงแม้ผมกับสืบจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน มีเรื่องบาดหมางกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้ต้องฆ่าแกงกัน ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางหรอกครับสารวัตร"
"เราเข้าใจๆ ความบาดหมางของพวกคุณไม่น่าจะรุนแรงพอให้ถึงกับต้องมายิงกัน เสี่ยถังคิดว่าใครอยากจะให้คุณสืบตายมากที่สุด" สารวัตรถามด้วยน้ำเสียงทีอ่อนนุ่ม
เสี่ยถังหยุดไปนิ่งไปชั่วครู่
"คนที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆหากคุณสืบตายก็ครือลูกเขยของเขาครับสารวัตร ถ้าเป็นปองปรีดาก็มีโอกาสมากมายเพราะใกล้ชิดและรู้กิจวัตรของสืบ แต่ไม่รู้ว่าเมียของปองปรีดาจะมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ การฆ่าพ่อของตัวเองนี้มันเรื่องใหญ่เลยนะ"
"เสี่ยก็คิดแบบนั้นเหรอ แต่ว่าปองปรีดามีหลักฐานรองรับความบริสุทธิ์ของเขาได้ ไม่มีช่องโหว่ใดๆที่เราจะเล่นงานเข้าได้เลย"
"อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้วคุณสารวัตร ถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมขึ้นไปซาวน่าต่อนะสารวัตร"
เสี่ยถังเดินเข้าลิฟต์ไป สารวัตรพร้อมตำรวจอีกหนึ่งนายยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานสารวัตรก็พูดอะไรบางอย่างออกมาออกมา
"นี่จ่า ถ้าเราจะคุยกับเมียของนายปองปรีดาโดยไม่ให้นายปองรู้ พอจะมีวิธีมั้ย"
"มีครับ เธอเป็นสมาชิกคลับโยคะใกล้ๆตึกบริษัทที่ทำงานของเธอ ถ้าเราไปดักรอเจอเธอที่นั่นอาจจะได้คุยกันส่วนตัวกับเธอได้"
"ดีมากจ่า จัดการตามนั้นเลย"

เวลาผ่านไปนานหลายเดือน คดีฆาตกรรมของนายสืบยังไม่มีวี่แววใดๆที่จะคลี่คลายไปได้ ชุดตำรวจที่ทำคดีนี้คิดว่ามันอาจจะถึงทางตันแล้ว
ในบ้านพักของนายปองปรีดา ใกล้ถึงกำหนดการที่สองสามีภรรยานัดหมายกันไว้ว่าจะนำเรือยอร์ชลำเก่าของสืบ ออกล่องทะเลจากอ่าวไทยไปถึงช่องแคบมะละกา นี่คือแผนที่ปองปรีดาเตรียมไว้
ที่อู่จอดเรือตำแหน่งเดิมที่เรือลำนี้จอดเทียบท่าอยู่นานหลายเดือน วันนี้จะเป็นวันแรกที่มันจะได้ออกทะเลอีกครั้งโดยผู้ควบคุมคนใหม่ หลังจากที่ปองปรีดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือลำนี้แล้ว เขาไปฝึกขับเรือมาจนมั่นใจว่าจะสามารถบังคับมันออกไปในเส้นทางที่ต้องการ และวันนี้ปองปรีดาขับรถยนต์ส่วนตัวมาพร้อมกับจันทร์เพ็ญ
“พร้อมแล้วนะกับการเดินทาง” ปองปรีดาหันไปพูดกับจันทร์เพ็ญ เมื่อพวกเขาจอดรถเทียบท่าเรือ
“ค่ะ น้องรอวันนี้มานานแล้ว” เธอตอบรับ
ปองปรีดาเริ่มทยอยขนของขึ้นบนเรือ เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องเครื่องของเรือ ห้องที่สืบถูกฆ่าตายในนั้น ปองปรีดาหันไปที่จันทร์เพ็ญ เขาคิดว่าคงจะสะเทือนใจจันทร์เพ็ญที่จะต้องเดินเข้าไปในที่ที่พ่อของเธอนอนตาย ปองปรีดาจึงทำท่าลังเลที่จะเปิดประตูจนจันทร์เพ็ญสังเกตได้
“ไม่เป็นไรค่ะ” จันทร์เพ็ญเอื้อมมือไปโอบมือของปองปรีดา
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องผ่านตำแหน่งที่สืบเคยนอนจมกองเลือด แม้จันทร์เพ็ญจะไม่เคยเห็นสภาพศพของพ่อเธอนอนตายในห้องนี้ แต่ความสะเทือนใจที่เธอได้รับรู้มาก็สามารถทำให้เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อปองปรีดาเห็นจันทร์เพ็ญยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาพูด
“ถ้าการเดินทางครั้งนี้จะสะเทือนจิตใจน้องมากเกินไป เราเลื่อนกำหนดการออกไปก่อนดีมั้ย” ปองปรีดาพูด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอง น้องจะต้องผ่านพ้นสิ่งนี้ไปให้ได้” สายตาของจันทร์เพ็ญมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการออกเดินทางครั้งนี้ เหมือนกับว่าการเดินทะเลกับปองปรีดาครั้งนี้จะสามารถชำระความโศกเศร้าของเธอได้

ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง ทั้งสองอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไร้การรบกวน ปองปรีดากำลังบังคับพวงมาลัยในห้องกระจก เขามองทะลุออกไปยังลานกว้างหัวเรือที่จันทร์เพ็ญนอนอาบแดดยามเย็นบนเตียงนอน ปองปรีดาละมือจากพวงมาลัย เขาเดินเข้าไปหาจันทร์เพ็ญ
“ท่าทางน้องยังคงไม่หายเศร้ากับเรื่องของคุณพ่อ”
“ใช่ค่ะ แม้เวลาจะผ่านไปนานแสนนานแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจก็คือยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อได้ การทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พอจะเข้าใจ แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือทำไมคนร้ายถึงยังไม่โดนจับ”
“เอาน่าๆ เรื่องอยุติธรรมแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้บนโลกนี้ คนเราก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ได้สลับกันไปเป็นเรื่องธรรมดา พี่ดีใจที่น้องคิดถึงเรื่องการปล่อยวางได้ แต่พี่คิดว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจ”
“ค่ะ น้องจะพยายาม”
ช่วงเวลาที่ยาวนานของจันทร์เพ็ญค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินทางล่องเรือเพื่อฆ่าเวลาสำหรับเธอในตอนนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด แต่จันทร์เพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางในครั้งนี้ เพราะเธอได้คุยกับใครคนหนึ่งไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้

และยามที่ท้องฟ้าปราศจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มาถึง จันทร์เพ็ญนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนโดยมีปองปรีดาอยู่ข้างๆ ปองปรีดายังไม่หลับเขาแสดงสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างออกมา เขาชำเลืองไปสังเกตจันทร์เพ็ญว่าหลับสนิทหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิท ปองปรีดาค่อยๆขยับตัวออกจากเตียง เขาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเตียง ค่อยๆปลดรูปภาพแผนที่ทะเลไทยออกจากผนังและวางมันลงกับพื้น กระดาษวอลเปเปอร์มีร่องรอยของรอยต่อ ปองปรีใช้ซอกเล็บค่อยๆเลาะกระดาษวอลเปเปอร์ออกมา
หลังม่านกระดาษนั้น !! ปรากฏบานพับช่องลับที่ถูกซ่อนปิดไว้ ปองปรีดาหมุนลูกบิดตามรหัสลับเปิดตู้ที่เขารู้อยู่เพียงคนเดียว เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันส่งเสียงแผ่วเบาตามมือของปองปรีดา
เมื่อบานเหล็กถูกเปิดออก ในนั้นมีห่อผ้าสีดำขนาดไม่ใหญ่นัก ปองปรีดานำสิ่งนั้นออกมาและค่อยๆบรรจงปิดฝาตู้ รีดกระดาษวอลเปเปอร์ให้ติดผนังเหมือนเดิมและสุดท้ายนำกรอบภาพมาห้อยแขวนตามตำแหน่งเดิม
ปองปรีดาหยิบถุงผ้าและเดินออกจากห้องไปโดยทหันไปมองจันทร์เพ็ญที่อยู่ในอิริยาบถเดิม เขาเดินออกไปยังขอบเรือและตั้งท่าเหวี่ยงแขนโยนถุงดำให้ลอยออกไปจากเรือ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเหยียดแขนไปข้างหลังจนสุด ทันใดนั้น !!
เปรี้ยง !!’
เสียงปืนดังก้องฟ้า ปองปรีดาตกใจสุดขีดจนเขาปล่อยถุงผ้าลงกับพื้น และเมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงของปืน นั่นทำให้เขาถึงกับขวัญผวาอย่างสุดขีด
“จันทร์เพ็ญ ออกมาทำอะไร !!” ปองปรีดาพูด

“เดินถอยหลังออกไปให้ห่างจากถุงผ้า” น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเจ้าของกระบอกปืน
“เดี๋ยวๆ วางปืนลงก่อนนะ ค่อยๆพูดกันก็ได้”
ปองปรีดาริมฝีปากสั่นไหวเมื่อเห็นสีหน้าเครียดแค้นชิงชังของจันทร์เพ็ญ สีหน้าเธอเหมือนจะคุมสติไม่อยู่ และอาจจะไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่อยู่บนไกปืนไม่ให้ลั่นไกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นอาจจะทำให้เธอยิงปืนใส่สามีของได้โดยไม่ต้องลังเล
“บอกให้เดินถอยออกไปไง เดินไปให้ไกลๆจากถุงผ้านั่น ยังอีก !!” จันทร์เพ็ญทำเสียงตะวาด
ปองปรีดาไม่ยอมทำตามโดยง่าย เขาคงห่วงว่าจันทร์เพ็ญจะล่วงรู้ความลับที่อยู่ในถุงผ้านี้มากกว่า ปองปรีดาขัดขืนคำสั่ง เขาก้มตัวลงไปหยิบถุงผ้าและเตรียมจะเหวี่ยงทิ้งออไปนอกเรือ
เปรี้ยง !!’
“โอ๊ย !!
จันทร์เพ็ญยิงปืนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอยิงเข้าเต็มท้องของปองปรีดา ปองปรีดาทรุดลงไปกับพื้น
“ทำไมๆ ทำไมต้องยิงกันด้วย คุยกันดีๆไม่ได้หรือไง” เขาใช้เรี่ยวแรงทียังพอมีเปล่งเสียงพูด
จันทร์เพ็ญน้ำตาไหลนองทั่วใบหน้า ใจหนึ่งก็นึกสงสารสามีที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็แค้นมากที่เรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นอย่างที่มีคนเคยบอกกับเธอมา
“ถอยออกไปจากถุงผ้านั่น เร็วๆ” จันทร์เพ็ญพูด
ปองปรีดายอมถอยออกมาแต่โดยดี วินาทีนี้เขาคงไม่ห่วงอะไรมากกว่าปลายปืนในมือของจันทร์เพ็ญ เขาถอยออกไปห่างจากถุงผ้า จากนั้นจันทร์เพ็ญเข้าไปหยิบถุงผ้าสีดำขั้นมาและเปิดมันออก สิ่งที่เธอเห็นถึงกับทำให้เธอถึงกลับระเบิดเสียงร่ำไห้อีกครั้ง
“คุณพ่อ !
อาการของปองปรีดาเริ่มไม่ได้การ หน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอไปเอาปืนมาจากไหน” ปองปรีดาถามด้วยน้ำเสียงไร้เรียวแรง
“ตำรวจให้ฉันมา พวกเขาเดาถูกว่าแกจะต้องมาทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ และหลักฐานชิ้นนี้ก็อยู่นี่แล้ว”
เธอเทสิ่งของที่อยู่ในถุงผ้าออกมา ในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่เปื้อนคราบเลือด กางเกงยีนที่มีรอยคราบเลือดเช่นเดียวกัน รองเท้าหนังสีน้ำตาลทีพื้นรองเท้ามีคราบเลือดติดอยู่ และปืนสั้นพร้อมกระบอกเก็บเสียง
“ตำรวจบอกว่าในเรือยอร์ชจะมีเมสเสจที่บ่งบอกว่าใครคือฆาตกร เพียงแต่พวกเขาหามันไม่พบ” จันทร์พูดด้วยน้ำตา
“เธอไปคุยกับตำรวจมาเหรอ นี่ไม่เชื่อใจกันหรือยังไง” ปองปรีดาตัดพ้อ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อตำรวจ  ยังคิดว่าตำรวจจะหาเรื่องใส่ร้ายแก แต่ฉันเองก็จำเป็นต้องพิสูจน์ และตำรวจก็พูดถูก”
ปองปรีดาเริ่มจะคุมสติของตัวเองได้แล้ว เขาเริ่มเขาใจเกมมากขึ้น ความสะเพร่าของเพียงเล็กน้อยตอนนี้ จะทำให้สิ่งที่เขาคิดและวางแผนมานานจะต้องพังพินาศลงไป
“แล้วเธอจะกล้ายิงสามีเธอได้ลงคอเชียวเหรอ ถ้ากล้ายิงก็เอาเลย แต่ใครล่ะจะขับเรือพาเธอขึ้นฝั่ง” ปองปรีดาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เหมือนเขาจะคิดว่าเขาเองที่ถือไพ่เหนือกว่า
เป็นทีที่จันทร์เพ็ญจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยันออกมาบ้าง เสียงหัวเราะของเธอยังทำให้ปองปรีดาถึงกลับสติแตก
“ตำรวจให้ปืนฉันมาและบอกว่าให้ยิงได้เมื่อจำเป็น จะยิงแกให้ตายก็ได้ถ้าจำเป็น และถึงแม้ตอนนี้จะไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่า แต่ฉันก็อยากจะฆ่าแกเพื่อแก้แค้นให้พ่อของฉัน ตำรวจยังให้โทรศัพท์ดาวเทียมกับฉันมาด้วยเพื่อใช้โทรเรียกในกรณีฉุกเฉิน พวกเขาจะเอา ฮ. บินตรงมาที่นี่”
จันทร์เพ็ญเล็งปลายปืนไปที่หัวของปองปรีดา สีหน้าของเธอดูมั่นใจว่าจะต้องยิงแน่ๆ ปองปรีดาสติแตกทันที เขาลนลานถอยหลังหมายจะไปให้พื้นวิถีกระสุนที่จะยิงออกมาได้

ด้วยความลนลานจนเกิดเหตุและไม่ทันได้ระวัง เขาสะดุดเข้ากับขอบเรือทำให้เขาล้มกลิ้งตกน้ำทะเลไป จันทร์เพ็ญเห็นภาพนั้นทำให้เธอตกใจรีบวิ่งมาดูที่ขอบเรือ ภาพสามีของเธอลอยหายไปอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของเรือที่วิ่งไปข้างหน้า ใจหนึ่งจันทร์เพ็ญก็สงสารด้วยความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ใจหนึ่งก็โล่งใจที่เธอไม่ต้องเหนี่ยวไกปืนออกมาเพื่อฆ่าสามีด้วยตัวเอง

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กรง



วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมา ผมเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังเด็ก ว่าทำไมคนเรายิ่งอยู่ไปๆก็ยิ่งมีอิสรภาพที่น้อยลง ในครั้งที่เรายังเล็ก เราได้วิ่งเล่นสนุกสนานตามแต่ที่ใจเราจะปรารถนา ไม่ว่าจะในทุ่งกว้างใหญ่หรือในแม่น้ำสุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง พอโตมาหน่อยเราถูกส่งไปโรงเรียนก็เริ่มมีกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังพอรับได้ ยิ่งเรียนสูงขึ้นๆก็เหมือนโลกที่เคยกว้างกลับกลายเป็นกรงที่แคบลงๆจนเราไม่รู้จะเดินไปทางไหน จวบจนกระทั่งเมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยผมคิดว่ากรงนั้นได้แตกสลายปลดปล่อยผมให้โบยบินออกไปอย่างอิสระ แต่ผมเริ่มจะรู้แล้วว่าผมคิดผิด
ผมอยู่ในขบวนรถไฟฟ้าในรอบขบวนที่แออัดที่สุดของวัน ดูชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสิ กางไหล่กว้างไม่เผื่อแผ่ที่ให้คนอื่นเลย ยายคนข้างหลังถือของพะลุงพะลังจนปลายแหลมของร่มแทบจะทะลุคอของผม และถุงผ้าของป้าที่อยู่ข้างๆก็บดบังที่ยืนของผมจนผมยืนไม่เต็มสองเท้าดีนัก นี่แค่บนตู้รถไฟฟ้าก็ทรมานขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบนรถเมล์ที่ผมต้องต่อไปให้ถึงตึกที่ทำงานอีก ยังครับนี่มันแค่กรงใบแรกสำหรับวันนี้ที่ผมจะเจอ ยังมีกรงอีกหลายใบที่รอผมอยู่

ในที่สุดผมก็ตอกบัตรเข้าทำงานตรงเวลา ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานของผมที่ถูกแบ่งด้วยพาร์ติชั่นให้เป็นสัดส่วน  ซึ่งบางคนเรียกมันว่า 'คอก' ผมคิดว่าคำว่าคอกนี่ชัดเจนดีนะครับที่จะบอกว่าไอ้แผ่นกระจกหนาๆที่ล้อมเรารอบข้างเนี่ย เพื่อให้เราติดต่อกับคนภายนอกได้ยากยิ่งขึ้น ยกเว้นกับคนบางพวก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
นักวิเคราะห์ระบบที่อายุแก่กว่าผมแค่ 5 ปีมักจะชอบใช้ให้ผมไปนู่นไปนี่ ก็แค่มีตำแหน่งงานที่สูงกว่าผม อาวุโสกว่าผมก็ทำเป็นวางมาด
"ได้ครับพี่พล"
แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ทำงานที่นี่ต้องใช้ระบบอาวุโส ผมรีบลงไปซื้อทันทีเพื่อให้รีบกลับมาแก้ไขงานทันก่อนจะมีพรีเซนท์เช้านี้
ผมกลับมาแก้ไขโค้ดของโปรแกรมที่ปรับเปลี่ยนตามรีไคว์เมนท์ของระบบ ตามที่ผู้วิเคราะห์ระบบนักสูบคนนั้นสั่งให้ผมแก้ไขอย่างเร่งด่วน ผมคิดถึงคำพูดเมื่อวานตอนเย็นระหว่างเรา 2 คนได้อย่างแม่นยำนัก
"ลูกค้าต้องการแบบนี้นี่ครับ ผมสร้างโปรแกรมตามที่พวกเขาต้องการแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ นี่ไงครับเอกสารความต้องการของลูกค้า"
"เอ๊ะ ! นี่แกเป็นคนไปเก็บข้อมูลมาเหรอถึงได้รู้ดีกว่าพี่ ก็เมื่อเช้านี้พี่ไปคุยกับลูกค้าเอง สั่งให้แก้ก็แก้ไปเหอะน่า แก้ตอนนี้ให้เสร็จ ถ้าวันนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้เช้ามีเวลาถึง 10 โมงก่อนนำเสนองานให้ลูกค้า"
"ได้ครับพี่"
ยังพอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงครับสำหรับแก้โค้ด ประโยชน์ของคอกที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือมันช่วยทำให้เรามีสมาธิดีเหมือนกันนะครับเนี่ย


ในห้องประชุม
"เดี๋ยวๆ คราวแล้วเราไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่ครับคุณพีรพล เราตกลงกันตามเอกสารเล่มนี้แล้วนี่ครับ โปรแกรมทำงานยังไม่สมบูรณ์ก็ยิ่งเสียเวลาผมอีก"
ลูกค้ามองดูการทำงานของโปรแกรมที่ผมเขียนผ่านจอโปรเจคเตอร์ในห้องประชุม พลางก้มดูเอกสารเล่มเดียวกันกับที่อยู่ในมือของผมด้วย ผมคิดไว้แล้วว่าพี่พลสั่งให้ผมแก้โปรแกรมเพราะตัวแกเข้าใจผิดเอง
"ไหนครับ ผมขอดูเอกสารก่อน"
พี่พลก้มดูเอกสาร
"อ้อ จริงด้วยครับคุณทวีกานต์ ผมต้องขอโทษคุณแทนลูกน้องผมด้วย ผมอธิบายไปตามนั้นอย่างชัดเจนแล้ว แต่แกคงเข้าใจผิด เดี๋ยวผมจะรีบแก้ไปเลยนะครับ ทันเย็นนี้แน่เราจะได้ไปทำเฟสอื่นต่อไป"
ผมถึงกับหน้าชาในสิ่งที่พี่พลพูดกับลูกค้า แกพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตาผมสักครั้งเดียว การนำเสนองานในเช้าวันนั้นก็จบลงด้วยคำสั่งของพี่พลที่ให้ผมไปแก้งาน

หลังเลิกงานแล้วผมก็ต้องย้อนกลับเข้าไปสู่กรงใบเมื่อเช้านี้อีกครั้ง ทั้งในรถเมล์และรถไฟฟ้า ผมกลับมาถึงห้องพักของผมซึ่งก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากนัก จะว่าไปห้องเช่าของผมก็เหมือนกรงดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่าผมไม่คิดว่านี่คือกรง เพราะว่าในห้องแคบๆนี้ผมยังมีอิสรภาพมากกว่าตอนที่อยู่นอกห้องเป็นไหนๆ จะนั่งจะนอน ดูทีวีกินนู่นกินนี่ เข้าอินเตอร์เน็ทผมก็ทำได้อย่างสบายใจ หรือแม้แต่ผมจะเอาอาหารให้เจ้ากระรอกของผมที่อยู่ในกรง
ผมซื้อเจ้า 'ลักกี้' มาจากเพื่อนที่บ้านของมันเพาะพันธ์กะรอกขาย ตอนที่เจ้าลักกี้อยู่กับแม่และพี่น้องของมัน มันดูร่าเริงสดใสน่ารักมาก ซึ่งแตกต่างกับในตอนนี้ที่ผมเอามันมาใส่ในกรงได้เกือบจะ 2 ปีแล้ว มันดูเหงาและเศร้าเมื่อสังเกตจากแววตาและท่าทางของมัน ผมยื่นมือเข้าไปในกรงพร้อมอาหารเม็ดจำนวนหนึ่ง
"โอ๊ย !!"
เจ้าลักกี้มันเข้ามากัดที่นิ้วผม มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย หรือมันจะบ้าไปแลัวกันแน่ หรือว่ามันอาจจะเครียดจากการถูกขังเป็นเวลานาน จะว่าไปแล้วเจ้าลักกี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากผมเลย อยู่ในกรงมาเกือบทั้งชีวิต และก็คงต้องอยู่ต่อไป ผมเริ่มคิดถึงชีวิตที่อิสระไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจใคร อยากจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่ใจเราต้องการ นั่นมันคงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆของผมต่อไป

และเช้าวันนี้ก็เป็นเหมือนกับเช้าของทุกๆวันที่ต้องไปทำงาน ชีวิตแบบนี้ถูกออกแบบมาให้ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบนรถไฟฟ้าและรถเมล์ ผมตอกบัตรเข้างานทันเวลาและวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานในคอกของผม
"อภิชาตลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อยสิ"
เสียงของนักวิเคราะห์ระบบตะโกนสั่งให้น้องฝึกงานที่เดินผ่านหน้าแกพอดี ผมเห็นน้องฝึกงานหยุดยืนมองหน้าผู้ออกคำสั่ง ก่อนจะพูด
"ผมมาฝึกงานในตำแหน่งคีย์ข้อมูล ไม่ใช่มีหน้าที่ซื้อบุหรี่"
น้องคนนั้นพูดเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่สนใจพี่พลและพนักงานคนอื่น ที่ต่างหันมามองเหตุการณ์นี้ ไม่เว้นแม้แต่ผมที่ก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง สักพักพี่พลตะโกนเรียกใช้งานผมทันที
"เอ้า เจ้าเมธีก็ได้ ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
สิ้นเสียงนั้นผมรีบทำตามคำสั่งทันที 

ในตอนกลางวัน ผมเดินไปหาน้องฝึกงานคนนั้นและถามถึงเรื่องเมื่อเช้า ที่ไม่ยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่พล
"โธ่พี่ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ทำไมเราต้องทำด้วยล่ะ"
"น้องก็พูดได้สิ เพราะเป็นแค่เด็กฝึกงาน เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่พี่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และนั่นเป็นหัวหน้าสายตรงของพี่ เขามีสิทธ์เลือกลูกน้องยังไงก็ได้ ถ้าพี่ไม่เอาใจแกก็อาจจะไม่ได้งานทำ"
"มันก็จริงของพี่"

เย็นวันนั้นผมมายืนรอรถเมล์ที่หน้าตึก เมื่อขึ้นรถผมเห็นผู้หญิงสาวสวยอยู่บนนั้นแล้ว เธอช่างน่ารักถูกใจผมจริงๆ แต่ผมคงไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทายเธอหรอก ผมแอบมองเธอเป็นระยะโดยไม่ให้ผิดสังเกต เมื่อมาถึงป้ายที่จะไปต่อรถไฟฟ้า เธอก็ลงป้ายเดียวกับผมเพื่อไปขึ้นรถไฟ ผมแอบเดินตามเธอไป
วันนี้เป็นวันที่ผมโชคดีจริงๆ บนขบวนรถไฟฟ้าที่แออัด ผมบังเอิญยืนอยู่ชิดกับเธอคนนั้นพอดี บางครั้งแขนของผมก็ไปสัมผัสที่หัวไหล่ของเธอ ตามแรงเหวี่ยงของรถไฟ และเธอก็ลงสถานีเดียวกับที่ผมจะลง ผมแอบเดินตามเธอไปอีกครั้ง เห็นเธอไปรอที่ป้ายรถเมล์ สักพักมีรถเก๋งเข้ามาจอดและเธอก็เดินขึ้นรถไป ผมเห็นคนขับรถคันนั้นเป็นผู้ชายเลยคิดในใจว่า เธอมีแฟนแล้วน่าเสียดายจริงๆ จากนั้นผมหันหลังกลับเพื่อจะไปขึ้นสะพานลอย
"อ้าว ! นั่นเมธีใช่มั้ย ?"
ผมหันกลับไปตามเสียงนั้น ชายในรถเก๋งลงมาจากรถและเดินมาที่ผม ก่อนเขาจะถอดแว่นกันแดดออก ทำให้ผมคุ้นหน้าทันที
"เอ๊ะ !? ใช่อุดมโชคหรือเปล่า"
"ใช่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย"
"ก็เรื่อยๆน่ะ"
"ว่าแต่นายทำอะไรอยู่เหรอตอนนี้ ?"
"เอ๋ ? หมายถึงอาชีพเหรอ ตอนนี้เป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทน่ะ"
"เป็นลูกน้องเหรอ ?"
"ก็ใช่น่ะ แล้วนายล่ะ"
"ตอนนี้เราเป็นประธานบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในโรงงานอุตสาหกรรมน่ะ"
"หา !? ได้เป็นถึงประธานแล้วเหรอเนี่ย"
ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่มันใส่ แว่นตากันแดดนั่นก็ยี่ห้อหรู ผมหันไปดูรถเก๋งที่มันขับมาเป็นรถสปอร์ตราคาแพงระยับ
"ใช่แล้วล่ะ เราก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อตอนที่เรียนจบใหม่ๆ อ้อ ถ้านายอยากมาทำงานกับเราก็ได้นะ จะให้เป็นรองประธานบริษัทเลยก็ได้ สนใจมั้ยล่ะ นี่คือนามบัตร ถ้าสนใจก็โทรมานะ เดี๋ยวขอตัวก่อนไว้ค่อยคุยกัน"
ผมรับนามบัตรจากเพื่อนมาไว้ในมือ เห็นชื่อและตำแหน่งของมันแล้วทำให้ผมตกใจ ผมกับอุดมโชคเป็นเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันปีเดียวกัน และคณะเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะก้าวหน้าไปเป็นถึงประธานบริษัท ผมกลับหอพักและได้แต่เฝ้ามองนามบัตรใบนั้นพลันคิดถึงตัวเอง สายตาผมชำเลืองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมเห็นตัวเองเข้าไปอยู่ในกรงนั้นแทน

หลายวันมานี้ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมานานหลายปี มันนานหลายปีจนผมเริ่มจะชินชากับมันแล้ว ผมไม่เคยตั้งคำถามถึงมันสักทีว่าเมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อพบกับเพื่อนของผมคนนั้น เพื่อนของผมสามารถที่จะให้โอกาสผมเดินออกจากวงจรชีวิตที่น่าสมเพชเหล่านี้ได้
ตอนนี้ในหัวสมองของผมเริ่มคิดถึงอิสรภาพ นั่นทำให้ผมมองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ ที่ตอนนี้เจ้าตัวกระรอกนั้นนอนหมอบลงกับพื้นเหมือนกับหมดอาลัยตายอยาก นานๆทีมันจะหันหน้าออกมองไปที่หน้าต่างที่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา
วันนี้เป็นวันหยุด เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคแวะเข้ามาเยี่ยมผมที่ห้องเช่าซอมซ่อนี้ แน่นอนว่ามันขับรถสปอร์ตคันหรูมาจอดในย่านชุมชนแออัด
"นี่ไงเพื่อน ลองดูผลประกอบการย้อนหลัง 2 ปีนี้สิ เรากำไรปีละเกือบ 10 ล้านเลยนะ"
เพื่อนของผมเปิดสมุดบัญชีที่มันเตรียมมาด้วย ผมมองเห็นตัวเลขนั้นแล้วทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
"จริงหรือนี่ ? นี่นายทำเงินได้เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ"
"ใช่สิ ตอนนี้เราอยากได้คนมาช่วยบริหาร ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไว้ใจด้วยเรายิ่งต้องการ"
"จริงเหรอ แล้วถ้าเราไปทำงานกับนาย เงินเดือนตำแหน่งบริหารนี่มันจะซักเท่าไหร่กันนะ"
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ตาเห็น จริงเผลอพูดคำถามเรื่องเงินเดือนที่ดูจะเสียมารยาทออกไป จากนั้นเพื่อนของผมหยิบสมุดเล่มเล็กอีกเล่มขึ้นมา พลิกหาหน้าที่ต้องการก่อนจะยื่นให้ผมดู
"นี่คือตัวเลขของเงินเดือนที่นายจะได้รับ"
ผมเห็นตัวเลขในสมุดถึงกลับดวงตาลุกวาว เมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่จะได้รับในแต่ละเดือน ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้องรูหนูนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยนึกบ่นถึงความอึดอัดจากมันเลย แต่ถ้าได้เงินเดือนเยอะแบบนั้นจริงๆก็คงต้องย้ายออก และนั่นยังทำให้ผมคิดถึงการเดินทางที่คงไม่ต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์อีกต่อไป
"ยังไงก็รีบตัดสินใจไปลาออกจากบริษัทเดิมเลยนะ จะได้รีบไปทำงานด้วยกัน"

ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกให้กับทางบริษัททันที ช่วงหนึ่งเดือนนับจากนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมจะทำงานได้อย่างสบายใจที่สุด นับตั้งแต่เคยอยู่กับที่นี่มา ผมเริ่มกล้าที่จะปฏิเสธพี่พลที่จะไมยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้แกอีกแล้ว แม้การเดินทางไปกลับจะลำบากเพียงใด แต่เมื่อผมมีความหวังที่จะไม่ต้องมาใช้มันอีกแล้ว นั่นก็ทำให้ผมไม่ใส่ใจกับมันเท่าไหร่นัก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
"ขอโทษครับพี่ พอดีผมกำลังรีบปั่นงาน"
เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าปฏิเสธพี่พล ผมยิ้ม

คืนหนึ่งผมกลับมาที่ห้อง ผมนำอาหารเม็ดไปยื่นให้มันที่กรง แววตาที่เหงาหงอยของมันยังไม่เสื่อมคลายหายไปไหน ผมเริ่มคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยให้มันออกไปใช้ชีวิตอิสระบ้าง ใกล้ๆกับหอพักที่ผมอยู่มีสวนสาธารณะ หรือว่ามันควรจะไปอยู่ที่นั่นดี เมื่อคิดได้ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุด ผมจึงคิดว่าจะเอามันไปปล่อย
วันรุ่งขึ้นผมเตรียมตัวจะหิ้วกรงของเจ้าลักกี้เดินไปที่สวนใกล้บ้าน แค่มันรู้ว่ามันจะได้ออกไปข้างนอกห้องมันก็ทำท่าดีใจแล้ว ผมอดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้เลยว่าชีวิตภายนอกกรงแคบๆของมัน จะมีความสุขแค่ไหน
เมื่อเจอมุมที่เหมาะผมวางกรงของมันลงกับพื้นดิน เจ้าลักกี้ทำท่าสูดดมกลิ่นดินบนพื้นที่มันยืน ผมเปิดประตูกรงมันออก เจ้าลักกี้วิ่งผ่านช่องลวดออกไปทันที ก่อนมันจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้ มันหยุดและหันมามองที่ผมสักพัก และมันก็วิ่งตรงไปที่ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด แต่ ?
อ๊ะ !! แมวเจ้าถิ่นตัวใหญ่สีน้ำตาลทองวิ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันวิ่งตามเจ้าลักกี้ที่พยายามจะวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ แมวจรจัดตัวนั้นวิ่งตามไล่งับเจ้ากระรอกวิ่งขึ้นต้นไม้ไป มันขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้พร้อมกำลังเคี้ยวเจ้าลักกี้ด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
ผมยืนดูภาพนั้นด้วยความตกใจ มือเอื้อมลงไปหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือปาเข้าใส่เจ้าแมวนั้น ก้อนหินพลาดเป้า แต่นั่นก็ทำให้แมวตกใจวิ่งหนีกระโดดขึ้นหลังคาไป เศษซากของเจ้าลักกี้หลุดออกจากปากแมวในจังหวะที่วิ่งหนี หัวของกระรอกตัวที่ผมเคยเลี้ยงไว้หล่นลงมาใต้ต้นไม้
ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นหัวเจ้าลักกี้ขาดในลักษณะดวงตาเปิดกว้าง ความรู้สึกเศร้าและสงสารโผล่ขึ้นมาใน
จิตใจของผมทันที
“โธ่ ! เจ้าลักกี้”
ผมกลับมาที่ห้องเช่าด้วยความโศกเศร้า แต่เมื่อคิดถึงอนาคตที่สดใสของผมรออยู่ ความเศร้าก่อนหน้านี้ก็พลันหายไป สักพักโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคโทรเข้ามา
“เพื่อน เราขอโทษนายด้วยนะ ตอนนี้ที่บริษัทล้มละลายแล้ว ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเลยช่วงนี้”
เสีบงปลายสายวางหูไปทันทีก่อนที่ผมจะพูดอะไรตอบกลับไป ความหวังที่ฝันไว้ทั้งหมดได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้นแล้ว
หลังจากนั้นผมไปยกเลิกใบลาออกของผมทันที โชคดีที่บริษัทยอม

“เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย
เสียงตะโกนสั่งในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานดังมาจากเจ้าของเสียงคนเดิม
“ได้ครับพี่ ผมจะลงไปเดี่ยวนี้ล่ะ”
ผมรีบลงไปซื้อบุหรี่ตามคำสั่งทันที เพราะเช้านี้ต้องแก้งานจากการที่พี่พลอธิบายงานผิดพลาดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประชุมในเช้านี้
ตอนนี้เหรอครับ ผมเลิกคิดที่จะเดินออกจากกรงอันปลอดภัยไปแล้ว ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ย่อมมีกรงมาครอบเราไว้เสมอ เพียงแต่ว่าเราจะคุ้นเคยและเคยชินกับกรงใบไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...