
เอมอรกำลังก้าวเดิน ลงบันไดมาจากชั้นบันได น้ำหนักเกินร้อยกิโลกรัม ที่กดทับลงบนแผ่นไม้ทำให้เกิดเสียงดัง 'เอี๊ยดๆ' เสียงดังจากแผ่นไม้ทำให้ดนัย เกิดความหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขานั่งสูบบุหรี่ในมื้อเช้าพร้อมถ้วยกาแฟ ก่อนออกไปทำงาน เป็นประจำแบบนี้มากว่า 3 ปีแล้ว
เอมอรลงมาถึงยังโต๊ะกินข้าวเช้า เธอลากเก้าอี้เสียงดัง ยิ่งทำให้ดนัยรีบคีบมวนบุหรี่เข้าปาก และสูดควันเข้าปอดอย่างเต็มแรง
"อรุณสวัสด์ค่ะที่รัก"
ดนัยไม่ตอบ เขาได้แต่แลตาไปที่เธอ พร้อมพ่นควันออกมาจากปาก ดนัยใช้การพ่นควันนี้ เหมือนกับเป็นการทอดถอนลมหายใจ เพื่อหวังว่าความอึดอัดมันจะระบายออกมาได้บ้าง แต่เปล่าเลย!
"ชั้นบอกคุณกี่ครั้งแล้ว ว่าควรจะหยุดสูบบุหรี่ได้แล้ว ตอนนี้คุณอาจเป็นมะเร็งแล้วก็ได้"
"คุณจะให้ผมเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่ มันเป็นความสุขเดียวบนโลกใบนี้ ที่ผมพอจะหาได้"
"ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะลดลงหน่อย นี่อะไรกัน สูบกันวันละ 3 ซอง สูบจนบ้านมีแต่กลิ่นบุหรี่ คุณจะไม่กินอะไรก่อนไปทำงานหน่อยเหรอ กินแต่กาแฟแค่แก้วเดียวจะไปมีเรี่ยวแรงอะไร เอาขนมปังที่เหลือๆจากของฉันไปหน่อยไหม?"
เอมอรพูดเสร็จ เธอก็หยิบขนมปังแผ่นออกมา 2 ชิ้น และค่อยๆบรรจงทามาการีน ลงบนแผ่นขนมปังจนหนาเตอะ ทั้ง 3 แผ่น จากนั้นก็นำขนมปังไปหย่อนลง ในเครื่องปิ้งขนมปัง แต่ดนัยยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบรับเศษขนมปัง เขาได้แต่คนถ้วยกาแฟในมือ และยังอัดควันเข้าปอดต่อไป
ดนัยยังคงจ้องไปที่เอมอร ด้วยสายตาที่เย็นชา สิ่งที่เขาเห็นคือหญิงวัยสามสิบปลายๆ ที่มีรอบเอวที่ตัวดนัยเองยังโอบไม่มิด ท่อนแขนที่ใหญ่ คางพอกลงมาจนแยกไม่ออก ว่าอันไหนคออันไหนหัว ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวไร้การดูแล เส้นผมหยิกหยอยที่คงไม่ได้หวี มานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ชั่วครู่หนึ่ง ดนัยนึกย้อนไปสมัยที่แต่งงานกันใหม่ๆ ถึงรูปร่างที่เพรียวบาง ผิวพรรณขาวใส ใบหน้าที่เรียวยาว ตากลมโต คิ้วโก่่งสวยเข้ารูป จมูกเป็นสันงามลับกับปากที่บางเรียว เขาคิดว่าเวลาแค่ 15 ปีมันเปลี่ยนไปได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ
"เมื่อคืนคุณกลับบ้านกี่โมง? รู้มั้ยว่าชั้นนอนคอยทั้งคืน"
"กลับมาตอน 5 ทุ่มเกือบเที่ยงคืน คุณก็รู้ว่าตั้งแต่ผมได้ตำแหน่งใหม่ เจ้านายก็มีงานที่บริษัทให้ผมทำเพียบเลย ที่บริษัทมีพนักงานบัญชีแค่คนเดียวเท่านั้น"
"บริษัทบ้าอะไรเลิกงานเกือบเที่ยงคืน อย่าให้รู้นะว่าคุณแอบไปมีเมียน้อยที่ไหน ถ้าชั้นจับได้ล่ะน่าดู"
ดนัยขยี้ก้นบุหรี่ที่สูบหมดแล้ว ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ เขาจุดมวนใหม่ขึ้นมา และดูดควันเข้าไปอีกเช่นเคย ดนัยเลิกสนใจเธอไปนานกว่า 10 ปีจะได้้แล้ว ในใจเขาหมดอารมณ์กับเอมอร เยื่อใยเดียวที่ทำให้ดนัยต้องทนอยู่ในสภาพนี้ ก็คือทะเบียนสมรสแผ่นเดียว ที่เป็นโซ่คล้องคอเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ใจหนึ่งดนัยก็อยากจะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยข้างนอกเหมือนกัน แต่เขายังไม่อยากทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงกว่านี้ ถ้าเอมอรจับได้ว่าดนัยมีเมียน้อย เธออาจฟ้องหย่ากับดนัย และจะได้แบ่งสมบัติมูลค่ามาก ที่ได้มาจากมรดกของดนัยไป และรวมถึงสมบัติที่ดนัยทำงานสร้างมันขึ้นมา ทั้งๆที่เอมอรได้แต่อยู่บ้าน ผลาญเงินของเขาเล่นไปวันๆ
"นี่คุณ อีก 2-3 วันพ่อแม่ชั้นจะมาจากต่างจังหวัด คุณต้องขับรถไปส่งชั้นด้วยนะ เพื่อไปเยี่ยมท่านที่บ้านของพี่สาวชัน"
"ผมไม่ไปหรอก คุณก็รู้อยู่ว่าคนพวกนั้นเกลียดผมยิ่งกว่าอะไรดี ตอนอยู่ด้วยกัน พวกนั้นยังจับกลุ่มพูดกระแนกระแหนผม ไม่ต้องพูดถึงตอนลับหลัง"
"คุณก็แบบนี้ล่ะ ชวนให้ไปเจอพ่อแม่ก็ไม่ยอมไป"
ดนัยนึกถึงหน้าพ่อแม่ และญาติของเอมอร ที่ต่างก็เกลียดเขาเข้าใส้ แน่นอน ดนัยก็เกลียดพวกนั้นเข้าใส้เช่นกัน เมื่อญาติๆของเอมอรพากันมาขอเงินจากดนัย แต่โดนดนัยไล่ไปอย่างไม่ใยดี
"คุณเองก็ควรจะใช้เงินอย่างประหยัดได้แล้ว ค่าใช้จ่ายต่อเดือนมันเกินรายรับแล้ว"
ดนัยทนไม่ไหว เขาขอระบายอะไรออกมาบ้าง แต่ดนัยคิดผิดที่พูด เพราะไม่ว่าจะพูดเรื่องนี้เท่าไหร่ เอมอรก็ยังคงใช้เงินอย่างล้างผลาญเหมือนเดิม และยังเข้าทางที่ทำให้เอมอรด่าสวนกลับมาได้ โดยคนที่ชวนทะเลาะคือดนัย
"นี่คุณ! คุณจะมาว่าชั้นแบบนี้ไม่ได้นะ คุณไม่รู้หรอกว่าอยู่บ้านมันเบื่อมากแค่ไหน ของใช้จำเป็นก็ต้องซื้อ ชั้นก็ต้องมีสังคมกับเขาบ้างล่ะ คุณมีหน้าที่หาเงินก็ทำไป ชั้นมีหน้าที่ดูแลบ้านก็ต้องทำให้ดีที่สุด"
ประโยคสุดท้ายที่เอมอรพูด ทำให้ดนัยคิดถึงสภาพบ้าน ที่ไม่ได้เช็ดถูมานานแล้ว ข้าวของเครื่องใช้เต็มบ้าน วางระเกะระกะไปหมด ส่วนหนึ่งเป็นของที่เอมอรซื้อมาเต็มบ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ดนัยเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ เพราะเขาไม่อยากทะเลาะอะไรกับเธออีก และที่สำคัญ วันนี้ดนัยมีนัดสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันจะทำให้ชีวิตของเขากับมามีความสุขได้อีกครั้ง มันคือความหวังเดียวของเขาในตอนนี้ ดนัยคิดว่าหากเขาทำเรื่องนี้สำเร็จ เขาจะเลิกบุหรี่อย่างแน่นอน
"แล้ววันนี้คุณจะกลับบ้านกี่โมง?"
ดนัยกำลังจะเดินออกจากบ้าน เขาไม่หันมา แต่พูดตอบด้วยน้ำเสียงแห้งเหือด"
"3 ทุ่ม"
"ฉันจะนอนรอ"
นั่นคือช่วงเดียวในบ้าน ที่ดนัยรู้สึกเป็นสุขเมื่ออยู่ในบ้าน แต่เขาก็ไม่สุขอย่างแท้จริงนัก เพราะเสียงกรมของเธอดัง จนทำให้ดนัยยากที่จะข่มตาหลับลงไปได้
.ในช่วงบ่ายวันนั้น ดนัยขับรถไปจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะเป็นตึก 3 ชั้น เขาเดินเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ตามคำบอกเล่าของเจ้าของบ้าน ที่ได้คุยโทรศัพท์กันก่อนหน้านี้แล้ว ชุบพงยืนรอที่โต๊ะทำงานตามเวลาที่นัดหมายแล้ว
"สวัสดีครับคุณดนัย ผมชุบพงที่เราได้คุยกันก่อนหน้านี้ครับ จากที่คุณดนัยเล่าปัญหาให้เราฟังนั้น ผมรับรองได้ว่าปัญหาของคุณนั้น จะได้รับการแก้ไขจนคุณพอใจ"
"ครับ ผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนผมมา มันอาจจะฟังดูแปลกๆไปหน่อย ที่สามีจะว่าจ้างคนให้มาฆ่าภรรยาตัวเอง"
ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
"ไม่ต้องกังวลเลยกับเรื่องนั้น จากประสบการณ์การทำงานของเรานั้น เรื่องผัวฆ่าเมีย เมียฆ่าผัว มันเป็นเรื่องที่เรามีงานเข้ามาเรื่อยๆ คุณดนัยเชื่อมั้ยว่า ภรรยาที่ต้องการฆ่าสามี นั้นมีมากกว่าสามีที่ต้องการฆ่าภรรยาหลายเท่าตัวนัก เรื่องตลกคือ ภรรยามักใช้เงินของสามี เพื่อมาฆ่าตัวสามีเอง"
ดนัยถึงกับอ้าปากค้่าง กับสิ่งที่ได้ยินจากชุบพง
"ผมไม่อยากให้นังนั่นมาชุบมือเปิบ แบ่งสมบัติจากผมไป ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างผมสร้างมันเองมากับมือ แต่นังเมียผมมันคอยที่จะล้างผลาญมัน และพฤติกรรมแย่ๆอีกมากมาย ที่ผมจะไม่ทนมันอีกต่อไปแล้ว"
"เรื่องสมบัติคือเรื่องที่ลูกค้ามักจะมาให้เราช่วยแก้ปัญหา รองจากนั้นก็เป็นเรื่องความแค้น"
"เอ่อ... ผมขอถามหน่อยสิคุนชุบพง บริการของคุณเราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะไม่มีใครสืบได้"
ดนัยขอความมั่นใจจากชุบพง
"เราทำงานด้านนี้มากว่า 20 ปีแล้ว คำขอจากลูกค้าเมื่อมาถึงมือของพวกเรา เราจะมีการตรวจสอบประวัติ ของลูกค้า ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่จะถูกฆ่านั่นเอง ซึ่งเราขอใช้คำว่า 'ลูกค้า' แล้วกัน และหลังจากนั้นเราจะเฝ้าดูกิจวัตรประจำวันของลูกค้า จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่า ทางทีมงานของเราสามารที่จะลงมือได้ อย่างหมดจด ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้"
"แล้วจะจัดการกับลูกค้าอย่างไร เพื่อไม่ให้สืบพบ"
"โรงงานของเราที่อยู่ชั้นบน จะมีเครื่องปั่นศพ ให้แหลกละเอียด และเราจะนำเศษเนื้อไปทำเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ไม่มีใครหาศพเจอแน่นอน"
"จริงหรือครับ ผมคงไม่อยากขึ้นไปชั้นบนแน่ๆ"
"ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกครับ ทุกขั้นตอนเราใช้เครื่องจักรจัดการ ตั้งแต่เครื่องปั่นศพให้ละเอียด จากนั้นเราจะน้ำเศษเนื้อที่แหลกละเอียดนั้น ไปเข้าตู้อบความร้อน และจะมีเครื่องอัดเศษเนื้อเหลวเหล่านั้น ให้เป็นเม็ด ขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการฉีดล้างเครื่องจักร ด้วยไอน้ำเดือด น้ำที่ใช้ในการชำระล้าง เราก็เอาไปบำบัดเพื่อนำกับมาใช้ใหม่"
"แล้วเม็ดที่ออกมาจากเครื่องจักร?"
"เม็ดอัดจากเศษเนื้อของลูกค้าหรือครับ คุณคงไม่อยากรู้แน่ว่าเราไปทำอะไร"
ดนัยกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ก่อนใช้มือขยับปมเนคไทค์ เพื่อคลายความอึดอัด
"ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เรามาว่าเรื่องระเบียบการกันดีกว่าครับ นี่คือเอกสารที่ผมเตรียมมาไว้ให้"
ดนัยยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับชุบพง ในนั้นมีเอกสารที่ระบุรายละเอียด และข้อมูลต่างๆของเอมอร ภรรยาของดนัย และยังมีรูปถ่ายจำนวนหนึ่งของเธอด้วย และในซองเอกสารนั้น ชุบพงเปิดดูมันอย่างละเอียด และเก็บมันใส่ซองอย่างดี เหมือนก่อนที่มันจะถูดเปิด
"ผมดูเอกสารตามที่คุณกรอกมาให้แล้ว ข้อมูลส่วนตัว รวมถึงกิจวัติประจำวันของลูกค้า ครบถ้วนตามที่เราต้องการครับ โชคดีที่ลูกค้าของเราอยู่บ้านตลอดทั้งวัน ทำให้เราสามารถจัดการได้ง่ายขึ้นหน่อย"
เสียงเปิดประตูบานเหล็ก ด้วยระบบไฮดรอลิคดังขึ้น จากหลังตึก ไม่นานก็มีรถลากขนกล่องเหล็ก ที่มีความยาวขนาดสูงประมาณ 2 เมตร กว้างประมาณ 60 เซนติเมตร มันค่อยๆเลื่อนเข้ามาและตรงไปยังลิฟท์ เพื่อขึ้นไปยัวโรงงานที่อยู่ชั้นบน
ชุบพงหันหน้าไปทางรถคันเล็กๆนั่น
"ข้างในกล่องเหล็กนั่นคือลูกค้าของเราครับ กำลังจะถูกนำไปยังเครื่องจักรของเรา ต้องขอโทษคุณดนัยด้วยนะครับ เดี๋ยวอาจจะมีเสียงดังจากการทำงาน ของเครื่องจักร"
เสียงลิฟท์จอดที่ชั้นบนสุดของตึก จากนั้นเสียงดังโครมครามจากการย้ายกล่องเหล็ก เข้าไปในเครื่องจักร ไม่นานเสียงสายพานของมอเตอร์เริ่มทำงาน ความเร็วรอบของมอเตอร์ยังไม่มากนัก แกนเหล็กติดใบมีดขนาดใหญ่ เพื่อปั่นหยาบร่างมนุษย์ให้แหลกเป็นชิ้นๆ เมื่อร่างของลูกค้าผ่านแกนมีด เสียงกระดูกลั่นดังสนั่นลงมาถึงชั้นล่าง เสียงมันคงจะคล้ายกับเสียงหักข้อนิ้วมือ แต่เสียงหักกระดูกที่นี่ดังลั่นและถี่ ก่อนที่จะค่อยๆเบาลง เพราะกระดูกเริ่มแตกเป็นชิ้นๆแล้ว ไม่ต้องพูดถึงชิ้นเนื้อที่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ รวมถึงอวัยวะภายในที่คงจะหลุดออกมาจากร่างกาย ดนัยจินตนาการจากเสียงที่ได้ยิน ก่อนจะพูดมันออกมา
"คนทำงานข้างบน คงจะเห็นภาพที่สยดสยองสุดๆ"
"ไม่หรอกครับ เพราะทุกขั้นตอนการทำงานของเครื่องจักร มันจะทำงานภายในตัวเครื่อง และถูกปิดอย่างมิดชิด แม้แต่คนคุมเครื่องจักรก็ไม่เห็นภาพเหล่านั้น"
ดนัยยกมือขึ้นปาดบริเวณหน้าผาก เขาคิดว่าจะปาดเหงื่อที่ไหลออกมา แต่ปรากฎว่าไม่มีเหงื่อซักเม็ด คงเป็นเพราะสีหน้าที่ซีดเผือด เวลาผ่านไปไม่นาน เครื่องจักรก็เปลี่ยนใบมีดจากใบมีดใหญ่ เป็นใบมีดขนาดเล็ก เสียงสายพานมอเตอร์ค่อยๆดังขึ้น จนความเร็วรอบทำงานสูงสุด เพื่อปั่นชิ้นเนื้อให้แหลกละเอียดที่สุด เสียสายพานที่วิ่งเร็ว บวกกับเสียงใบมีดที่วิ่งผ่านของเหลว รวมกันเป็นเสียงแหลมโหยหวน ดนัยแทบจะอาเจียนออกมา จนต้องเอามือปิดปาก
"ต้องขอโทษคุณดนัยด้วยนะครับ ปกติเราจะไม่ให้ใครเข้ามา ตอนที่เครื่องจักรกำลังทำงาน แต่เรายกเว้นคุณในกรณีพิเศษจริงๆ"
เมื่อเสียงใบมีดแล่นผ่านชิ้นเนื้อเริ่มเบาลง จนเงียบสนิท แสดงให้เห็นว่าร่างของลูกค้าแหลกละเอียด เป็นเนื้อเดียวกับเรียบร้อยแล้ว เสียงมอเตอร์จึงหยุดทำงาน
"เรามาคุยกันต่อเรื่องของเราดีกว่าครับ คุณดนัย"
ดนัยเหมือนถูกดึงกลับขึ้นมาจากนรก เขาหันหน้ามาทางชุบพง
"อ่อๆ ครับ เราถึงไหนกันแล้ว"
"ตอนนี้เรื่องเอกสารเรียบร้อยไปแล้วครับ ก็คงเหลือแต่ขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่เราจะลงมือกัน"
ดนัยนึกได้ถึงขั้นตอนสุดท้าย เขาหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมา ข้างในมีเงินสดปึกหนา
"นี่ครับคุณชุบพง เงินสดจำนวน 3 แสนบาทตามที่ตกลงกันไว้"
ชุบพงรับซองเงินจากมือของดนัย เขาโทรเรียกให้เลขาสาว เข้ามารับเงินพร้อมเอกสารไป
"มาถึงขั้นนี้แล้ว เราถือว่าคุณเอมอร ชัยศรีเป็นลูกค้าลำดับถัดไปของเรา เราจะเริ่มงานทันทีนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
ดนัยทำท่ารู้สึกพอใจมาก แต่ในระหว่างที่คุยกันนั้น ปรากฏว่ามีกลิ่นควันไฟโชยมาจางๆจากชั้นบน นั่นทำให้รู้ว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นจากเตาอบ ชิ้นเนื้อที่เละเป็นเนื้อบดกำลังถูกอบใฟ้ไหม้เกรียม พร้อมที่จะถูกนำไปเข้าเครื่องอัด ดนัยถึงกับอาเจียรพุ่งออกมา โชคดีที่ตั้งแต่เช้าเขายังไม่ได้กินอะไร มีเพียงน้ำที่พุ่งออกมาจากปากเป็นทางยาว น้ำหูน้ำตาของดนัยแทบเล็ดออกมา
"ไม่ต้องห่วงครับ ใหม่ๆใครก็เป็นแบบนั้น"
ชุบพงทำท่าหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะโทนศัพท์บอกให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด
"ขะๆ...ขอโทษนะครับ พอดีมันเป็็นกลิ่นเนื้อของคนอื่น ผมเลยรู้สึกสะอิดสะเอียนไปหน่อย แต่เมื่อคิดถึงกลิ่นหอมหวล ที่มาจากเมียของผม มันคงทำให้ผมสะใจมากยิ่งขึ้น กลิ่นเนื้ออบจากร่างเมียผม มันคงจะสามารถทดแทน 10 ปีืั้ผ่านมาได้ จะเป็นไปได้มั้ยว่า ตอนที่เอาร่างเมียของผม มาเข้าเครื่องจักร ผมขอมานั่งฟังเสียงใบมีด และมาสัมผัสกลิ่นจากเตาอบด้วย"
ชุบพงหัวเราะเสียงดังลั่น แม่บ้านใช้ไม้ถูพื้นเช็ดคราบน้ำ และใช้น้ำยาเช็ดพื้นกลิ่นฉุนจัด ฉีดลงไปบนพื้นอีกรอบ ก่อนจะใช้ผ้าสะอาดอีกผืนเช็ดถู ความแรงของกลิ่นน้ำยา ทำให้ดนัยต้องใช้มือปิดจมูก
"เอาล่ะครับคุณดนัย ผมมีเอกสารฉบับหนึ่งที่ต้องให้คุณดูก่อน และผมอยากจะบอกว่าทำไม ผมถึงนัดคุณให้มาคุยกันที่นี่"
"เอกสารอะไร?"
ชุบพงยื่นเอกสารจำนวนหนึ่งให้ดนัย ดนัยรีบเปิดดูทันที เขาพบว่ามันคือสำเนาเอกสารใบคำร้อง พร้อมรายละเอียดของลูกค้า ดนัยเปิดดูผ่านๆ
"นี่คือตัวอย่างคำร้องเหรอครับ แล้วใบคำร้องของผมมีอะไรผิดพลาด ถึงต้องเอาตัวอย่างมาให้ผมดู"
ชุบพงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูด
"เอกสารของคุณไม่มีอะไรผิดพลาดครับ แต่ที่ผมให้คุณดูเอกสารนั้น อยากให้ดูตรงรายชื่อผู้ยื่นคำร้องขอ และรายชื่อลูกค้าครับ ช่วยกรุณาดูที่ชื่อและอ่านมันออกมาดังๆด้วย"
ดนัยก้มมองดูเอกสารอีกครั้ง เขามองหาช่องกรอกชื่อผู้ยื่นคำร้อง และชื่อของลูกค้่า
"เอมอร ชัยศรีและ ดนัย ชัยศรี!"
ดนัยทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะตกใจสุดขีด เมื่อเห็นรายชื่อตัวเองเป็นลูกค้า
"ดูเหมือนว่าภรรยาของคุณ ก็ต้องการเก็บคุณเหมือนกัน สาเหตุก็คงเป็นเพราะเรื่องมรดกของคุณ เธอติดต่อและส่งคำขอมาให้ผม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราพยายามติดตามเฝ้าดูคุณอยู่นาน แต่เราก็ยังไม่พบช่องโหว่ที่จะนำตัวคุณมาที่นี่เลย คุณทำให้ทีมงานของเราลำบากมาก โชคดีของเราที่กลับกลายเป็นคุณเอง ที่เดินเข้ามาหาเรา เราจึงให้คุณมาที่นี่เลย ไม่ต้องเสียเวลาขนส่งร่างของคุณอีก"
"จะบ้าไปแล้ว! คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณจะยอมให้นังนั่นฮุบเอามรดกของผมไปไม่ได้นะ"
"ใจเย็นๆครับคุณดนัย ผมขอบอกว่า เมื่อคำร้องของคุณยื่นมาให้ผมเรียบร้อยแล้วนั้น นั่นหมายความว่าภรรยาของคุณได้เป็นลูกค้าของเรา ยังไงซะ เธอก็ต้องมาเข้าเครื่องจักรนี้อย่างแน่นอน การทำงานของพวกเรา ยึดถือการทำตามคำมั่นสัญญาอย่างเคร่งครัด"
"แต่ เงินที่เธอเอามาให้คุณนั้น ก็เป็นเงินของผม"
"สำหรับข้อนี้ทางเราไม่รับรู้ด้วยครับ ขอแค่ให้มีเงินสดมาให้เรา เราก็จะทำตามสัญญาที่เราตกลงกันทันที คุณดนัย ผมก็ชอบคุณนะ ผมก็รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่น่าสงสาร แต่ ธุรกิจก็ย่อมเป็นธุรกิจ เราก็ต้องรักษาชื่อเสียงของเรา"
"ผมไม่ยอมหรอก!"
พูดจบดนัยก็รีบลุกออกจากเก้าอี้ และทำท่าจะรีบวิ่งหนีออกไปทางประตู ที่เขาเดินเข้ามา แต่เข้าไม่ทันสังเกตุเห็นชายร่างใหญ่ 2 คนที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลังของเขา นานแล้ว ทั้งสองล็อคแขนทั้งสองข้างของดนัยไว้
"ปล่อยๆ ปล่อยกู พวกมึงอยากได้เงินเท่าไหร่ 1 ล้าน? 2 ล้าน? หรือจะเอามากกว่านั้นก็ได้"
ไม่ได้ผล ชายคนหนึ่งที่ยืนล็อคแขนดนัย ใช้เทปกาวปิดปาก และใช้รัดแขนรัดขาจนดนัยไม่สามารถดิ้นได้
"เอายังไงครับนาย เราจะให้ดมยาสลบก่อนเอาเข้าเครื่องจักรมั้ย"
ชุบพงเดินมาใกล้ๆหน้าของดนัย ที่ถูกปิดปากด้วยเทปกาวไว้อย่างหนาแน่น แต่สายตาของดนัยยังคงจับจ้องมาที่หน้าของชุบพง
"คงไม่ต้อง... รู้อยู่ว่าค่ายาสลบมันแพง ใส่มันลงไปในเครื่องจักรทั้งแบบนี้เลย"
ดวงตาของดนัยเบิกกว้าง เมื่อได้ยินสิ่งที่ชุบพงพูด ชายทั้งสองลากปีกดนัยเตรียมใส่ในกล่องเหล็ก แต่ชุบพงรีบพูดขัด ก่อนทั้งสองจะจับดนัยยัดลงไปในกล่อง
"เดี๋ยว! ก่อนที่จะเอาลูกค้าเข้าเครื่องจักร แกะเทปกาวที่ปากมันออกด้วยนะ ชั้นอยากฟังเสียงร้องโหยหวน ในเวลาที่ร่างกายถูกใบมีดเฉือนฉีกขาด เสียงคงจะไพเราะน่าฟัง"
เป็นดั่งที่ชุบพงคาดไว้ เสียงร้องเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้น ก่อนที่ดนัยจะถูกนำตัวเข้าเครื่องจักร และเมื่อเสียงมอเตอร์หมุนสายพานเริ่มทำงาน เสียงกรีดร้องสุดสยองก็ดังออกมา แต่ดังได้ไม่นานก็เงียบ ก็คงมีแต่เสียงใบมีดที่สับกระดูกแตก และเสียงเชือดเฉือนเนื้อที่ดังเหมือนทุกครั้ง
ชุบพงนั่งตั้งใจฟังเสียงนี้อย่างตั้งใจ รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆกว่้างขึ้นๆ ตอนนี้เขาคงจะพอใจอย่างที่สุด เหมือนเด็กที่กำลังนั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรด เมื่อเสียงมอเตอร์หยุดทำงาน ถึงคราวที่เครื่องอบเนื้อมนุษย์จะทำงาน กลิ่นเนื้อไหม้อ่อนๆลอยมาแต่ไกล เขาพอใจกับกลิ่นนี้ และสูดดมมันเข้าไปเต็มปอด และสุดท้าย เสียงเครื่องอัดเนื้อบดอบให้กลายเป็นเม็ด ดังตึงตัง!
"ท่านครับ ได้แล้วครับ อาหารกลางวันของท่าน"
ชายที่ขนดนัยขึ้นไป เดินลงมาพร้อมกับจานใบใหญ่ ที่ปิดด้วยฝาครอบเหล็กไว้ เขาเดินมาที่โต๊ะของชุบพง และเปิดฝาครอบออกมา กลิ่นหอมคละคลุ้งจากจาน ทำให้ชายคนที่ยกมันมา โบ้ยหน้าหนี และทำท่าทางสะอิดสะเอียนไม่อยากสัมผัส ผิดกับชุบพงที่ทำสีหน้าพอใจกับ เม็ดเนื้ออบ ที่กำลังร้อนๆมีไอจางๆรอบข้าง ชุบพงก้มลงสูดกลิ่นดมอย่างเต็มที่ และเขาก็ใช้ช้อนที่อยู่บนจานนั้น ตักเม็ดเนื้ออบเข้าปาก พร้อมกับเคี้ยวมันอย่างอะเร็ดอร่อย