วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Candy Crush Saga เกมเชื่อมใจ


และแล้วในที่สุดผมก็แซงทุกคนได้แล้วบนถนนสายนี้ ถนนที่ว่านี้ไม่ใช่ถนนหลวงหรอก ผมไม่ได้ขับขี่รถราแข่งอะไรกับใคร ถนนสายที่ผมพูดถึงนี้มันคือแผนที่ในเกมแคนดี้ ครัชที่เล่นผ่านเฟซบุ๊คต่างหากล่ะ เกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกน่าจะหลักพันล้านคนเข้าไปแล้ว แต่เราเองไม่ได้ไปเล่นแข่งกับคนพันล้านกว่าคนนั้นหรอก เราแข่งกับเฉพาะเพื่อน ๆ ของเราที่เล่นเกมนี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเริ่มแรกผมเห็นเพื่อน ๆ ผมหลายคนในเฟซบุ๊คเล่นเกมนี้ บางคนก็ค่อย ๆ ผ่านด่านไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ผ่านในแต่ละเอพพิโสดไป แต่พอผ่านไปนานวันเข้าเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มหยุดเล่นกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านด่านอีกต่อไป หรืออาจจะเป็นว่าด่านหลัง ๆ ที่ออกมาใหม่จะยากเกินไปจนคนท้อไปเอง พวกเขาบางคนอาจจะไปหาเกมใหม่ ๆ มาเล่นก็ได้ จนกระทั่ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเพื่อน ๆ คนไหนขยับเข้ามาใกล้รัศมีสิบเอพพิโสดของผมเลย ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลายเดือนก่อนเธอคนนี้เคยผ่านด่านนำหน้าผมไปสามเอพพิโสด เมื่อผมเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมมีแรงฮึดที่จะพยายามเอาชนะและไล่แซงเธอให้ได้

มีความลับหนึ่งที่ผมอยากจะบอก คือที่ผมสามารถตะลุยผ่านด่านมาได้สองพันห้าร้อยกว่าด่านนี้โดยนำคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น นั่นเป็นเพราะผมใช้วิธีโกงเวลา เพราะในเกมแคนดี้ ครัชนี้จะมีหัวใจให้เราใช้เล่นห้าดวง หากเล่นแพ้ในแต่ละเกมก็จะเสียไปหนึ่งหัวใจ หากแพ้ห้าเกมหัวใจก็จะหมด เราต้องรอเวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อจะได้หัวใจมาหนึ่งดวง ผมจึงไปแก้เวลาของสมาร์ทโฟนให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เท่านั้นเองหัวใจเราก็จะเต็ม เราก็สามารถไปแก้เวลากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งตอนนั่งรถเมล์ ตอนกำลังกินข้าว ก่อนเข้านอน หรือจะเป็นตอนแอบเจ้านายเล่นในที่ทำงานก็ตาม
และจากการตรากตรำตะลุยเล่นมาราธอนของผมนั้น ทำให้มีครั้งหนึ่งผมสามารถเล่นแซงเธอได้สำเร็จ เมื่อนั้นเราสองคนก็ผลัดกันแซงผลัดกันตามอย่างไม่มีใครยอมใครเลย บางครั้งผมเห็นเธอหยุดเล่นนานหลายวันไม่ขยับไปไหน แต่พอผมเล่นผ่านด่านจี้เข้าไปใกล้เธอ ปรากฏว่าเธอเล่นผ่านไปอีกสิบด่านรวดอย่างไม่ยอมให้ผมตามเธอทัน ผมคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชายโสดอย่างผมเลยครับ ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ เขาบ้าง ได้หัวเราะได้ลุ้นตามอยู่หน้าจอโทรศัพท์อยู่คนเดียว ได้แอบเฝ้าคิดว่าผมและเธอนั้นได้รู้จักสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
ใช่ครับ ผมไม่รู้จักกับเธอ ไม่เคยคุยไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยทักแชทกับเธอเลยสักครั้งเดียว สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอนั้นคือรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะดูจากรูปโปรไฟล์ ผมจำไม่ได้ว่าผมรับแอดเธอเป็นเพื่อนจากที่ไหน อาจจะเป็นกลุ่มอะไรสักอย่างที่ผมชอบเข้าไปอ่านนู่นอ่านนี่ตามประสา และในตอนนั้นเธอก็กดรับผมเป็นเพื่อนโดยที่เราทั้งสองก็ไม่ได้คุยแนะนำตัวอะไรกัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธอแทบจะทุกวัน ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอว่าในแต่ละวันเธอจะทำอะไรบ้างนะ อยากรู้ว่าเจ้าของไทม์ไลน์จะไปเช็คอินที่ไหน ไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ กับใครบ้าง อยากรู้ว่าเธอคนนั้นมีไลฟ์สไตล์แบบไหนกัน แต่น่าเสียดายที่เธอคนนี้เป็นคนที่ไม่โพสท์เรื่องส่วนตัวลงในเฟซบุ๊คเลย ล่าสุดที่เธอโพสท์เรื่องส่วนตัวก็เป็นงานเลี้ยงที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานหลายปีมาแล้ว

ผมแปลกใจที่ทำไมผมต้องคิดถึงเธอด้วยนะ ผมมัวแต่เฝ้าคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ อาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้ หรืออาจจะเลิกเล่มเกมนี้ไปแล้วเพราะรู้สึกท้อกับความยากของเกม แล้วถ้าหากเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเธอล่ะ จนทำให้เธอไม่มีแก่จิตแก่ใจมาเล่นเกม ไม่รู้สินะ มันอาจจะเป็นเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมให้กำลังสนใจ เพราะในชีวิตประจำวันของผมนั้นมันช่างซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่ายจนชวนจะอาเจียนเสียด้วยซ้ำ
อาชีพของผมคือเป็นยามเฝ้าหน้าหมู่บ้าน คอยเปิดเหล็กกั้นให้รถที่ผ่านไปมาและยังต้องทำท่าตะเบ๊ะให้ผู้ขับขี่ทุกคนอีกด้วย พอเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับห้องพักเล็ก ๆ ที่ผมเช่าไว้ไม่ไกลจากที่ทำงาน ชีวิตหลังเลิกงานของหนุ่มโสดที่ไม่ค่อยจะมีเงินนั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ บางวันหลังจากง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นและกินมันก็เป็นเวลาว่างที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายของผมไป จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ผมไปซื้อสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงมาใช้และได้ดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่น นั่นทำให้ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อของผมนั้นถูกฆ่าตายไปอย่างมากมาย จนผมไม่เหลือช่วงเวลาเหล่านั้นให้ต้องนั่งทรมานกับมันอีกแล้ว
ความจริงแล้วการเล่มเกมที่แข่งขันเรื่องสถิติกับผู้อื่นมันควรจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นสิ ผมคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องคิดถึงผมอยู่บ้างแหละ เพราะเราก็ยังเห็นกันและกันว่าใครเล่นไปถึงด่านไหนแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแซงก็พยายามแซงคืน ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่เธอยังคงเล่นเกมแคนดี้ ครัชในก่อนหน้านี้โดยที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย หรือว่าบางทีอาจจะมีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊คของเธออีกหลายสิบคนที่กำลังเล่นแข่งกับเธออีกก็เป็นได้ ส่วนตัวผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ใช่สินะ เพราะเพื่อน ๆ ผมในเฟซบุ๊คมีแค่ประมาณสี่ห้าสิบคน แต่เพื่อนของเธอมีหลักพันขึ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกกระสับกระส่ายหัวใจกับการหายตัวไปของเธอ แต่ผมก็คงจะทำได้แค่เพียงเล่นเกมนี้ต่อไป และเข้าไปดูว่าอันดับของเธอขยับบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่ขยับเลย ผมยังเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีก แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเช่นกัน ผมพยายามข่มใจเล่นเกมโดยไม่นึกถึงเธอ

หลายสิบวันมานี้ผมทำกิจวัตรเหมือนทุก ๆ วันโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย คงมีแต่หัวใจที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวลถึงเธอคนนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ทำไมไม่ลองทักเธอไปทางกล่องข้อความดูนะ แต่จะเริ่มบทสนทนาว่าอะไรดีล่ะ หรืออาจจะแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปน่ารัก ๆ ไปก็พอ แต่นั่นจะทำให้เธอตกใจและบล็อกผมไปหรือเปล่าล่ะ ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีกครั้ง และโพสท์ล่าสุดของเธอก็ยังเป็นงานเลี้ยงในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอจะยังทำงานอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เมื่อสังเกตป้ายผ้าที่อยู่ในภาพดี ๆ ผมเห็นโลโก้ของโรงงานเป็นรูปฟันเฟืองซ้อนกันสองอัน เห็นชื่อของโรงงานลาง ๆ ไม่ชัดเจน เห็นแค่ตัวอักษรสองสามตัวหน้า และในป้ายผ้านั้นทำให้ผมรู้ว่าโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลวกแดง จังหวัดระยอง
หัวใจของผมพองโตเป็นสองเท่าจากเดิม แต่สักพักมันก็กลับมาห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม ขนาดแค่จะทักไปทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คยังไม่กล้า แล้วนี่จะไปตามหาถึงโรงงานที่เธอทำงานอยู่  ผมอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาโรคจิตก็เป็นได้ จะทำอย่างไรดีล่ะ จะไปหาเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวหรือเปล่า เบาะแสมีแค่โลโก้โรงงานพร้อมตัวอักษรชื่อไม่กี่ตัว สถานที่พอรู้คร่าว ๆ รูปหน้าของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว อ้อ... ยังมีชื่อจริงของเธออีกทีใช้เป็นชื่อในเฟซบุ๊ค หากเธอไม่ใช้ชื่อปลอมมาเล่นนะ ผมพยายามสะกดชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษของเธอด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผม ผมแกะชื่อ Chutima Khunpraman แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรดี
ผมยังไม่รีบเดินทางไปตามหาเธอทันทีหรอก ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก คงได้แค่คิด
“จะให้ผมแลกเวรกับไอ้เวย์หรือครับหัวหน้า” ผมพูดเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปคุย
“ใช่ พอดีมันมีธุระต้องกลับต่างจังหวัด จะขอแลกเวรแกสองเวร ทำไหวมั้ย” หัวหน้าตอบ
ผมกำลังคิดว่าถ้าแลกตามนี้ ผมจะได้หยุดงานต่อเนื่องสองวัน และถ้าผมขอแลกเวรช่วงวันหยุดเพิ่มนั้นด้วยอาจจะได้หยุดถึงสามวัน ข้อเสนอนี้ก็ดีเหมือนกันผมอาจจะได้หยุดพักผ่อนยาวไปเลย หรือว่าบางทีผมอาจจะไปตามหาเธอดูดีนะ

เมื่อมาถึงวันหยุดยาวของผมที่ผม สรุปว่าผมได้หยุดยาวสามวัน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้เลยว่าจะเอายังไงดี จะหยุดพักผ่อนหรือจะลองนั่งรถไปปลวกแดงดี ใจหนึ่งก็คิดว่าก็ถือว่าไปเที่ยวล่ะกัน หากเปลี่ยนใจหรือหาโรงงานของเธอไม่ได้ก็คงจะหาที่เที่ยวแถวนั้นได้ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็เก็บกระเป๋าไว้รอเตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า
ตื่นเช้าผมรีบนั่งรถเมล์ไปสถานีขนส่ง นั่งรถต่อไปจากตรงนี้ก็ประมาณสี่ชั่วโมงเองก็ถึงตัวจังหวัด และต่อรถไปปลวกแดง
เมื่อก้าวเท้าลงรถเหยียบอำเภอปลวกแดง นั่นทำให้ผมถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว ผมมองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา รถวิ่งไปมา และผมก็เหลือบไปเห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ
“ไงไอ่หนุ่ม จะไปไหน” ลุงวินถาม
ผมยังไม่รู้จะถามอะไรดี จึงลองหยั่งเชิงไปก่อน “ถ้าจะไปแถวที่มีโรงงานเยอะ ๆ ต้องไปแถวไหนครับ”
ลุงวินฉีกยิ้มกว้าง “จะมาหางานทำเหรอ จะไปโรงงานอะไรล่ะ”
ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิดรูปภาพของเธอขึ้นมา พยายามซูมไปให้เห็นเฉพาะโลโก้ของโรงงาน แต่ก็ยังติดภาพใบหน้าของเธอไปด้วย
“ผมไม่ได้มาหางานทำหรอกครับ” ผมพูดความจริง
ลุงวินจ้องมองดูภาพในหน้าจอและก็ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง “มาตามหาแฟนเหรอ”
จากนั้นลุงก็หุบยิ้มเหมือนสะเทือนใจ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เผลอพยักหน้าไปเล็กน้อย
“ลุงรู้จักโรงงานแห่งนี้ ไปจากนี่ไม่ไกลหรอก”
หัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ความดีใจก็มาพร้อมกับความประหม่าด้วย เฝ้าคิดกังวลว่าถ้าไปถึงโรงงานแล้วจะทำอย่างไรต่อนะ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ ผมยังคงทำหน้าหงอย ๆ อยู่
“ลุงคิด 30 บาทละกัน ลุงเห็นแบบเอ็งมาเยอะแล้ว” ลุงพูดเสร็จก็สตาร์ทรถพาผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานลุงวินก็มาจอดรถหน้าโรงงาน ผมจ่ายเงินและพูดขอบคุณลุง จากนั้นผมมองไปยังประตูทางเข้าที่มีตู้ยาม ผมไม่รู้จะผ่านเข้าไปในรั้วโรงงานได้อย่างไร
“มาติดต่ออะไรครับ” ยามชะโงกหน้าออกมาจากป้อมถามผมที่ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“พอดีมาสมัครงานครับ นัดสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลไว้” ผมตอบพลางชมตัวเองอยู่ในใจว่าไหวพริบดีนะเนี่ย
“ผมขอแลกบัตรด้วยครับ” ยามในป้อมพูดเสร็จก็ก้มหยิบบัตรจากซองเอกสารขึ้นมา ผมหยิบบัตรประชาชนแลกกับเขาไป เมื่อได้บัตรมาแนบติดหน้าอกผมก็ทำท่าจะเดินจากไป
“แผนกฝ่ายบุคคลอยู่ชั้นสองตึกเอครับ” ยามประจำป้อมพูด ผมหันมาขอบคุณเขาก่อนที่จะเดินต่อ
ผมเดินเข้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาโดยไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครงานหรือสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่หน้าห้องฝ่ายบุคคลมีบอร์ดขนาดใหญ่พร้อมป้ายรูปพนักงานตามระดับชั้นแปะอยู่ ผมคิดว่านี่คือด่านแรกที่จะตามหาเธอได้ หากว่าเธอจะมีรายชื่ออยู่ในนั้น
ชุติมา ขุ่นประมาณ ผมไล่ดูภาพของพนักงานจากทุกระดับ และก็มาสะดุดกับใบหน้าของบุคคลในชื่อนี้ มันเป็นเหมือนกับความสำเร็จในการค้นหาที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเจอ ผมไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ คนที่เห็นอยู่ในเกมที่แค่เล่นแข่งกันไปวัน ๆ ไม่เคยคุยไม่เคยทักทายกันเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอคนนั้นกับอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว
เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล ซึ่งถ้าหากผมอยากจะเจอเธอจริง ๆ ผมคงต้องมาสัมภาษณ์งานกับเธอ แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกับคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อน ผมจะมาสมัครงานอะไรที่นี่ได้ล่ะนอกจากตำแหน่งยาม
แต่คิดไปคิดมา จุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการที่จะรู้แค่ว่าเธอสุขสบายดีอยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ใช่เหรอ ให้ได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรไป การที่เธอยังมีรูปแปะที่หน้าบอร์ดนี้ก็คงจะทำให้แน่ใจได้แล้วว่าเธอยังสุขสบายดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมแอบกังวลใจก่อนหน้านี้ มันก็ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วสินะ ผมควรจะกลับได้แล้ว

ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีก็จะพักเที่ยงแล้วนี้ อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คงจะกรูกันออกมา ไม่แน่นะว่าบางทีเธออาจจะเดินผ่านผมไปก็ได้ ภาพใบหน้าที่เคยเห็นแต่ในรูปและจินตนาการกำลังจะกลายเป็นภาพคนจริง ๆ ออกมาให้ผมเห็น
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนยากที่จะข่มใจให้เย็นลงได้ ยากเกินกว่าที่จะบังคับจิตใจให้เดินหันหลังกลับออกไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ใจหนึ่งก็อยากจะยืนรอคนที่ผมอยากเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าผมจะทำหน้าอย่างไรดี จะค่อย ๆ แอบมองดีไหมนะ หรืออาจจะทำเป็นแกล้งชะเง้อมองหาใครสักคน และแอบลอบมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นมองคนอื่นต่อไป
ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมตัวทัน บานประตูห้องเปิดออก พนักงานสาวหลายสิบคนทยอยกันเดินออกมา ผมยังคงเป็นทำทีมองที่บอร์ดหน้าห้อง แต่ก็พยายามสลับหันไปมองคนที่กำลังเดินตรงออกมาจากประตู จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อหลาย ๆ คนเดินผ่านไปโดยที่ยังไม่พบเป้าหมาย
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนผมอยากจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเสียงปิดประตูดังทำให้ผมใจหาย คงจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินออกไปจากสถานที่ตรงนี้แล้ว ผมบ่ายหน้าออกไปโดยไม่พยายามหันไปมองทางต้นเสียงนั้น แต่ทว่าเสียง ๆ หนึ่งกับหยุดความคิดทั้งหมดของผมไว้
“มาสัมภาษณ์งานหรือคะ”
เสียงใสแว่วดังมา ผมหันไปมองหน้าเธอ
“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมมาสัมภาษณ์งาน”
สิ้นเสียงพูด ผมรู้สึกตำหนิตัวเองว่าทำไมจะต้องไปย้อนถามเธอนะ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน แล้ววันนี้ช่วงบ่ายเราเปิดนัดสัมภาษณ์งานค่ะ แต่ เอ... ดูหน้าคุณคุ้น ๆ จังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ”
หญิงสาวคนที่ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มายืนพูดคุยกัน แต่ตอนนี้เธอยืนต่อหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และคำพูดที่บอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจจะเห็นรูปโปรไฟล์ของผมและจำมันได้ นั่นหมายความว่าเธอและผมนั้นแข่งกันเล่นเกมจริง ๆ ผมไม่ได้นั่งคิดไปเองคนเดียว
มาถึงตรงนี้ผมคิดแล้วล่ะว่า ความรู้สึกในตอนนี้มันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เคยขึ้นในรอบหลายปีมานี้ ผมคงจะเดินออกจากตรงนี้แล้วนั่งรถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้วล่ะ ความฟุ้งซ่านและพะว้าพะวงก่อนหน้านี้มันได้หายไปหมดสิ้นแล้วนี่
“ผมคงจะหน้าโหลมั้ง ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานหรอกครับ พอดีแค่มาหาดูประกาศตามโรงงาน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มเธอยังไม่จาง แต่ผมต้องละสายตาจากเธอแล้ว ไม่รอช้าผมเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากตึก

ร้านอาหารยามค่ำคืนในบรรยากาศสดชื่น ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักหรอก คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้ ผมพยายามนั่งฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นเพลงเบา ๆ อยู่บนเวที หูของผมได้ยินเสียงนั้นแต่ทว่าสมองไม่สามารถแปลความหมายของเพลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั่งในโต๊ะคนเดียว มีอาหารสำหรับคน ๆ เดียว เครื่องดื่มสำหรับคน ๆ เดียว และบทสนทนาสำหรับคน ๆ เดียว นั่นก็คือความเงียบนั่นเอง สาเหตุที่ไม่รู้ว่าวงดนตรีนั้นร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นเพราะใจของผมมัวแต่คิดถึงเธอคนนั้น
น่าแปลกทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าการที่ได้มาเจอเธอ ได้ยินเสียงพูดของเธอนั้นควรจะทำให้ผมโล่งใจ เพราะความคาดหวังในการมาที่นี่ก็มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ แต่นี่ผมกลับว้าวุ่นใจมากขึ้นเป็นเพราะเหตุใดกัน หรืออาจเป็นเพราะว่ารอยยิ้มและ อัธยาศัยที่เธอมอบให้มันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน แม้ช่วงเวลานั้นมันจะแค่สั้น ๆ ก็ตาม
ในหัวของผมคงมีแต่ใบหน้าของเธอหรอกหรือ แม้แต่ลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านผมยังมองเห็นเป็นหน้าของเธอเลย ให้ตายสิครับ!
แต่ เอ๊ะ... นั่นมันเธอจริง ๆ นี่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้เธอมองเห็น แต่ไม่สำเร็จ เธอปลีกตัวจากเพื่อน ๆ ที่เดินมาด้วยกันและเดินมาทางผมแล้ว
“อ้าว... คุณนี่เอง”
“อ่ะ... ครับ สวัสดีครับ” ผมเลี่ยงตอบไม่ได้
“มาคนเดียวหรือคะ” เธอถามพร้อมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผม แต่เรื่องนี้ผมยินดีอยู่แล้ว และความจริงผมเขินอายเกินกว่าที่จะเชิญเธอนั่ง
ผมก้มหน้าลงมองบนโต๊ะที่มีอาหารสำหรับคนเดียวก่อนจะพูด “ผมมาคนเดียวครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเคยเห็นรูปหน้าคุณในเอกสารสมัครงาน แต่ว่ามันไม่ใช่ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณจากที่ไหน” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มใส
หัวใจผมเต้นแรงยิ่งขึ้นจนต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำมาจิบ แต่นั่นคงจะทำให้ผมยิ่งดูประหม่ายิ่งขึ้นจนเธอสังเกตได้โดยง่าย
“คุณเคยเห็นผมที่ไหนเหรอครับ” พูดเสร็จผมก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
“เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คยังไงคะ และคุณก็เล่นเกมแคนดี้แซงหน้าฉันไปไกลแล้วด้วย”
ผมแทบจะสำลักน้ำเพราะสิ่งที่เธอพูด ยังไม่วายมีน้ำกระฉอกออกมาทางจมูกนิดหน่อย ผมรีบหยิบผ้าเช็ดปากที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ทำทียกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก แต่ความจริงต้องการเช็ดน้ำที่ออกมาจากรูจมูกต่างหากเล่า ผมอยากจะถามใจจะขาดว่าทำไมเธอถึงหยุดเล่นไป แต่ก็กลัวเธอจะคิดว่าผมอุตส่าห์ถ่อมาเพื่อถามเรื่องนี้กับเธอ
“พอดีฉันเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง เลยมีงานให้เคลียร์แทบจะทุกวันเลยค่ะ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังต้องมานั่งดูเอกสาร ช่วงพักก็หลับอยู่บ้านคนเดียว”
ผมหูผึ่งกับคำว่า อยู่บ้านคนเดียวเธอยังไม่มีแฟน ยังไม่มีครอบครัว แต่ว่าผมจะคิดเรื่องนี้ไปทำไมกัน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
“คงจะอีกสักเดือนหรือสองเดือนงานถึงจะเริ่มคลายตัวลงหน่อย ถึงเวลานั้นเราคงจะได้มาเล่นเกมแข่งกันอีกแน่ ๆ ค่ะ”
ความรู้สึกปราบปลื้มใจที่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด นั่นแสดงว่าเธอยังให้ความสนใจในการแข่งเล่นเกมกับผมอยู่
“คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกฉันกะว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่เห็นว่ายังมีคนค่อย ๆ ไล่ตามฉันมา ฉันเลยมีแรงฮึดสู้เล่นต่อไป”
ผมนั่งคิดอะไรในหัวคนเดียว คิดแปลกใจว่าทำไมความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกถึงบังเกิดขึ้นใจจิตใจของผม  หรือเพราะว่าผมกับเธอนั้นไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน รสนิยมและฐานะทางสังคมมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เลย
“มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ ที่เราสองคนได้มาเจอกันโดยบังเอิญ ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คได้อย่างไร เราไม่เคยคุยกันเลย แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมนั่งฟังเงียบ ๆ และเริ่มเคลิ้มจนเกือบจะทำสายตาซาบซึ้งออกไป เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมแอบขำกับคำพูดนี้ในใจคนเดียว เคยมีนักอะไรสักอย่างเคยพูดไว้ว่า ชายกับหญิงไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอน และผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ผมเคยแอบปลื้มและเคยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้หรอก ผมจะมีเรื่องอะไรไปคุยกับเธอล่ะหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน จริงสินะ ผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ
“ว่าแต่คุณ...”  เธอพูดขึ้นมา
ผมพอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทขึ้นก่อน “พอดีผมมีธุระครับ ต้องรีบขอตัวไปก่อน” เธอนิ่งไปเมื่อผมพูดขึ้น
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาและยื่นแบงก์ร้อยสองใบให้โดยคำนวณว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ผมกินคงไม่เกินจำนวนเงินที่ให้ไป ผมสำทับกับพนักงานว่า “น้องไม่ต้องทอนนะ พอดีพี่รีบ”
ในหัวสมองของผมตอนนี้มึนชาไปหมดแล้วเหมือนคนเมายาไม่ได้สติ ความรู้สึกดีใจกับเศร้าใจมันประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันโดยที่ไม่สามารถแยกออกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะโดยคิดว่าจะบอกลาเธออย่างไรดี และทันใดนั้นเหมือนผีเปิดปากผม ผมได้พูดคำ ๆ นั้นออกไปว่า
“ผมกะว่าจะเลิกเล่นเกมนั้นแล้วครับ”
พูดเสร็จผมก็กลับหลังหันเดินออกมา เมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็นึกอยากจะหยิบขวดเบียร์โต๊ะข้าง ๆ ตีหัวตัวเองให้สลบไป หรือบางทีอยากจะให้ตัวเองเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย จะได้ทำให้เรื่องน่าอึดอัดนี้มันหายออกไปจากใจเสียที
ความอายและความชาถูกกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตาเล็ก ๆ ผมพยายามกลั้นมันไว้แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน ผมได้แต่เบี่ยงหน้ามาเพื่อแอบมองเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่าเดิม ถนนหน้าร้านรถราวิ่งขับผ่านไปมาด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงไปนอนให้รถทับตาย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะต้องมาพาผมไปส่งโรงพยาบาล เดี๋ยวเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่

ในห้องพักแคบ ๆ ด้วยราคาต่อคืนไม่แพงมากนัก แต่ยังดีที่ยังมีเตียงนุ่ม ๆ ให้ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทีวีเครื่องเล็กถูกเปิดเพื่อให้พอมีเสียงดังสลัดความเงียบงันลงไปบ้าง แต่ว่าในจิตใจผมก็ยังคงไม่รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น ในสมองตอนนี้ได้แต่เฝ้าคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
แต่ผมก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วล่ะที่ผมไม่สานสัมพันธ์ต่อ เพราะมันคงจะมีแต่เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา และรวมถึงเรื่องที่ผมนั้นคงไม่คู่ควรกับเธอ

เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาทำงานที่เดิม ทุก ๆ อย่างเหมือนเดิมหมดยกเว้นผมไม่สามารถเล่นเกมแคนดี้ ครัชได้อีกต่อไป เพราะผมได้หลุดปากพูดคำพูดนั้นออกไปแล้วว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ มันเหมือนกับเป็นคำพูดที่ค้ำคอผมอยู่ว่าต้องทำตามคำ ๆ นั้น
ในทุกเช้าผมก็ไปทำงานเหมือนเดิม ในระหว่างชั่วโมงการทำงานความน่าเบื่อก็ยังคงรุมเร้าผมอยู่ทุกวัน เพราะการทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไร นั่นจึงทำให้ภาพใบหน้าของเธอปรากฏอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ความสำนึกและรู้สึกผิดที่ผมทำเป็นเย็นชาและไม่ใส่ใจเธอ ซึ่งนั่นมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายใจจิตใจของผม
ความปรารถนาดูเหมือนจะมากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ตัวเธอ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะหลาย ๆ เหตุผล กลัวการถูกปฏิเสธหรือ ก็คงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมคงต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหยุดเรื่องนี้ไว้
ผ่านไปอีกหลายคืนวันจนผมเริ่มจะทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว คืนหนึ่งหลังจากผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จและตรียมตัวจะนอน ผมทำเหมือนกับทุกคืนคือเปิดเฟซบุ๊คดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ร้อยวันพันปีไม่เคยมีในส่งข้อความมาหาผม แต่วันนี้มีเครื่องหมายเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา เป็นเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะจิ้มลงไปเพื่ออ่านข้อความนั้น แต่พลันคิดได้ว่าหากยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้ จะยิ่งถอนตัวยาก หากแม้เพียงแค่เข้าไปอ่านข้อความ นั่นจะทำให้เธอรู้ได้ว่าผมได้อ่านข้อความแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบกลับข้อความอย่างแน่นอน ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้สัญลักษณ์นั้นแสดงคำเตือนต่อไป

ครบหนึ่งเดือนพอดีหลังจากที่ผมบุกไปหาเธอที่โรงงาน ผมยังจำคำพูดของเธอได้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วเธอจะหายงานยุ่งและจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเลิกคิดถึงเธอไปแล้วแต่ว่าใจของผมดันไปสั่งให้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเกมเพื่อดูว่าเธอผ่านด่านเพิ่มขึ้นมาหรือยัง
เธอนำหน้าผมไปอีกแล้วหนึ่งเอพพิโสด มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเล่นผ่านด่านเกือบร้อยกว่าด่านโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาร่วมเดือนถึงจะเล่นได้ขนาดนี้ หากมันเป็นแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าเธอพยายามเจียดเวลาทำงานเพื่อมาเล่นเกมนี่หรือ หรือว่าเธอตั้งใจว่าอยากให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้อีกหลังจากที่ผมบอกเธอไปว่าจะเลิกเล่น นี่เธอแคร์ผมอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกปลื้มปริ่มนี้มันมาอีกแล้ว นอกจากพ่อแม่ของผม ก็ไม่เคยมีใครแคร์หรือใส่ใจความรู้สึกของผมเลย แต่มาครั้งนี้เธอคนที่ถูกผมเย็นชาใส่และไม่ใยดีกับเธอ ก็ยังคงใส่ใจกับความรู้สึกของผมอีก
ผมนึกถึงคำพูดของเธอในคืนที่เราเจอกันที่ร้านอาหาร นั่นแสดงว่าผมและเธอนั้นใจตรงกันเพียงใด เธอคิดเหมือนที่ผมคิด และยังกล้าพูดถึงสิ่งที่ใจคิด เพียงแต่ผมไม่กล้า
เมื่อคิดทบทวนหลาย ๆ เรื่อง ผมคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรกันที่จะทำให้ผมไม่เล่นเกมแข่งกับเธอ ทำไมผมจะสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไม่ได้ล่ะ ผมตัดสินใจเปิดข้อความที่เธอส่งมา
เรามาแข่งกันอีกนะคะ ฉันจะไล่ตามคุณให้ทัน
ผมยิ้มดีใจอย่างสุดขีดเมื่ออ่านข้อความนั้น และยังนึกตำหนิตัวเองว่าทำไมทั้งโง่และทั้งบ้าแบบนี้ ความฟุ้งซ่านที่ผมคิดไปเองมันคงบ้าบอเกินไป
มิตรภาพที่เธอมีให้นั้นผมจะทำลายมันไปได้อย่างไรกัน ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบและเผลอยิ้มทุกครั้ง ผมแค่กดส่งสติ๊กเกอร์รูปหน้ายิ้มกลับไปให้เธอทางกล่องข้อความ เพราะยังไม่รู้ว่าจะทักตอบกลับไปว่าอย่างไรดี เอาไว้ค่อยให้เวลาและเกมคอยเชื่อมใจของเราทั้งคู่ก็แล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ตอนนี้ผมหน้าแดงไปหมดแล้ว 
ไม่รอช้า คืนนี้ผมกะจะเล่นเกมแคนดี้ ครัชให้ชุ่มฉ่ำปอดทั้งคืนเลย หากพรุ่งนี้งัวเงียไปทำงานก็ค่อยไปแอบหลับในเวลางานก็แล้วกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คู่เสียงที่หายไป





ผมวอร์มนิ้วด้วยบทเพลง Romance de amour บนสายกีตาร์คลาสสิก  ท่วงทำนองและการวางนิ้วง่าย ๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเพลงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าในตอนนั้นผู้บรรเลงจะมีความเศร้าที่เก็บซ่อนไว้ภายในอย่างไรแต่เขาคงไม่อาจอาจปิดบังความรู้สึกนี้ไว้เมื่อเล่นเพลงนี้ได้อย่างแน่นอน โน้ตเพลงทำให้ผู้ฟังพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองสั้น ๆ แต่ถลำลึกดำดิ่งลงไปในข้างในของจิตใจ

ในหัวค่ำแขกในร้านยังไม่เยอะนัก ผมบรรเลงเพลงในคลับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่ญาติของผมเองเป็นเจ้าของ แขกแต่ละคนที่มามักจะหน้าเดิม ๆ ที่ต้องการบรรยากาศเดิม ๆ ในการจิบน้ำสุรา ทุกคนที่มาที่นี่มันจะไม่ค่อยพูดจากันเพราะเขาต้องการมาฟังเพลงบรรเลง
เมื่อแขกเริ่มเข้ามาเกือบค่อนร้านผมเริ่มเล่นเพลงที่มีจังหวะเร้าใจอย่าง Spanish Dance No. 5 เพราะอยากให้ช่วงหัวค่ำยังเป็นเพลงที่สนุกสนานเร้าใจ สำหรับเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมากอีกเพลงหนึ่ง เริ่มต้นของเพลงนี้ถูกใช้บรรเลงโดยเปียโน แต่ผมคิดว่าเมื่อมันถูกนำมาเรียบเรียงโดยใช้กีตาร์สายเอ็นเล่น มันดูสนุกและเร้าใจมากกว่า แขกหลายคนพึงพอใจกับเพลงนี้แม้พวกเขาจะเคยฟังมันมาแล้วหลายร้อยรอบก็ตาม

กีตาร์คลาสสิกมักจะเล่นด้วยคีย์ของเพลงที่เน้นอารมณ์ของความโศกเศร้าเป็นหลัก หลาย ๆ เพลงที่ผมเตรียมมาในวันนี้มักจะมีความเศร้าแฝงไว้ในนั้น ผมไม่อยากให้ผู้ฟังของผมเข้าถึงอารมณ์นั้นเร็วเกินไป รวมถึงตัวผมเองด้วยที่ไม่อยากให้หัวใจสั่นไหวก่อนเวลาอันควร
ผมยังอยากรักษาบรรยากาศสนุกสนานนี้เอาไว้ก่อน ผมคิดจะเล่นเพลง Choro No.1 ที่ถูกประพันธ์โดย Heitor Villa Lobos บทเพลงที่มีจังหวะคึกคักในแบบของเพลงบรรเลงโดยเครื่องดนตรีชิ้นเดียวนี้ คงไม่สามารถทำให้ใครลุกขึ้นมาเต้นได้ แต่ผมก็ยังมั่นใจว่ามันคงทำให้ใครหลายคนเพลิดเพลินไปกับท่วงทำนองนี้ได้
ชื่อ Choro No.1 นี้นำมาจากแนวเพลงประเภทการแสดงสดในบราซิล เพลงบรรเลงที่มีต้นกำเนิดในริโอเดอจาเนโรในศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นมักจะแต่เพลงแจ๊สซึ่งเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่

เมื่อเห็นแขกเต็มร้าน ผมหยุดพักทักทายกับลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้านด้วยประโยคสั้น ผมรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องการฟังเสียงบรรเลงเพลงมากกว่าที่จะมาฟังผมพล่ามอะไรบนเวที แต่ผมก็แค่อยากจะให้บรรยากาศนั้นผ่อนคลายลงและให้ผู้ฟังทุกคนไม่รู้สึกเกร็ง ๆ เท่านั้นเอง
ในการเอาใจผู้ฟังที่เป็นลูกค้าร้านเหล้าทั่วไป ผมมักจะเล่นเพลงสากลสมัยใหม่ที่ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลง ผมกำลังจะเล่นเพลง Hotel California เพียงแค่ผมขึ้นท่อนอินโทรเท่านั้น แขกในร้านก็พากันตบมือสร้างบรรยากาศเหมือนในคอนเสิร์ตของวง Eagles อย่างไรอย่างนั้นเลย และในระหว่างที่ผมเล่นช่วงที่เป็นเนื้อร้องของเพลง แขกบางคนก็ทำท่าขยับปากตามเนื้อเพลงที่เขาเคยฟัง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกอินและสนุกสนานมากกับเพลงนี้
และเมื่อผมตีคอร์ดรัวสามครั้งเพื่อจบเพลง เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือก็ดังอีกครั้ง

Wonderful Tonight ของ Eric Clapton ก็ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลงโดยกีตาร์คลาสสิกอีกเช่นกันบทเพลงที่หวานซึ้งนี้มีเนื้อหาคำร้องเกี่ยวกับการพรรณนาถึงหญิงสาว ทุกคนจดจำความรู้สึกและคำร้องของเพลงได้เป็นอย่างดี พวกเขาบางคนฟังเพลงนี้แล้วหันไปยิ้มและโอบกอดพร้อมกุมมือคนข้าง ๆ ไว้ หรือบางคนอาจจะมีคนให้คิดถึงอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ห่างไกลกันก็ตาม แต่สำหรับตัวผมนั้นได้แต่เฝ้าสะท้อนใจถึงความว่างเปล่าในเรื่องนี้
เพลงนี้เล่นด้วยจังหวะง่ายที่แทบจะราบเรียบ ใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวเล่นสลับกันไปมา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้ทรงพลังมาเมื่อนึกถึงต้นฉบับของเพลง


แม้ผมจะเล่นบทเพลงที่สำหรับใช้เป็นแบบฝึกหัดอย่าง Etude Op. 35 No. 17 ของ Fernando Sor แต่มันก็เป็นท่วงทำนองที่สะกิดใจของผู้ฟังได้ เคยมีคนว่าไว้ว่ามันเป็นส่วนผสมระหว่างความสุขและความเศร้า มันเหมือนกับกับเวลาที่คุณได้เจอใครหรือสัมผัสกับสิ่งใดหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมานานมาก หรือคิดว่าทำสิ่ง ๆ  นั้นหายไปแล้ว
แต่สำหรับตัวผมเองนั้นคงจะมีแต่ความเศร้าสำหรับบทเพลงนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ หรือผมอาจจะต้องจมอยู่กับความทุกข์ต่อไป

เพลงแบบฝึกหัดอีกบทเพลงหนึ่งอย่าง Etude Op. 6 No. 11 นั้นก็ดูค่อนข้างจะเศร้า แม้มันจะอยู่ในจังหวะที่ดูเริงร่าและความเร็วไม่ช้าเกินไปนัก

หลายครั้งเมื่อผมเล่นมาถึงตรงนี้ ความทรงจำเก่า ๆ ก็มักจะผุดขึ้นมา แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นดนตรีของผมหรอก มันกลับทำให้ผมขับกล่อมบรรเลงเพลงได้ดีขึ้นเสียอีก
ยังซ้อมไม่เสร็จเหรอ
เสียงนี้ยังคงอยู่ในหัวของผม แม้มันจะลางเลือนเท่าไหร่ก็ตาม ในตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจกับเสียง ๆ นี้ มีแต่เสียงดนตรีและทำนองเพลงใหม่ ๆ ที่ผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ผมสลัดความคิดนั้นออกจากหัว แต่ทว่าความเศร้าโศกนั้นยังอยู่ที่เดิม และเมื่ออารมณ์ได้แล้ว ผมจึงคิดที่จะบรรเลงเพลง Recuerdos de la Alhambra เพลงนี้ใช้เทคนิค Tremolo ในการดีด ทำให้เสียงบรรเลงกีตาร์นั้นคล้ายกับการสีไวลิน เพลงนี้เป็นบทเพลงเศร้า และนั่นทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้น

ค่ำคืนนี้ผมบรรเลงอีกหลายบทเพลงที่เน้นอารมณ์เศร้าเป็นหลัก ผมคิดถึงเธออีกหลายครั้ง ไม่เคยมีคำตัดพ้อใด ๆ ออกมาจากปากเธอให้ผมได้เอะใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ลาจากไปแล้วโดยทิ้งคำพูด ๆ หนึ่งไว้ให้ และคำพูดนั้นก็บาดลึกเข้าไปในจิตใจของผมจนยากที่จะข่มความเจ็บนั้นไว้ในเวลาต่อมา

ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักเล่นเพลงก็อยากจะมีเพลงที่ตัวเองแต่งเองบ้าง ผมพยายามแต่งเพลงโดยการใช้คู่เสียงที่ต่างกันในแต่ละคู่และตามโน้ตเพลงที่คิดได้ แต่มันก็ไม่ได้ดีหรือสนุกอะไรมากนัก ผมใช้ช่วงท้าย ๆ ของการแสดงลองเล่นเพลงนี้ให้แขกฟัง ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาชอบมันหรือเปล่า อาจจะไม่มั้ง พวกเขาอาจจะคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่ก็เป็นได้ มันฟังดูไม่ค่อยเหมือนเพลงเท่าไหร่
เพลงนี้ผมยังแต่งไม่จบ ขาดท่อนลงเพราะผมไม่สามารถหาโน้ตตัวสุดท้ายที่จะเป็นคู่เสียงของโน้ตก่อนหน้าได้ ผมแกล้งค่อย ๆ แผ่วเสียงกีตาร์จนเงียบเพราะไม่อยากเล่นเพลงที่ยังดูด้วน ๆ นี้ออกไป แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะแขกคงคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่มั้ง
เธอจากไปในตอนที่ผมยังแต่งเพลงไม่เสร็จ ผมเสียใจที่ไม่ฉุดรั้งเธอไว้เพราะตอนนั้นต้องการสมาธิในการแต่งเพลงให้จบ และกะว่าจะไปง้อเธอเมื่อเพลงนี้สมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าจนบัดนี้คู่เสียงสุดท้ายนั้นผมยังหาไม่เจอ
คำพูดสุดท้ายของเธอดังขึ้นมาในหัวของผมอีกแล้ว

ขอให้มีความสุขกับการเล่นกีตาร์นะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

แรงเฉื่อย


สายตาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากำลังจับภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตาสีดำในม่านตาขาวนิ่งสนิทแม้ว่ามันกำลังจดจ้องอยู่กับภาพที่สลับไปมาอย่างรวดเร็ว ริ้วรอยรอบดวงตาที่นิ่งสนิทเผยให้เห็นตัวเลขเลยหลักห้าสิบของอายุอเนกไปแล้ว ภาพที่อเนกกำลังจ้องมองดูนั้นไม่ใช่การแข่งขันเรื่องความเร็วของนักแข่งรถในสนามหรอก มันไม่ใช่ภาพของการเต้นรำท่ามกลางแสงสีในจังหวะดิสโก้ และมันก็ไม่ใช่ภาพที่ดูแปลกหูแปลกตาอะไรหรอก แต่ภาพที่อเนกกำลังเฝ้าดูอยู่นั้นเป็นภาพในโรงอาหารของตึกสำนักงานสูงสามสิบชั้นแห่งหนึ่ง
ไอระเหยจากถ้วยกาแฟร้อนบนโต๊ะของอเนกหมดไปนานแล้ว แม้น้ำสีดำยังคงเต็มถ้วยอยู่ จานอาหารบนโต๊ะหมดไปแค่ครึ่ง แต่เจ้าของอาหารก็ไม่แตะจานข้าวแล้ว ความเชื่องช้าและนิ่งสงบบนโต๊ะของอเนกช่างตรงกันข้ามกับบรรยากาศในโรงอาหารช่วงพักเที่ยงในวันทำงานยิ่งนัก พนักงานชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกำลังนั่งเคี้ยวข้าวอย่างเร่งรีบ เขาไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการกดจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ พลางกินข้าวไปเพียงสองสามคำก็ยกแก้วน้ำปั่นขึ้นมาดูดอึกใหญ่ ชายหนุ่มผู้เร่งรีบทำทั้งสามอย่างนี้สลับกันจนจานข้าวหมดและในแก้วเหลือแต่เศษน้ำแข็ง เขาก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทันทีพร้อมกรอกเสียงลงไปในนั้น
อเนกเบี่ยงทิศทางการมองออกไปเพียงไม่กี่องศา และปรับระยะโฟกัสออกไปนึดหนึ่งก็จับภาพของกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวที่ดูเหมือนเพิ่งจะจบการศึกษาและเริ่มเข้าทำงานใหม่ ทั้งโต๊ะต่างนั่งกินข้าวเงียบ ๆ โดยไม่มีการหันไปพูดจาอะไรกัน นั่นทำให้ดูว่าทั้งหมดนั้นเหมือนกับจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทอะไรกัน คงจะเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งจะมาเจอหน้ากัน เลยทำให้ยังไม่สนิทสนมอะไรกันมากนัก เมื่อทั้งหมดกินข้าวเสร็จก็ลุกเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ข้าง ๆ กันนั้นมีหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงเดินถือจานอาหารพร้อมแก้วน้ำมา เธอกำลังมองหาโต๊ะที่ว่างและสะอาดในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านในโรงอาหารและแม่บ้านมักจะเก็บโต๊ะไม่ค่อยทัน พอดีที่แม่บ้านเก็บโต๊ะนั้นเสร็จ หญิงสาวผู้มาใหม่ก็วางจานและแก้วน้ำลง เธอยังไม่รีบกินเหมือนคนอื่น ๆ แต่เธอรีบหยิบตลับเครื่องสำอางมาแต่งหน้าอย่างเร่งรีบ และเมื่อเธอก้มเงยส่องกระจกบานเล็กจนมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงรีบลงมือจัดการกับอาหารในจานทันที
แต่ทว่าเมื่อหญิงสาวกินข้าวไปได้เพียงแค่สามคำ ดูเหมือนว่าเสียงโทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้นจนทำให้ผู้ที่กำลังเคี้ยวอาหารต้องรีบกลืนข้าวลงลำคอไป เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดหนึ่งทีก่อนจะรีบควักโทรศัพท์มารับ ท่าทีกระสับกระส่ายในระหว่างสนทนานั้นดูน่าอึดอัดใจ เมื่อสิ้นสุดการสนทนาเธอก็ทิ้งอาหารและน้ำในแก้วโดยการเดินออกไปทันที
ภาพบรรยากาศโดยรวมของโรงอาหารก็คล้าย ๆ กัน ความวุ่นวายภายใต้กฎระเบียบของโรงอาหารที่ต้องทำงานแข่งขัน คงมีแต่โต๊ะของอเนกโต๊ะเดียวเท่านั้นในที่นี่ที่เป็นตัวแทนของความเฉื่อย เขาเข้ามานั่งที่นี่ตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว เขาเข้ามาตั้งแต่ที่นี่ยังคงเบาบางด้วยผู้คน จนกระทั่งที่นี่บางเบาด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
เสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ในกระเป๋าของอเนกดังขึ้นเบา ๆ หนึ่งครั้ง เจ้าของหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หน้าจอ 5.5 นิ้วขึ้นมากดปุ่มเปิดหน้าจอ เขาเลื่อน ๆ ดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาและข้อความเก่า ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน หลายข้อความมาจากลูกค้าของเขาที่โอนเงินค่าเช่าบ้านให้ อเนกกดอ่านผ่าน ๆ และกดปิดหน้าจอไป ชายอายุห้าสิบกว่า ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะอเนกหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ ๆ ก่อนจะวางลงและเดินออกไป



สองริมฝั่งถนนกว้างสี่เลนและบนสะพานลอยยังสับสนวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่เดินไปมาอย่างรวดเร็ว อเนกมองไปรอบ ๆ ก็มองเห็นมุม ๆ หนึ่งมีร้านขายน้ำเล็ก ๆ มีโต๊ะวางริมถนนสามชุดหน้าร้าน เขาจ้องมองและเกิดความคิดว่า บางทีพรุ่งนี้สาย ๆ ในวันที่น่าเบื่ออีกครั้งเขาอาจจะมานั่งดื่มน้ำเย็น ๆ เพื่อมองความยุ่งเหยิงที่ไร้รูปแบบนี้

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...