วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผู้ชาย 3 บาป


บาปสวาทของคนเจ้าชู้
ผมพยายามซ่อนสายตาตัวเองไม่ให้แช่ไปที่หญิงสาวผมยาวใส่แว่นกรอบหนานานเกินไปจนอาจจะทำให้เธอรู้ตัว สาวสวยคนนั้นเป็นพนักงานใหม่ที่มานั่งถัดจากโต๊ะทำงานของผมไปสามโต๊ะ ใบหน้าขาวสะอาดบวกกับดวงตาคู่นั้นทำให้ใจของผมกระชุ่มกระชวยตลอดวัน ความน่าเบื่อหน่ายในงานบัญชีที่ซ้ำซากจำเจทุกวี่ทุกวันไม่เป็นอุปสรรคให้ผมไม่อยากเดินเข้าออฟฟิศ เมื่อคิดว่าจะได้มาเจอเธอ
สายสุนีย์เป็นชื่อของเธอและผมจะจดจำมันไว้ไม่ลืมเลือน เธอเพิ่งเรียนจบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับเท่าไหร่ไม่รู้จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ผมไม่คิดจะเชิดชูความสามารถอะไรของเธอหรอก งานในออฟฟิศแบบนี้ใคร ๆ ก็สามารถทำได้หากฝึกงานมากพอ แต่ผมแอบปลื้มความสวยจากใบหน้าของเธอรวมถึงทรวดทรงที่ดูโอเวอร์ไซส์ทั้งบน กลางและล่างของเธอต่างหากล่ะ ผมแอบสังเกตบรรดาผู้ชายในออฟฟิศนี้ทั้งหนุ่มแก่ต่างก็แอบมองเธอทั้งสิ้น ทำไมผมจะไม่รู้ความคิดของคนเหล่านั้น ผู้ชายที่ไหนก็มักจะคิดคล้าย ๆ กันแหละ
แต่ผมคิดว่าผมได้เปรียบพวกเสือแก่และสมันน้อยตัวผู้ที่หวังจะมางาบแม่เนื้อทรายขาวอวบของผมไปได้ เพราะผมนั้นเป็นถึงผู้จัดการแผนกบัญชี และพนักงานใหม่คนนี้ก็เป็นเด็กฝึกงานในแผนกของผมเอง ผมคงจะสามารถทำความสนิทสนมและจะได้อยู่ใกล้ชิดเธอมากกว่าใคร ๆ ในที่นี้ บางทีผมอาจจะหยั่งเชิงโดยใช้คำพูดแทะโลมเธอดูว่าเธอจะเล่นด้วยหรือไม่ และอาจจะแกล้งทำเป็นแตะเนื้อต้องตัวเธอดูสักหน่อย แค่คิดถึงเนื้อนิ่ม ๆ ดูเต็มไม้เต็มมือของเธอแล้วก็ทำให้เลือดผมสูบฉีดทั่วเรือนร่าง
ผมจะพยายามโปรโมทเธอให้ดูว่ามีแววในการทำงาน จะทำให้เธอดูโดดเด่นกว่าเด็กฝึกงานอีกสองคนที่คนหนึ่งเป็นหนุ่มเด็กเนิร์ดอ้วนเตี้ย ผมหยิกหยอยหน้าสิวใส่แว่นตาทรงหยดน้ำไม่เข้ากับใบหน้า อีกคนหนึ่งเป็นตุ๊ดท่าทางเรียบร้อยดูมีความสามารถมาก แต่ผมคงจะไม่ทุ่มเทสอนงานให้คนเก่งหรอก ผมจะดันสายสุนีย์ให้หนักเลยต่างหากล่ะ ผมจะทุ่มเทสอนงานให้เธออย่างหนัก ไม่แน่นะผมอาจจะสอนงานให้เธอนอกเวลาด้วยก็ได้ ผมไม่เกี่ยงหรอก
แต่ตอนนี้ผมยังออกลายมากไม่ได้เดี๋ยวงูตื่น ผมต้องทำตัวให้เธอไว้ใจเสียก่อน หากมองเธอมากไปจะทำให้เธอรู้ตัวและเธออาจจะสร้างกำแพงอะไรสักอย่างมากั้นกลางระหว่างเราสอง หากมันเป็นแบบนั้นจริง แผนการที่ผมคิดจะแอ้มเธอนั้นคงไม่สำเร็จได้โดยง่าย

แม้ผมจะทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกในบริษัทที่ดูมั่นคง รายได้ต่อเดือนก็ปริ่ม ๆ แสน แต่ผมก็พยายามทำตัวให้เหมือนกับคนทั่วไปที่เงินเดือนหมื่นสองหมื่น นั่นคือผมจะเดินทางมาทำงานและกลับบ้านด้วยรถเมล์ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่ารถเมล์ช่วงก่อนเข้างานและหลังเลิกงานจะอัดแน่นไปด้วยคน และตึกสูงสามสิบชั้นที่ผมทำงานอยู่ก็มีแต่สาว ๆ ออฟฟิศกันทั้งนั้น ดังนั้นในรถเมล์หนึ่งคัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีสาว ๆ สวย ๆ สักสี่ห้าคนบนรถเมล์อย่างแน่นอน
ในตอนเช้าเมื่อผมเดินขึ้นบันไดรถมา สายตาเหยี่ยวของผมมองไปปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผมควรจะไปยืนตรงไหน แน่นอนว่าผมต้องทำเนียนไปยืนตรงข้างหญิงสาวสวย หรือบางวันโชคดีหน่อยอาจจะมีเด็กนักเรียนหน้าตาน่ารักยืนอยู่บนรถก็ได้ เมื่อผมไปยืนข้าง ๆ เธอ และเมื่อผู้โดยสารเริ่มเยอะขึ้น ผมก็จะได้เขยิบเข้าไปใกล้ชิดเธอด้วย ในจังหวะที่รถออกตัว บางทีข้อศอกของผมอาจจะไปสะกิดโดนเนื้อที่บนตัวเธอก็เป็นได้ หรือเมื่อรถเมล์เบรกแรง ๆ ต้นขาของผมก็อาจจะโน้มไปโดนส่วนสะโพกของพวกเธอ
ในตอนเช้ากลิ่นตัวของเหล่าสาว ๆ มักจะสดชื่นจากครีมอาบน้ำผสมน้ำหอม กลิ่นนี้แหละที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าได้ดีกว่ากาแฟเอสเปรสโซ่รสชาติเข้มข้นเป็นไหน ๆ ผมโปรดปราณรสสัมผัสนี้มากจนคิดว่าต้องตักตวงความหอมนี้ไว้ให้มากที่สุด เหมือนกับมันเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดไป ส่วนกลิ่นของผู้หญิงในตอนเย็นนั้นก็ให้สัมผัสของรสชาติที่ต่างกันออกไป มันเป็นกลิ่นของเหงื่อไคลที่ดึงดูดความสนใจของผมได้ดียิ่งนัก ความรัญจวนใจยามสูดกลิ่นแสนวิเศษนี้คงจะเหมือนกับสารฟีโรโมนของแมลงที่สร้างมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นอยากจะดึงดูดผมกันแน่นะ

เป็นธรรมดาของพนักงานออฟฟิศที่มักจะออกเที่ยวในคืนวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมมักจะรวมตัวกับเพื่อนอีกสองคนไปนั่งร้านหรู ๆ ดื่มอะไรเบา ๆ แกล้งทำเป็นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนด้วยประโยคคำถามสั้น ๆ และประโยคคำตอบที่สั้นกว่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ความจริงแล้วจุดประสงค์ของพวกเราก็คือมานั่งมองสาว ๆ ที่เข้ามานั่งในร้านต่างหากล่ะ
หญิงสาวหลายคนไม่ซ้ำหน้าในแต่ละอาทิตย์ต่างวนเวียนกันมาเพื่อเป็นอาหารตาชั้นเลิศให้พวกผม หลายครั้งพวกเราต่างผลัดกันโชว์ฝีมือ หากวันไหนฟลุ๊ค ๆ ก็อาจจะได้หญิงสาวติดไม่ติดมือไปก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะผมมักจะตกลงกับพวกเธอเหล่านั้นแล้วว่าความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ชั่วคราว ผมจะไม่ยอมให้สาว ๆ ประเภทนี้มาสร้างภาระผูกพันให้กับผมหรอก นั่นก็เพราะว่าผมต้องกลับบ้านในทุก ๆ คืนเพื่อไปดูแลภรรยาสาวแสนสวยของผมยังไงล่ะ
ละอองดาวคือภรรยาที่อายุอ่อนกว่าผมไปเกือบสิบปี เนื้อตัวเธอยังหลงเหลือความสาวไว้ให้ผมได้ลิ้มลองไปอีกนาน เราช่วยกันผ่อนคอนโดราคากลาง ๆ เพื่อไว้เป็นที่อยู่อาศัย เธอทำงานฟรีแลนซ์พวกออกแบบตกแต่งอะไรสักอย่างนี่แหละ
อย่างที่บอกว่าผมต้องกลับมาหาเธอทุกคืน และยังมอบรสสวาทให้เธออย่างเต็มอิ่มทุกครั้งก่อนนอนโดยไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว นั่นอาจเป็นเพราะผมต้องการปลดปล่อยอารมณ์จากภาพสาว ๆ ที่ผมเห็นในทุกวัน กลิ่นตัวของพวกเธอเหล่านั้นช่างเย้ายวนให้ผมค่อย ๆ สะสมความกำหนัดที่อยากจะแสดงออกในเรื่องนี้ รวมถึงเมื่อผมได้แอบไปสัมผัสเนื้อตัวพวกหญิงสาวที่พบเจอ มันเหมือนกับระเบิดภูเขาไฟที่เริ่มประทุขึ้น ๆ จนผมต้องระเบิดมันออกมาทุกวัน ๆ

วิถีชีวิตแบบนี้ผมพยายามทำให้มันดำเนินต่อไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้มันกระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยไม่จำเป็น ผมไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจผมมานานหลายวันแล้วก็คือ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเดินออกไปข้างหลังระเบียงห้อง พอมองไประเบียงของห้องข้าง ๆ ผมเห็นกางเกงในผู้หญิงสีชมพูมีลายน่ารัก ๆ พาดไว้กับเหล็กกั้นตรงระเบียง และในเวลานั้นมันดึกแล้ว ผมจึงแอบใช้ด้ามไม้ถูกพื้นแอบสอยมันมาสำรวจดู ผมใช้มือขยี้กางเกงในผืนนั้นและจับมันยัดจมูกผมพร้อมสูดดมมันเต็มลมหายใจ
อารมณ์ความเสียวซ่านมันโผล่มาอีกแล้ว ทุกอณูสัมผัสในร่างกายของผมถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นสาวจาง ๆ ที่ยังคงหลงเหลือแม้จะถูกซักล้างด้วยผงซักฟอก ผมคงจะบ้าตายแน่ ๆ ถ้าหากไม่ได้ไปทำความรู้จักกับสาวข้างห้องที่ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่เซ้นส์เรื่องการดมกลิ่นของผมที่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ผมพอเดาอายุของเธอและรูปร่างหน้าตาของเธอได้ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน

บาปสวาทของชายสำนึกผิด
เป็นเรื่องที่แปลกดีที่จะมีใครมานั่งดื่มกินในร้านเหล้าคนเดียวในบรรยากาศที่ครึกครื้นสนุกสนาน ผมมานั่งที่นี่ก็เพราะเธอ แต่ว่าผมไม่ได้มานั่งรอเธอหรอก ผมแค่มารำลึกถึงความหลังที่เคยมาที่นี่กับเธอ
สายสุนีย์เป็นหญิงสาวที่ดีกับผมมาก ๆ เราคบกันตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย เพราะเธอผมจึงเลิกเป็นเด็กเกเรหันมาตั้งใจเรียนหนังสือจนจบได้ และที่สอบเข้ามหาลัยได้ก็เป็นเพราะการคะยั้นคะยอให้ผมอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะเดียวกับที่เธอเรียน และก็เป็นเธออีกที่ทำให้ผมเรียนจบด้วยคะแนนค่อนข้างจะดี ผมยอมรับได้อย่างไม่อายปากเลยว่าถ้าไม่มีเธอ ผมก็คงไม่ได้มายืนตรงจุดนี้ อย่างดีที่สุดผมก็เป็นได้แค่เด็กเข็นผักในตลาด หรืออาจจะเป็นได้แค่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตลาด
ความดีของเธอนั้นมากมายเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจะมีให้กันได้ ในยามที่ผมป่วยก็เป็นเธอนี่แหละที่คอยดูแลหาหยูกหายาป้อนข้าวป้อนน้ำ ความดีที่เธอมีให้ผมนั้นมันมีค่ามากกว่าคำว่าคู่ชีวิตเสียอีก หากผมได้แต่งงานกับเธอ สายสุนีย์ก็จะเป็นภรรยาที่แสนวิเศษคนหนึ่งที่ชายหลายคนต่างไขว่คว้าหา แต่ทว่าผมและเธอก็ไม่ใช่คู่ชีวิตกัน หากว่ามีการจับคู่มาแล้วจากพรหมลิขิตนะ
เมื่อผมเรียนจบออกมาก็เริ่มหางานทำ ในตอนนั้นเรายังคบกันอยู่อย่างเปิดเผย เธอได้งานที่ดีทำเพราะคะแนนเกียรตินิยมของเธอจากมหาลัยที่มือชื่อเสียง แม้จะอยู่ในขั้นทดลองงานในแผนกบัญชี แต่เธอก็ได้ค่าตอบแทนสูงมากเพราะบริษัทที่เธอทำงานนั้นใหญ่โต ผมเริ่มรู้สึกละอายที่จะขอความช่วยเหลือจากเธออีก ผมจะกล้ามองหน้าใครได้เล่าว่าเกาะผู้หญิงกินเพราะผมยังตกงาน ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนสำหรับสองคนมันคงดูลำบากเมื่อเงินนั้นมาจากเธอคนเดียว และสิ่งนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจตีตัวออกห่างจากเธอ
ผมไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเธอเศร้าโศกเสียใจ สายน้ำตาใส ๆ ของเธอคงจะทิ่มแทงจิตใจของผมให้ดำดิ่งลงไปความกับเลวทรามในครั้งนี้ ผมเก็บข้าวของออกจากห้องพักเล็ก ๆ ที่เธอเป็นผู้เช่าในขณะที่เจ้าของห้องออกไปทำงาน ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ทันทีเหมือนกับตัดทิ้งอดีตที่ผมอยากหลบหนี ผมอยากจะหลบหนีอดีตที่ดูน่าอดสูนี้ไปสู่โลกใบใหม่ของผมที่ดูมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีกว่าเดิม
ละอองดาวคือหญิงสาวคนใหม่ที่อายุแก่กว่าผมไปกว่าสิบปี แต่เพราะเธอยังดูสาวสวยและเก่ง ทำให้ผมพร้อมที่จะยอมรับใช้เธอโดยการแลกกับค่าตอบแทนที่ดูสมน้ำสมเนื้อนี้
เธอทำงานด้านการออกแบบและจัดงานอีเวนท์ ซึ่งผมเข้ามาช่วยงานเธอในฐานะเลขาหนุ่มไฟแรงดูกระฉับกระเฉง แม้ในช่วงปีแรก ๆ ผมจะยังไม่เป็นงาน แต่ด้วยการคลุกคลีกับแวดวงธุรกิจบวกกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของผม จึงทำให้หลาย ๆ คนต่างไว้ใจให้ผมทำงานชิ้นสำคัญ โดยเฉพาะละอองดาวที่โปรโมทผมอย่างออกนอกหน้านอกตาจนผมเลื่อนขึ้นมาเป็นมือขวาของเธอในที่สุด
ทั้งรถยนต์ป้ายแดงเธอก็เป็นคนผ่อน อพาร์ทเมนท์ที่ดูกว้างขวางและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเธอเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้ ผมสามารถมีเงินไปกินร้านอาหารหรู ๆ ได้ไม่อายใคร ผมสามารถพาครอบครัวเดินทางไปเที่ยวได้เหมือนครอบครัวอื่น ๆ ผมมีเงินส่งให้พ่อแม่ได้คงจะทำให้ผมดูเป็นลูกกตัญญูบ้าง
ผมไม่ขัดเขินหรอกที่จะบอกว่าในบางครั้งที่ผมติดตามละอองดาวไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะต้องตอบแทนเธอด้วยการเป็นคู่นอนให้เธอ นั่นไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรหรอก ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องตอบแทนเธอบ้างแค่นั้นเอง

แต่ความเคยชินในการใช้ชีวิตที่เป็นแบบคนชั้นกลางทั่วไปสำหรับผมมันคงดูน่าเบื่อแล้วล่ะ ชีวิตที่ไร้สีสันแม้จะสุขสบายแต่ก็ดูจืดชืด ผมอยู่ในแวดวงธุรกิจนานพอที่จะทำให้รู้จักผู้คนมากมายหลากหลายชนชั้น ดลฤดีคือเศรษฐีนีตัวจริง เธอเป็นหม้าย แม้เธอจะแก่กว่าผมถึงสามสิบปี แต่ในยุคสมัยนี้ที่เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคต่อการคบหา และยิ่งผมฝันถึงการใช้ชีวิตแบบหรูหราเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป การได้นั่งเรือยอร์ชลำใหญ่ออกทะเลในฐานะเจ้านายที่มีคนนับสิบมาคอยบริการ อาหารดี ๆ ราคาแพง ๆ ในภัตตาคารชั้นหนึ่งคงจะมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้สัมผัส ชีวิตในฝันที่ใคร ๆ หลายคนคงได้แค่ฝัน แต่ผมนั้นมีโอกาสที่จะได้สัมผัสมันแล้ว
ผมไม่รู้สึกเสียดายรถกระป๋องที่ขับไปทางไหนก็จะเจอแต่พวกเดียวกันหรอก ห้องอพาร์ทเมนท์มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่มีทุกอย่างอยู่ในนั้น ผมไม่แม้แต่จะเขียนใบลาออกจากบริษัทของละอองดาว

บาปสวาทของชายบนหอคอย
บางทีผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อบนโลกนี้ไปเพื่ออะไร ผมไม่มีความท้าทายอะไรใหม่ ๆ เลยในชีวิต หลังจากที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มาแล้วอย่างมากมาย ธุรกิจโรงแรมที่มีสาขาเกือบจะทุกจังหวัดก็ให้ผลตอบแทนมากมายจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร พอร์ทหุ้นนี่แค่เทขายให้หมดก็สามารถซื้อกิจการขนาดกลางได้อย่างสบาย ๆ หนึ่งแห่ง ไม่นับรวมพวกธุรกิจขายปลีกยานยนต์ที่ผมผูกขาดตลาดในจังหวัดใหญ่ ๆ ไว้หมดแล้ว
ในทุก ๆ เช้าผมตื่นมาเปิดดูราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีใจตื่นเต้นอะไร ผมแค่เปิดดูมันเพราะเป็นความเคยชินที่ทำแบบนี้ทุกเช้ามากว่า 40 ปีแล้ว และถึงแม้พวกหุ้นเหล่านี้จะดิ่งลงเหวแค่ไหน ผมก็คงไม่สะทกสะท้านอะไรกับมัน ผมยังเบื่อหน่ายธุรกิจโรงแรมที่มีแต่สร้างผลกำไรด้วยตัวเลขเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยอดขายรถก็ยังขายได้เรื่อย ๆ แม้ว่าผมจะโก่งราคาขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตาม ความท้าทายในชีวิตของผมมันผมมันหมดลงไปแล้ว และผมยังเบื่อเมียของผมอีกด้วย
เมียของผมเป็นหมัน เราจึงไม่มีทายาททางธุรกิจ ผมไม่มีญาติอะไรที่ไหนที่จะมารับช่วงต่อทางธุรกิจได้เลย  มีแต่ญาติทางเมีย ดังนั้นเมื่อผมเสนอจะยกธุรกิจทั้งหมดให้เมีย รวมถึงพอร์ททั้งหมดให้เธอครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เมียของผมจึงรีบรับข้อเสนอหย่าโดยไม่มีการง้องอนอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ผมหย่ากับเธอโดยไม่มีกรรมสิทธิ์อะไรเป็นของผมเลย มีแต่ทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ติดตัวมารวม ๆ ก็เกือบร้อยล้านได้
ความท้าทายใหม่ของผมในตอนนี้คือ ผมอยากจะไปทำธุรกิจเล็ก ๆ ตามจังหวัดที่ติดเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 30 จังหวัด ผมอาจจะลงทุนที่ละ 3 ถึง 5 ล้านบาทแล้วแต่สถานที่ ผมจะใช้ประสบการณ์ที่ผมมีในการทำโฮมสเตย์ขนาดกลาง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะไหลทะลักเขามาตามแนวชายแดน
กลยุทธ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผมคือ ในทุกที่ที่ผมไปลงทุน ผมจะหาผู้หญิงสาวมาทำเมียเพื่อคอยดูแลธุรกิจใหม่ที่ผมสร้างขึ้น เผื่อบางทีพวกเธอเหล่านั้นอาจจะสร้างทายาทของผมขึ้นมาและสืบทอดธุรกิจเล็ก ๆ นั้นก็เป็นได้
การมีเมียพร้อมกันทีเดียวถึง 30 คน และต้องคอยบริหารเวลาให้เท่าเทียมกันเป็นความท้าทายใหม่ของผมที่น่าตื่นเต้น ผมคิดว่าดลฤดีเมียเก่าของผมคงจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเราต่างก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไปแล้ว หากเธอจะมีผู้ชายคนใหม่อีกกี่คนก็เป็นเรื่องของเธอเอง

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Candy Crush Saga เกมเชื่อมใจ


และแล้วในที่สุดผมก็แซงทุกคนได้แล้วบนถนนสายนี้ ถนนที่ว่านี้ไม่ใช่ถนนหลวงหรอก ผมไม่ได้ขับขี่รถราแข่งอะไรกับใคร ถนนสายที่ผมพูดถึงนี้มันคือแผนที่ในเกมแคนดี้ ครัชที่เล่นผ่านเฟซบุ๊คต่างหากล่ะ เกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกน่าจะหลักพันล้านคนเข้าไปแล้ว แต่เราเองไม่ได้ไปเล่นแข่งกับคนพันล้านกว่าคนนั้นหรอก เราแข่งกับเฉพาะเพื่อน ๆ ของเราที่เล่นเกมนี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเริ่มแรกผมเห็นเพื่อน ๆ ผมหลายคนในเฟซบุ๊คเล่นเกมนี้ บางคนก็ค่อย ๆ ผ่านด่านไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ผ่านในแต่ละเอพพิโสดไป แต่พอผ่านไปนานวันเข้าเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มหยุดเล่นกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านด่านอีกต่อไป หรืออาจจะเป็นว่าด่านหลัง ๆ ที่ออกมาใหม่จะยากเกินไปจนคนท้อไปเอง พวกเขาบางคนอาจจะไปหาเกมใหม่ ๆ มาเล่นก็ได้ จนกระทั่ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเพื่อน ๆ คนไหนขยับเข้ามาใกล้รัศมีสิบเอพพิโสดของผมเลย ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลายเดือนก่อนเธอคนนี้เคยผ่านด่านนำหน้าผมไปสามเอพพิโสด เมื่อผมเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมมีแรงฮึดที่จะพยายามเอาชนะและไล่แซงเธอให้ได้

มีความลับหนึ่งที่ผมอยากจะบอก คือที่ผมสามารถตะลุยผ่านด่านมาได้สองพันห้าร้อยกว่าด่านนี้โดยนำคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น นั่นเป็นเพราะผมใช้วิธีโกงเวลา เพราะในเกมแคนดี้ ครัชนี้จะมีหัวใจให้เราใช้เล่นห้าดวง หากเล่นแพ้ในแต่ละเกมก็จะเสียไปหนึ่งหัวใจ หากแพ้ห้าเกมหัวใจก็จะหมด เราต้องรอเวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อจะได้หัวใจมาหนึ่งดวง ผมจึงไปแก้เวลาของสมาร์ทโฟนให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เท่านั้นเองหัวใจเราก็จะเต็ม เราก็สามารถไปแก้เวลากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งตอนนั่งรถเมล์ ตอนกำลังกินข้าว ก่อนเข้านอน หรือจะเป็นตอนแอบเจ้านายเล่นในที่ทำงานก็ตาม
และจากการตรากตรำตะลุยเล่นมาราธอนของผมนั้น ทำให้มีครั้งหนึ่งผมสามารถเล่นแซงเธอได้สำเร็จ เมื่อนั้นเราสองคนก็ผลัดกันแซงผลัดกันตามอย่างไม่มีใครยอมใครเลย บางครั้งผมเห็นเธอหยุดเล่นนานหลายวันไม่ขยับไปไหน แต่พอผมเล่นผ่านด่านจี้เข้าไปใกล้เธอ ปรากฏว่าเธอเล่นผ่านไปอีกสิบด่านรวดอย่างไม่ยอมให้ผมตามเธอทัน ผมคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชายโสดอย่างผมเลยครับ ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ เขาบ้าง ได้หัวเราะได้ลุ้นตามอยู่หน้าจอโทรศัพท์อยู่คนเดียว ได้แอบเฝ้าคิดว่าผมและเธอนั้นได้รู้จักสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
ใช่ครับ ผมไม่รู้จักกับเธอ ไม่เคยคุยไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยทักแชทกับเธอเลยสักครั้งเดียว สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอนั้นคือรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะดูจากรูปโปรไฟล์ ผมจำไม่ได้ว่าผมรับแอดเธอเป็นเพื่อนจากที่ไหน อาจจะเป็นกลุ่มอะไรสักอย่างที่ผมชอบเข้าไปอ่านนู่นอ่านนี่ตามประสา และในตอนนั้นเธอก็กดรับผมเป็นเพื่อนโดยที่เราทั้งสองก็ไม่ได้คุยแนะนำตัวอะไรกัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธอแทบจะทุกวัน ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอว่าในแต่ละวันเธอจะทำอะไรบ้างนะ อยากรู้ว่าเจ้าของไทม์ไลน์จะไปเช็คอินที่ไหน ไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ กับใครบ้าง อยากรู้ว่าเธอคนนั้นมีไลฟ์สไตล์แบบไหนกัน แต่น่าเสียดายที่เธอคนนี้เป็นคนที่ไม่โพสท์เรื่องส่วนตัวลงในเฟซบุ๊คเลย ล่าสุดที่เธอโพสท์เรื่องส่วนตัวก็เป็นงานเลี้ยงที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานหลายปีมาแล้ว

ผมแปลกใจที่ทำไมผมต้องคิดถึงเธอด้วยนะ ผมมัวแต่เฝ้าคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ อาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้ หรืออาจจะเลิกเล่มเกมนี้ไปแล้วเพราะรู้สึกท้อกับความยากของเกม แล้วถ้าหากเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเธอล่ะ จนทำให้เธอไม่มีแก่จิตแก่ใจมาเล่นเกม ไม่รู้สินะ มันอาจจะเป็นเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมให้กำลังสนใจ เพราะในชีวิตประจำวันของผมนั้นมันช่างซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่ายจนชวนจะอาเจียนเสียด้วยซ้ำ
อาชีพของผมคือเป็นยามเฝ้าหน้าหมู่บ้าน คอยเปิดเหล็กกั้นให้รถที่ผ่านไปมาและยังต้องทำท่าตะเบ๊ะให้ผู้ขับขี่ทุกคนอีกด้วย พอเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับห้องพักเล็ก ๆ ที่ผมเช่าไว้ไม่ไกลจากที่ทำงาน ชีวิตหลังเลิกงานของหนุ่มโสดที่ไม่ค่อยจะมีเงินนั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ บางวันหลังจากง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นและกินมันก็เป็นเวลาว่างที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายของผมไป จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ผมไปซื้อสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงมาใช้และได้ดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่น นั่นทำให้ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อของผมนั้นถูกฆ่าตายไปอย่างมากมาย จนผมไม่เหลือช่วงเวลาเหล่านั้นให้ต้องนั่งทรมานกับมันอีกแล้ว
ความจริงแล้วการเล่มเกมที่แข่งขันเรื่องสถิติกับผู้อื่นมันควรจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นสิ ผมคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องคิดถึงผมอยู่บ้างแหละ เพราะเราก็ยังเห็นกันและกันว่าใครเล่นไปถึงด่านไหนแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแซงก็พยายามแซงคืน ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่เธอยังคงเล่นเกมแคนดี้ ครัชในก่อนหน้านี้โดยที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย หรือว่าบางทีอาจจะมีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊คของเธออีกหลายสิบคนที่กำลังเล่นแข่งกับเธออีกก็เป็นได้ ส่วนตัวผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ใช่สินะ เพราะเพื่อน ๆ ผมในเฟซบุ๊คมีแค่ประมาณสี่ห้าสิบคน แต่เพื่อนของเธอมีหลักพันขึ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกกระสับกระส่ายหัวใจกับการหายตัวไปของเธอ แต่ผมก็คงจะทำได้แค่เพียงเล่นเกมนี้ต่อไป และเข้าไปดูว่าอันดับของเธอขยับบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่ขยับเลย ผมยังเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีก แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเช่นกัน ผมพยายามข่มใจเล่นเกมโดยไม่นึกถึงเธอ

หลายสิบวันมานี้ผมทำกิจวัตรเหมือนทุก ๆ วันโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย คงมีแต่หัวใจที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวลถึงเธอคนนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ทำไมไม่ลองทักเธอไปทางกล่องข้อความดูนะ แต่จะเริ่มบทสนทนาว่าอะไรดีล่ะ หรืออาจจะแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปน่ารัก ๆ ไปก็พอ แต่นั่นจะทำให้เธอตกใจและบล็อกผมไปหรือเปล่าล่ะ ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีกครั้ง และโพสท์ล่าสุดของเธอก็ยังเป็นงานเลี้ยงในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอจะยังทำงานอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เมื่อสังเกตป้ายผ้าที่อยู่ในภาพดี ๆ ผมเห็นโลโก้ของโรงงานเป็นรูปฟันเฟืองซ้อนกันสองอัน เห็นชื่อของโรงงานลาง ๆ ไม่ชัดเจน เห็นแค่ตัวอักษรสองสามตัวหน้า และในป้ายผ้านั้นทำให้ผมรู้ว่าโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลวกแดง จังหวัดระยอง
หัวใจของผมพองโตเป็นสองเท่าจากเดิม แต่สักพักมันก็กลับมาห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม ขนาดแค่จะทักไปทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คยังไม่กล้า แล้วนี่จะไปตามหาถึงโรงงานที่เธอทำงานอยู่  ผมอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาโรคจิตก็เป็นได้ จะทำอย่างไรดีล่ะ จะไปหาเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวหรือเปล่า เบาะแสมีแค่โลโก้โรงงานพร้อมตัวอักษรชื่อไม่กี่ตัว สถานที่พอรู้คร่าว ๆ รูปหน้าของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว อ้อ... ยังมีชื่อจริงของเธออีกทีใช้เป็นชื่อในเฟซบุ๊ค หากเธอไม่ใช้ชื่อปลอมมาเล่นนะ ผมพยายามสะกดชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษของเธอด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผม ผมแกะชื่อ Chutima Khunpraman แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรดี
ผมยังไม่รีบเดินทางไปตามหาเธอทันทีหรอก ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก คงได้แค่คิด
“จะให้ผมแลกเวรกับไอ้เวย์หรือครับหัวหน้า” ผมพูดเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปคุย
“ใช่ พอดีมันมีธุระต้องกลับต่างจังหวัด จะขอแลกเวรแกสองเวร ทำไหวมั้ย” หัวหน้าตอบ
ผมกำลังคิดว่าถ้าแลกตามนี้ ผมจะได้หยุดงานต่อเนื่องสองวัน และถ้าผมขอแลกเวรช่วงวันหยุดเพิ่มนั้นด้วยอาจจะได้หยุดถึงสามวัน ข้อเสนอนี้ก็ดีเหมือนกันผมอาจจะได้หยุดพักผ่อนยาวไปเลย หรือว่าบางทีผมอาจจะไปตามหาเธอดูดีนะ

เมื่อมาถึงวันหยุดยาวของผมที่ผม สรุปว่าผมได้หยุดยาวสามวัน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้เลยว่าจะเอายังไงดี จะหยุดพักผ่อนหรือจะลองนั่งรถไปปลวกแดงดี ใจหนึ่งก็คิดว่าก็ถือว่าไปเที่ยวล่ะกัน หากเปลี่ยนใจหรือหาโรงงานของเธอไม่ได้ก็คงจะหาที่เที่ยวแถวนั้นได้ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็เก็บกระเป๋าไว้รอเตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า
ตื่นเช้าผมรีบนั่งรถเมล์ไปสถานีขนส่ง นั่งรถต่อไปจากตรงนี้ก็ประมาณสี่ชั่วโมงเองก็ถึงตัวจังหวัด และต่อรถไปปลวกแดง
เมื่อก้าวเท้าลงรถเหยียบอำเภอปลวกแดง นั่นทำให้ผมถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว ผมมองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา รถวิ่งไปมา และผมก็เหลือบไปเห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ
“ไงไอ่หนุ่ม จะไปไหน” ลุงวินถาม
ผมยังไม่รู้จะถามอะไรดี จึงลองหยั่งเชิงไปก่อน “ถ้าจะไปแถวที่มีโรงงานเยอะ ๆ ต้องไปแถวไหนครับ”
ลุงวินฉีกยิ้มกว้าง “จะมาหางานทำเหรอ จะไปโรงงานอะไรล่ะ”
ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิดรูปภาพของเธอขึ้นมา พยายามซูมไปให้เห็นเฉพาะโลโก้ของโรงงาน แต่ก็ยังติดภาพใบหน้าของเธอไปด้วย
“ผมไม่ได้มาหางานทำหรอกครับ” ผมพูดความจริง
ลุงวินจ้องมองดูภาพในหน้าจอและก็ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง “มาตามหาแฟนเหรอ”
จากนั้นลุงก็หุบยิ้มเหมือนสะเทือนใจ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เผลอพยักหน้าไปเล็กน้อย
“ลุงรู้จักโรงงานแห่งนี้ ไปจากนี่ไม่ไกลหรอก”
หัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ความดีใจก็มาพร้อมกับความประหม่าด้วย เฝ้าคิดกังวลว่าถ้าไปถึงโรงงานแล้วจะทำอย่างไรต่อนะ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ ผมยังคงทำหน้าหงอย ๆ อยู่
“ลุงคิด 30 บาทละกัน ลุงเห็นแบบเอ็งมาเยอะแล้ว” ลุงพูดเสร็จก็สตาร์ทรถพาผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานลุงวินก็มาจอดรถหน้าโรงงาน ผมจ่ายเงินและพูดขอบคุณลุง จากนั้นผมมองไปยังประตูทางเข้าที่มีตู้ยาม ผมไม่รู้จะผ่านเข้าไปในรั้วโรงงานได้อย่างไร
“มาติดต่ออะไรครับ” ยามชะโงกหน้าออกมาจากป้อมถามผมที่ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“พอดีมาสมัครงานครับ นัดสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลไว้” ผมตอบพลางชมตัวเองอยู่ในใจว่าไหวพริบดีนะเนี่ย
“ผมขอแลกบัตรด้วยครับ” ยามในป้อมพูดเสร็จก็ก้มหยิบบัตรจากซองเอกสารขึ้นมา ผมหยิบบัตรประชาชนแลกกับเขาไป เมื่อได้บัตรมาแนบติดหน้าอกผมก็ทำท่าจะเดินจากไป
“แผนกฝ่ายบุคคลอยู่ชั้นสองตึกเอครับ” ยามประจำป้อมพูด ผมหันมาขอบคุณเขาก่อนที่จะเดินต่อ
ผมเดินเข้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาโดยไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครงานหรือสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่หน้าห้องฝ่ายบุคคลมีบอร์ดขนาดใหญ่พร้อมป้ายรูปพนักงานตามระดับชั้นแปะอยู่ ผมคิดว่านี่คือด่านแรกที่จะตามหาเธอได้ หากว่าเธอจะมีรายชื่ออยู่ในนั้น
ชุติมา ขุ่นประมาณ ผมไล่ดูภาพของพนักงานจากทุกระดับ และก็มาสะดุดกับใบหน้าของบุคคลในชื่อนี้ มันเป็นเหมือนกับความสำเร็จในการค้นหาที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเจอ ผมไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ คนที่เห็นอยู่ในเกมที่แค่เล่นแข่งกันไปวัน ๆ ไม่เคยคุยไม่เคยทักทายกันเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอคนนั้นกับอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว
เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล ซึ่งถ้าหากผมอยากจะเจอเธอจริง ๆ ผมคงต้องมาสัมภาษณ์งานกับเธอ แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกับคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อน ผมจะมาสมัครงานอะไรที่นี่ได้ล่ะนอกจากตำแหน่งยาม
แต่คิดไปคิดมา จุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการที่จะรู้แค่ว่าเธอสุขสบายดีอยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ใช่เหรอ ให้ได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรไป การที่เธอยังมีรูปแปะที่หน้าบอร์ดนี้ก็คงจะทำให้แน่ใจได้แล้วว่าเธอยังสุขสบายดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมแอบกังวลใจก่อนหน้านี้ มันก็ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วสินะ ผมควรจะกลับได้แล้ว

ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีก็จะพักเที่ยงแล้วนี้ อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คงจะกรูกันออกมา ไม่แน่นะว่าบางทีเธออาจจะเดินผ่านผมไปก็ได้ ภาพใบหน้าที่เคยเห็นแต่ในรูปและจินตนาการกำลังจะกลายเป็นภาพคนจริง ๆ ออกมาให้ผมเห็น
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนยากที่จะข่มใจให้เย็นลงได้ ยากเกินกว่าที่จะบังคับจิตใจให้เดินหันหลังกลับออกไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ใจหนึ่งก็อยากจะยืนรอคนที่ผมอยากเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าผมจะทำหน้าอย่างไรดี จะค่อย ๆ แอบมองดีไหมนะ หรืออาจจะทำเป็นแกล้งชะเง้อมองหาใครสักคน และแอบลอบมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นมองคนอื่นต่อไป
ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมตัวทัน บานประตูห้องเปิดออก พนักงานสาวหลายสิบคนทยอยกันเดินออกมา ผมยังคงเป็นทำทีมองที่บอร์ดหน้าห้อง แต่ก็พยายามสลับหันไปมองคนที่กำลังเดินตรงออกมาจากประตู จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อหลาย ๆ คนเดินผ่านไปโดยที่ยังไม่พบเป้าหมาย
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนผมอยากจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเสียงปิดประตูดังทำให้ผมใจหาย คงจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินออกไปจากสถานที่ตรงนี้แล้ว ผมบ่ายหน้าออกไปโดยไม่พยายามหันไปมองทางต้นเสียงนั้น แต่ทว่าเสียง ๆ หนึ่งกับหยุดความคิดทั้งหมดของผมไว้
“มาสัมภาษณ์งานหรือคะ”
เสียงใสแว่วดังมา ผมหันไปมองหน้าเธอ
“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมมาสัมภาษณ์งาน”
สิ้นเสียงพูด ผมรู้สึกตำหนิตัวเองว่าทำไมจะต้องไปย้อนถามเธอนะ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน แล้ววันนี้ช่วงบ่ายเราเปิดนัดสัมภาษณ์งานค่ะ แต่ เอ... ดูหน้าคุณคุ้น ๆ จังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ”
หญิงสาวคนที่ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มายืนพูดคุยกัน แต่ตอนนี้เธอยืนต่อหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และคำพูดที่บอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจจะเห็นรูปโปรไฟล์ของผมและจำมันได้ นั่นหมายความว่าเธอและผมนั้นแข่งกันเล่นเกมจริง ๆ ผมไม่ได้นั่งคิดไปเองคนเดียว
มาถึงตรงนี้ผมคิดแล้วล่ะว่า ความรู้สึกในตอนนี้มันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เคยขึ้นในรอบหลายปีมานี้ ผมคงจะเดินออกจากตรงนี้แล้วนั่งรถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้วล่ะ ความฟุ้งซ่านและพะว้าพะวงก่อนหน้านี้มันได้หายไปหมดสิ้นแล้วนี่
“ผมคงจะหน้าโหลมั้ง ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานหรอกครับ พอดีแค่มาหาดูประกาศตามโรงงาน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มเธอยังไม่จาง แต่ผมต้องละสายตาจากเธอแล้ว ไม่รอช้าผมเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากตึก

ร้านอาหารยามค่ำคืนในบรรยากาศสดชื่น ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักหรอก คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้ ผมพยายามนั่งฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นเพลงเบา ๆ อยู่บนเวที หูของผมได้ยินเสียงนั้นแต่ทว่าสมองไม่สามารถแปลความหมายของเพลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั่งในโต๊ะคนเดียว มีอาหารสำหรับคน ๆ เดียว เครื่องดื่มสำหรับคน ๆ เดียว และบทสนทนาสำหรับคน ๆ เดียว นั่นก็คือความเงียบนั่นเอง สาเหตุที่ไม่รู้ว่าวงดนตรีนั้นร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นเพราะใจของผมมัวแต่คิดถึงเธอคนนั้น
น่าแปลกทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าการที่ได้มาเจอเธอ ได้ยินเสียงพูดของเธอนั้นควรจะทำให้ผมโล่งใจ เพราะความคาดหวังในการมาที่นี่ก็มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ แต่นี่ผมกลับว้าวุ่นใจมากขึ้นเป็นเพราะเหตุใดกัน หรืออาจเป็นเพราะว่ารอยยิ้มและ อัธยาศัยที่เธอมอบให้มันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน แม้ช่วงเวลานั้นมันจะแค่สั้น ๆ ก็ตาม
ในหัวของผมคงมีแต่ใบหน้าของเธอหรอกหรือ แม้แต่ลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านผมยังมองเห็นเป็นหน้าของเธอเลย ให้ตายสิครับ!
แต่ เอ๊ะ... นั่นมันเธอจริง ๆ นี่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้เธอมองเห็น แต่ไม่สำเร็จ เธอปลีกตัวจากเพื่อน ๆ ที่เดินมาด้วยกันและเดินมาทางผมแล้ว
“อ้าว... คุณนี่เอง”
“อ่ะ... ครับ สวัสดีครับ” ผมเลี่ยงตอบไม่ได้
“มาคนเดียวหรือคะ” เธอถามพร้อมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผม แต่เรื่องนี้ผมยินดีอยู่แล้ว และความจริงผมเขินอายเกินกว่าที่จะเชิญเธอนั่ง
ผมก้มหน้าลงมองบนโต๊ะที่มีอาหารสำหรับคนเดียวก่อนจะพูด “ผมมาคนเดียวครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเคยเห็นรูปหน้าคุณในเอกสารสมัครงาน แต่ว่ามันไม่ใช่ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณจากที่ไหน” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มใส
หัวใจผมเต้นแรงยิ่งขึ้นจนต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำมาจิบ แต่นั่นคงจะทำให้ผมยิ่งดูประหม่ายิ่งขึ้นจนเธอสังเกตได้โดยง่าย
“คุณเคยเห็นผมที่ไหนเหรอครับ” พูดเสร็จผมก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
“เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คยังไงคะ และคุณก็เล่นเกมแคนดี้แซงหน้าฉันไปไกลแล้วด้วย”
ผมแทบจะสำลักน้ำเพราะสิ่งที่เธอพูด ยังไม่วายมีน้ำกระฉอกออกมาทางจมูกนิดหน่อย ผมรีบหยิบผ้าเช็ดปากที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ทำทียกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก แต่ความจริงต้องการเช็ดน้ำที่ออกมาจากรูจมูกต่างหากเล่า ผมอยากจะถามใจจะขาดว่าทำไมเธอถึงหยุดเล่นไป แต่ก็กลัวเธอจะคิดว่าผมอุตส่าห์ถ่อมาเพื่อถามเรื่องนี้กับเธอ
“พอดีฉันเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง เลยมีงานให้เคลียร์แทบจะทุกวันเลยค่ะ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังต้องมานั่งดูเอกสาร ช่วงพักก็หลับอยู่บ้านคนเดียว”
ผมหูผึ่งกับคำว่า อยู่บ้านคนเดียวเธอยังไม่มีแฟน ยังไม่มีครอบครัว แต่ว่าผมจะคิดเรื่องนี้ไปทำไมกัน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
“คงจะอีกสักเดือนหรือสองเดือนงานถึงจะเริ่มคลายตัวลงหน่อย ถึงเวลานั้นเราคงจะได้มาเล่นเกมแข่งกันอีกแน่ ๆ ค่ะ”
ความรู้สึกปราบปลื้มใจที่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด นั่นแสดงว่าเธอยังให้ความสนใจในการแข่งเล่นเกมกับผมอยู่
“คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกฉันกะว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่เห็นว่ายังมีคนค่อย ๆ ไล่ตามฉันมา ฉันเลยมีแรงฮึดสู้เล่นต่อไป”
ผมนั่งคิดอะไรในหัวคนเดียว คิดแปลกใจว่าทำไมความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกถึงบังเกิดขึ้นใจจิตใจของผม  หรือเพราะว่าผมกับเธอนั้นไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน รสนิยมและฐานะทางสังคมมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เลย
“มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ ที่เราสองคนได้มาเจอกันโดยบังเอิญ ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คได้อย่างไร เราไม่เคยคุยกันเลย แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมนั่งฟังเงียบ ๆ และเริ่มเคลิ้มจนเกือบจะทำสายตาซาบซึ้งออกไป เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมแอบขำกับคำพูดนี้ในใจคนเดียว เคยมีนักอะไรสักอย่างเคยพูดไว้ว่า ชายกับหญิงไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอน และผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ผมเคยแอบปลื้มและเคยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้หรอก ผมจะมีเรื่องอะไรไปคุยกับเธอล่ะหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน จริงสินะ ผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ
“ว่าแต่คุณ...”  เธอพูดขึ้นมา
ผมพอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทขึ้นก่อน “พอดีผมมีธุระครับ ต้องรีบขอตัวไปก่อน” เธอนิ่งไปเมื่อผมพูดขึ้น
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาและยื่นแบงก์ร้อยสองใบให้โดยคำนวณว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ผมกินคงไม่เกินจำนวนเงินที่ให้ไป ผมสำทับกับพนักงานว่า “น้องไม่ต้องทอนนะ พอดีพี่รีบ”
ในหัวสมองของผมตอนนี้มึนชาไปหมดแล้วเหมือนคนเมายาไม่ได้สติ ความรู้สึกดีใจกับเศร้าใจมันประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันโดยที่ไม่สามารถแยกออกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะโดยคิดว่าจะบอกลาเธออย่างไรดี และทันใดนั้นเหมือนผีเปิดปากผม ผมได้พูดคำ ๆ นั้นออกไปว่า
“ผมกะว่าจะเลิกเล่นเกมนั้นแล้วครับ”
พูดเสร็จผมก็กลับหลังหันเดินออกมา เมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็นึกอยากจะหยิบขวดเบียร์โต๊ะข้าง ๆ ตีหัวตัวเองให้สลบไป หรือบางทีอยากจะให้ตัวเองเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย จะได้ทำให้เรื่องน่าอึดอัดนี้มันหายออกไปจากใจเสียที
ความอายและความชาถูกกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตาเล็ก ๆ ผมพยายามกลั้นมันไว้แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน ผมได้แต่เบี่ยงหน้ามาเพื่อแอบมองเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่าเดิม ถนนหน้าร้านรถราวิ่งขับผ่านไปมาด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงไปนอนให้รถทับตาย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะต้องมาพาผมไปส่งโรงพยาบาล เดี๋ยวเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่

ในห้องพักแคบ ๆ ด้วยราคาต่อคืนไม่แพงมากนัก แต่ยังดีที่ยังมีเตียงนุ่ม ๆ ให้ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทีวีเครื่องเล็กถูกเปิดเพื่อให้พอมีเสียงดังสลัดความเงียบงันลงไปบ้าง แต่ว่าในจิตใจผมก็ยังคงไม่รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น ในสมองตอนนี้ได้แต่เฝ้าคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
แต่ผมก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วล่ะที่ผมไม่สานสัมพันธ์ต่อ เพราะมันคงจะมีแต่เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา และรวมถึงเรื่องที่ผมนั้นคงไม่คู่ควรกับเธอ

เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาทำงานที่เดิม ทุก ๆ อย่างเหมือนเดิมหมดยกเว้นผมไม่สามารถเล่นเกมแคนดี้ ครัชได้อีกต่อไป เพราะผมได้หลุดปากพูดคำพูดนั้นออกไปแล้วว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ มันเหมือนกับเป็นคำพูดที่ค้ำคอผมอยู่ว่าต้องทำตามคำ ๆ นั้น
ในทุกเช้าผมก็ไปทำงานเหมือนเดิม ในระหว่างชั่วโมงการทำงานความน่าเบื่อก็ยังคงรุมเร้าผมอยู่ทุกวัน เพราะการทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไร นั่นจึงทำให้ภาพใบหน้าของเธอปรากฏอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ความสำนึกและรู้สึกผิดที่ผมทำเป็นเย็นชาและไม่ใส่ใจเธอ ซึ่งนั่นมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายใจจิตใจของผม
ความปรารถนาดูเหมือนจะมากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ตัวเธอ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะหลาย ๆ เหตุผล กลัวการถูกปฏิเสธหรือ ก็คงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมคงต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหยุดเรื่องนี้ไว้
ผ่านไปอีกหลายคืนวันจนผมเริ่มจะทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว คืนหนึ่งหลังจากผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จและตรียมตัวจะนอน ผมทำเหมือนกับทุกคืนคือเปิดเฟซบุ๊คดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ร้อยวันพันปีไม่เคยมีในส่งข้อความมาหาผม แต่วันนี้มีเครื่องหมายเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา เป็นเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะจิ้มลงไปเพื่ออ่านข้อความนั้น แต่พลันคิดได้ว่าหากยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้ จะยิ่งถอนตัวยาก หากแม้เพียงแค่เข้าไปอ่านข้อความ นั่นจะทำให้เธอรู้ได้ว่าผมได้อ่านข้อความแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบกลับข้อความอย่างแน่นอน ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้สัญลักษณ์นั้นแสดงคำเตือนต่อไป

ครบหนึ่งเดือนพอดีหลังจากที่ผมบุกไปหาเธอที่โรงงาน ผมยังจำคำพูดของเธอได้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วเธอจะหายงานยุ่งและจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเลิกคิดถึงเธอไปแล้วแต่ว่าใจของผมดันไปสั่งให้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเกมเพื่อดูว่าเธอผ่านด่านเพิ่มขึ้นมาหรือยัง
เธอนำหน้าผมไปอีกแล้วหนึ่งเอพพิโสด มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเล่นผ่านด่านเกือบร้อยกว่าด่านโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาร่วมเดือนถึงจะเล่นได้ขนาดนี้ หากมันเป็นแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าเธอพยายามเจียดเวลาทำงานเพื่อมาเล่นเกมนี่หรือ หรือว่าเธอตั้งใจว่าอยากให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้อีกหลังจากที่ผมบอกเธอไปว่าจะเลิกเล่น นี่เธอแคร์ผมอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกปลื้มปริ่มนี้มันมาอีกแล้ว นอกจากพ่อแม่ของผม ก็ไม่เคยมีใครแคร์หรือใส่ใจความรู้สึกของผมเลย แต่มาครั้งนี้เธอคนที่ถูกผมเย็นชาใส่และไม่ใยดีกับเธอ ก็ยังคงใส่ใจกับความรู้สึกของผมอีก
ผมนึกถึงคำพูดของเธอในคืนที่เราเจอกันที่ร้านอาหาร นั่นแสดงว่าผมและเธอนั้นใจตรงกันเพียงใด เธอคิดเหมือนที่ผมคิด และยังกล้าพูดถึงสิ่งที่ใจคิด เพียงแต่ผมไม่กล้า
เมื่อคิดทบทวนหลาย ๆ เรื่อง ผมคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรกันที่จะทำให้ผมไม่เล่นเกมแข่งกับเธอ ทำไมผมจะสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไม่ได้ล่ะ ผมตัดสินใจเปิดข้อความที่เธอส่งมา
เรามาแข่งกันอีกนะคะ ฉันจะไล่ตามคุณให้ทัน
ผมยิ้มดีใจอย่างสุดขีดเมื่ออ่านข้อความนั้น และยังนึกตำหนิตัวเองว่าทำไมทั้งโง่และทั้งบ้าแบบนี้ ความฟุ้งซ่านที่ผมคิดไปเองมันคงบ้าบอเกินไป
มิตรภาพที่เธอมีให้นั้นผมจะทำลายมันไปได้อย่างไรกัน ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบและเผลอยิ้มทุกครั้ง ผมแค่กดส่งสติ๊กเกอร์รูปหน้ายิ้มกลับไปให้เธอทางกล่องข้อความ เพราะยังไม่รู้ว่าจะทักตอบกลับไปว่าอย่างไรดี เอาไว้ค่อยให้เวลาและเกมคอยเชื่อมใจของเราทั้งคู่ก็แล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ตอนนี้ผมหน้าแดงไปหมดแล้ว 
ไม่รอช้า คืนนี้ผมกะจะเล่นเกมแคนดี้ ครัชให้ชุ่มฉ่ำปอดทั้งคืนเลย หากพรุ่งนี้งัวเงียไปทำงานก็ค่อยไปแอบหลับในเวลางานก็แล้วกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คู่เสียงที่หายไป





ผมวอร์มนิ้วด้วยบทเพลง Romance de amour บนสายกีตาร์คลาสสิก  ท่วงทำนองและการวางนิ้วง่าย ๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเพลงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าในตอนนั้นผู้บรรเลงจะมีความเศร้าที่เก็บซ่อนไว้ภายในอย่างไรแต่เขาคงไม่อาจอาจปิดบังความรู้สึกนี้ไว้เมื่อเล่นเพลงนี้ได้อย่างแน่นอน โน้ตเพลงทำให้ผู้ฟังพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองสั้น ๆ แต่ถลำลึกดำดิ่งลงไปในข้างในของจิตใจ

ในหัวค่ำแขกในร้านยังไม่เยอะนัก ผมบรรเลงเพลงในคลับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่ญาติของผมเองเป็นเจ้าของ แขกแต่ละคนที่มามักจะหน้าเดิม ๆ ที่ต้องการบรรยากาศเดิม ๆ ในการจิบน้ำสุรา ทุกคนที่มาที่นี่มันจะไม่ค่อยพูดจากันเพราะเขาต้องการมาฟังเพลงบรรเลง
เมื่อแขกเริ่มเข้ามาเกือบค่อนร้านผมเริ่มเล่นเพลงที่มีจังหวะเร้าใจอย่าง Spanish Dance No. 5 เพราะอยากให้ช่วงหัวค่ำยังเป็นเพลงที่สนุกสนานเร้าใจ สำหรับเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมากอีกเพลงหนึ่ง เริ่มต้นของเพลงนี้ถูกใช้บรรเลงโดยเปียโน แต่ผมคิดว่าเมื่อมันถูกนำมาเรียบเรียงโดยใช้กีตาร์สายเอ็นเล่น มันดูสนุกและเร้าใจมากกว่า แขกหลายคนพึงพอใจกับเพลงนี้แม้พวกเขาจะเคยฟังมันมาแล้วหลายร้อยรอบก็ตาม

กีตาร์คลาสสิกมักจะเล่นด้วยคีย์ของเพลงที่เน้นอารมณ์ของความโศกเศร้าเป็นหลัก หลาย ๆ เพลงที่ผมเตรียมมาในวันนี้มักจะมีความเศร้าแฝงไว้ในนั้น ผมไม่อยากให้ผู้ฟังของผมเข้าถึงอารมณ์นั้นเร็วเกินไป รวมถึงตัวผมเองด้วยที่ไม่อยากให้หัวใจสั่นไหวก่อนเวลาอันควร
ผมยังอยากรักษาบรรยากาศสนุกสนานนี้เอาไว้ก่อน ผมคิดจะเล่นเพลง Choro No.1 ที่ถูกประพันธ์โดย Heitor Villa Lobos บทเพลงที่มีจังหวะคึกคักในแบบของเพลงบรรเลงโดยเครื่องดนตรีชิ้นเดียวนี้ คงไม่สามารถทำให้ใครลุกขึ้นมาเต้นได้ แต่ผมก็ยังมั่นใจว่ามันคงทำให้ใครหลายคนเพลิดเพลินไปกับท่วงทำนองนี้ได้
ชื่อ Choro No.1 นี้นำมาจากแนวเพลงประเภทการแสดงสดในบราซิล เพลงบรรเลงที่มีต้นกำเนิดในริโอเดอจาเนโรในศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นมักจะแต่เพลงแจ๊สซึ่งเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่

เมื่อเห็นแขกเต็มร้าน ผมหยุดพักทักทายกับลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้านด้วยประโยคสั้น ผมรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องการฟังเสียงบรรเลงเพลงมากกว่าที่จะมาฟังผมพล่ามอะไรบนเวที แต่ผมก็แค่อยากจะให้บรรยากาศนั้นผ่อนคลายลงและให้ผู้ฟังทุกคนไม่รู้สึกเกร็ง ๆ เท่านั้นเอง
ในการเอาใจผู้ฟังที่เป็นลูกค้าร้านเหล้าทั่วไป ผมมักจะเล่นเพลงสากลสมัยใหม่ที่ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลง ผมกำลังจะเล่นเพลง Hotel California เพียงแค่ผมขึ้นท่อนอินโทรเท่านั้น แขกในร้านก็พากันตบมือสร้างบรรยากาศเหมือนในคอนเสิร์ตของวง Eagles อย่างไรอย่างนั้นเลย และในระหว่างที่ผมเล่นช่วงที่เป็นเนื้อร้องของเพลง แขกบางคนก็ทำท่าขยับปากตามเนื้อเพลงที่เขาเคยฟัง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกอินและสนุกสนานมากกับเพลงนี้
และเมื่อผมตีคอร์ดรัวสามครั้งเพื่อจบเพลง เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือก็ดังอีกครั้ง

Wonderful Tonight ของ Eric Clapton ก็ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลงโดยกีตาร์คลาสสิกอีกเช่นกันบทเพลงที่หวานซึ้งนี้มีเนื้อหาคำร้องเกี่ยวกับการพรรณนาถึงหญิงสาว ทุกคนจดจำความรู้สึกและคำร้องของเพลงได้เป็นอย่างดี พวกเขาบางคนฟังเพลงนี้แล้วหันไปยิ้มและโอบกอดพร้อมกุมมือคนข้าง ๆ ไว้ หรือบางคนอาจจะมีคนให้คิดถึงอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ห่างไกลกันก็ตาม แต่สำหรับตัวผมนั้นได้แต่เฝ้าสะท้อนใจถึงความว่างเปล่าในเรื่องนี้
เพลงนี้เล่นด้วยจังหวะง่ายที่แทบจะราบเรียบ ใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวเล่นสลับกันไปมา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้ทรงพลังมาเมื่อนึกถึงต้นฉบับของเพลง


แม้ผมจะเล่นบทเพลงที่สำหรับใช้เป็นแบบฝึกหัดอย่าง Etude Op. 35 No. 17 ของ Fernando Sor แต่มันก็เป็นท่วงทำนองที่สะกิดใจของผู้ฟังได้ เคยมีคนว่าไว้ว่ามันเป็นส่วนผสมระหว่างความสุขและความเศร้า มันเหมือนกับกับเวลาที่คุณได้เจอใครหรือสัมผัสกับสิ่งใดหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมานานมาก หรือคิดว่าทำสิ่ง ๆ  นั้นหายไปแล้ว
แต่สำหรับตัวผมเองนั้นคงจะมีแต่ความเศร้าสำหรับบทเพลงนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ หรือผมอาจจะต้องจมอยู่กับความทุกข์ต่อไป

เพลงแบบฝึกหัดอีกบทเพลงหนึ่งอย่าง Etude Op. 6 No. 11 นั้นก็ดูค่อนข้างจะเศร้า แม้มันจะอยู่ในจังหวะที่ดูเริงร่าและความเร็วไม่ช้าเกินไปนัก

หลายครั้งเมื่อผมเล่นมาถึงตรงนี้ ความทรงจำเก่า ๆ ก็มักจะผุดขึ้นมา แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นดนตรีของผมหรอก มันกลับทำให้ผมขับกล่อมบรรเลงเพลงได้ดีขึ้นเสียอีก
ยังซ้อมไม่เสร็จเหรอ
เสียงนี้ยังคงอยู่ในหัวของผม แม้มันจะลางเลือนเท่าไหร่ก็ตาม ในตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจกับเสียง ๆ นี้ มีแต่เสียงดนตรีและทำนองเพลงใหม่ ๆ ที่ผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ผมสลัดความคิดนั้นออกจากหัว แต่ทว่าความเศร้าโศกนั้นยังอยู่ที่เดิม และเมื่ออารมณ์ได้แล้ว ผมจึงคิดที่จะบรรเลงเพลง Recuerdos de la Alhambra เพลงนี้ใช้เทคนิค Tremolo ในการดีด ทำให้เสียงบรรเลงกีตาร์นั้นคล้ายกับการสีไวลิน เพลงนี้เป็นบทเพลงเศร้า และนั่นทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้น

ค่ำคืนนี้ผมบรรเลงอีกหลายบทเพลงที่เน้นอารมณ์เศร้าเป็นหลัก ผมคิดถึงเธออีกหลายครั้ง ไม่เคยมีคำตัดพ้อใด ๆ ออกมาจากปากเธอให้ผมได้เอะใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ลาจากไปแล้วโดยทิ้งคำพูด ๆ หนึ่งไว้ให้ และคำพูดนั้นก็บาดลึกเข้าไปในจิตใจของผมจนยากที่จะข่มความเจ็บนั้นไว้ในเวลาต่อมา

ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักเล่นเพลงก็อยากจะมีเพลงที่ตัวเองแต่งเองบ้าง ผมพยายามแต่งเพลงโดยการใช้คู่เสียงที่ต่างกันในแต่ละคู่และตามโน้ตเพลงที่คิดได้ แต่มันก็ไม่ได้ดีหรือสนุกอะไรมากนัก ผมใช้ช่วงท้าย ๆ ของการแสดงลองเล่นเพลงนี้ให้แขกฟัง ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาชอบมันหรือเปล่า อาจจะไม่มั้ง พวกเขาอาจจะคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่ก็เป็นได้ มันฟังดูไม่ค่อยเหมือนเพลงเท่าไหร่
เพลงนี้ผมยังแต่งไม่จบ ขาดท่อนลงเพราะผมไม่สามารถหาโน้ตตัวสุดท้ายที่จะเป็นคู่เสียงของโน้ตก่อนหน้าได้ ผมแกล้งค่อย ๆ แผ่วเสียงกีตาร์จนเงียบเพราะไม่อยากเล่นเพลงที่ยังดูด้วน ๆ นี้ออกไป แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะแขกคงคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่มั้ง
เธอจากไปในตอนที่ผมยังแต่งเพลงไม่เสร็จ ผมเสียใจที่ไม่ฉุดรั้งเธอไว้เพราะตอนนั้นต้องการสมาธิในการแต่งเพลงให้จบ และกะว่าจะไปง้อเธอเมื่อเพลงนี้สมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าจนบัดนี้คู่เสียงสุดท้ายนั้นผมยังหาไม่เจอ
คำพูดสุดท้ายของเธอดังขึ้นมาในหัวของผมอีกแล้ว

ขอให้มีความสุขกับการเล่นกีตาร์นะ

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...