วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่อง(เล่า)เหล้า ตอน ล้มเลิก



                ฉิม หนุ่มใหญ่หัวหน้าก๊วนสุราในซอยเล็ก ๆ ท้ายหมู่บ้าน ด้วยความที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มและความพิสมัยในรสน้ำอมฤตยิ่งกว่าจานอาหารชั้นเลิศในภัตตาคารหรู เขาเข้ามานั่งรอในร้านเหล้าเตรียมสั่งเครื่องดื่มและอาหารไว้แล้ว แน่นอนว่าฉิมไม่เคยแม้แต่เดินเฉียดกรายเข้าใกล้ภัตตาคารหรู เพราะด้วยอาชีพแรงงานขั้นต่ำรายวัน ความสุขเดียวของฉิมคือการเจียดเงินที่ต้องดูแลลูกเมียมาเข้ากลุ่มสมาคมสุราในคืนวันศุกร์และวันสุข

ทุก ๆ สิ้นอาทิตย์ฉิมจะต้องมาเจอเพื่อนคลายทุกข์ที่บรรจุอยู่ในขวดกลมขนาด 750 มิลลิลิตร และยังมีเพื่อนคลายทุกข์อีก 3 คนที่มาร่วมวงด้วยกันเป็นประจำไม่เคยขาดแม้สักคนเดียวมาตลอด 5 ปี หากฉิมเป็นประธานบริษัท เขาคงแจกประกาศนียบัตรให้กับ ยศ เต้และนัยแล้ว ในฐานะที่มาเข้าร่วมประชุมใหญ่ประชุมย่อยไม่เคยขาด และทั้งหมดต่างอยู่ครบวาระการประชุมทุกครั้งจนกว่าท่านประธานจะปิดการประชุม

ยศ หนุ่มน้อยลงมาหน่อยจากฉิม เขาโสดไม่มีภาระผูกพัน ด้วยความหล่อคมเข้มแต่งตัวดีและมีเสน่ห์ ยศจึงมีคู่เดทมากหน้าหลายตา หลายคืนหลังเลิกงานจากออฟฟิศ หนุ่มหน้าตาดีมักจะผลาญเวลาไปกับการใช้ชีวิตคู่ชั่วคราวในแต่ละคืน แต่ยกเว้นคืนวันศุกร์เท่านั้นที่เขาจะรีบเคลียร์งานและกลับบ้านตรงเวลา เพื่อที่จะมาทันกำหนดนัดหมายสำคัญ

เต้ หนุ่มเมสเซ็นเจอร์รับส่งเอกสารย่านใจกลางเมือง เต้อายุเท่าเดียวกับยศ ด้วยอุดมการณ์ที่มีเหมือน ๆ กันกับฉิมและยศ เขาจึงจงใจจัดสรรช่วงเวลาการรับงานในวันศุกร์เป็นพิเศษ เขาจะไม่รับงานเกินเวลาโดยเด็ดขาด แม้ว่าค่าจ้างงานในช่วงเวลานั้นจะหอมหวานเพียงใด แต่ในความคิดของเต้ มันคงไม่มีทางหอมหวานยิ่งไปกว่าน้ำสีเข้มนั่น และมิตรภาพในวงเหล้าที่พวกเขาช่วยกันสั่งสมมานนานกว่าครึ่งทศวรรษแล้ว

และสมาชิกวงเหล้าอีกคนที่ชื่อนัย นัยเป็นรุ่นน้องในกลุ่ม เขามีอาชีพเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง ในวงการผู้รับเหมามักจะต้องไปสังสรรค์ในคืนวันสุดสัปดาห์เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ในสายตาของเพื่อนร่วมงานมักคิดว่านัยเป็นคนที่ไม่ดื่มสุรา เพราะทุกคืนวันศุกร์นัยจะไม่ติดตามกลุ่มเพื่อนร่วมงานไปร่ำสุราที่ไหน เพราะเขามีกลุ่มสุราส่วนตัวอยู่แล้วใกล้ ๆ บ้านของเขาเอง

 

ยศ เต้และนัยขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอกันที่หน้าร้านเหล้าพอดี ร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่สร้างจากสังกะสีเก่า ๆ ผุ ๆ เก้าอี้กับโต๊ะที่สร้างจากไม้ง่าย ๆ วางเรียงรายกันกว่าสิบชุด ครัวที่ดูไม่สะอาดนักแต่ถูกปกปิดด้วยความมืด แต่ด้วยราคาเครื่องดื่มและอาหารที่เป็นมิตรกับกระเป๋าคนใช้แรงงาน ร้านเหล้าของลุงโฉมจึงแออัดไปด้วยลูกค้าขาประจำและขาจร

“รีบ ๆ เข้าไปเลย ลูกพี่พวกเอ็งมานั่งรอนานแล้ว”

ลุงโฉมพูดทักทายเมื่อมองเห็นกลุ่มลูกค้าขาประจำและจำได้ว่ากลุ่มไหน พูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าลงไปสับคอไก่บนเขียงไม้เก่า ๆ

“เข้าไปเลย เดี๋ยวลูกพี่พิโรธ”

ยศพูดเร่งให้ทั้งหมดเดินเข้าร้าน

สิ่งที่ทั้งสามเห็นเมื่อไปถึงที่โต๊ะ คือขวดเหล้าที่พร่องลงไปเกินคอขวดแล้ว จานลาบเป็ดที่ลดจำนวนลงไปกว่าหนึ่งในสาม ชามต้มโคล้งที่น้ำลดระดับลงไปทิ้งรอยน้ำที่ลดลงมากว่าหนึ่งนิ้ว

ทันทีที่ฉิมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะหลังจากที่กระดกแก้วเหล้ารวดเดียวหมด เขาเห็นเพื่อนรุ่นน้องทั้งสามยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ด้วยแววตาที่ละอายเล็กน้อยลดลงมามองของที่วางบนโต๊ะ เขาจึงพยายามพูดแก้ตัว

“อื้ม...” ฉิมทำเสียงดังในลำคอ “กับแกล้มยังอร่อยเหมือนเดิม เป็ดสด ๆ เพิ่งถูกฆ่าวันนี้ ต้มโคล้งรสชาติดีจากปลาแห้งที่ตากได้ที่ และไม่ต้องห่วงว่าเหล้าขวดนี้จะเป็นเหล้าปลอม ข้าทดสอบแล้ว”

ฉิมยกขวดเหล้ามาเทใส่แก้วโดยที่ไม่ลืมเปิดฝา ก่อนจะยกขวดโซดาเทตามลงไปจนหมดขวด

“อ้อ” ฉิมมองไปที่ทั้งสามพร้อมชูขวดโซดา “โซดายังซ่าถึงหยดสุดท้าย”

ฉิมเทน้ำทั้งหมดในแก้วลงคอ

“โธ่... ไอ้พี่บ้า เขาปลอมแต่เหล้าแบล๊คเลเบิ้ล ชีวาส เหล้าขวดละพันสองพัน แล้วนี่อะไร” ยศชี้ไปที่ขวดเหล้า “แสงโสมขวดละสองร้อยกว่าบาท ถ้าโจรมันโง่มาปลอมแสงโสมขาย ชาติหน้ามั้งพวกมันคงจะรวยกัน”

เต้และนัยหัวเราะชอบใจ

“ขอบคุณนะครับพี่” นัยยกมือไหว้ไปที่ฉิม

“ขอบคุณเรื่องอะไรวะ” ฉิมทำท่างง

“ก็ขอบคุณที่ยอมเสี่ยงชิมเหล้าปลอมให้พวกผมไงครับ” นัยตอบพร้อมทำหน้าทะเล้นเรียกเสียงหัวเราะจากยศและเต้

“เอ่อ ๆ ข้าผิดเองที่เสียมารยาทไม่รอน้อง ๆ ที่เคารพก่อน มา ๆ มานั่งกันได้แล้ว”

“แหมพี่ ไม่มีใครว่าอะไรซักหน่อย” นัยพูดเสร็จก็จัดแจงชงเครื่องดื่มให้ทุกคนบนโต๊ะ ในฐานะที่เขาเป็นน้องเล็กสุดในวง

“แล้วทำไมวันนี้พวกเอ็งมาช้าวะ มาช้ากว่าปกติเกือบยี่สิบนาที” ฉิมเปิดประเด็น

“ผมก็จะมาทันแล้วล่ะพี่ แต่ที่ถนนใหญ่มีอุบัติเหตุ ถนนปิดเหลือเลนเดียว” เต้อธิบายเหตุผล

“ส่วนผมต้องส่งเมล์ให้ลูกค้าน่ะพี่ เลยออกจากไซท์งานช้าไปนิดนึง” นัยอธิบายบ้าง

“เหรอ น่าเห็นใจ งานคงยุ่ง” ฉิมปลอบใจรุ่นน้องก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มระบายความเครียด เหมือนเรื่องเครียด ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นกับเขาเอง

“แล้วเอ็งล่ะไอ่ยศ ทำไมถึงมาช้าวันนี้” หัวหน้าแก๊งวงเหล้าหันไปมองหน้าผู้ถูกถาม

“เครียดเรื่องที่ทำงานนิดหน่อยน่ะพี่ โดนเพื่อนร่วมงานโบ้ยงานให้ ผมเลยต้องรีบเคลียร์งาน เป็นแบบนี้มาทั้งอาทิตย์แล้วเนี่ย เบื่อ ๆ”

ยศพูดเสร็จก็รีบรินแก้วเหล้าเข้าปากเพื่อระงับอารมณ์ที่ร้อนระอุ

“ผมอยากจะลาออกจากบริษัทเต็มทนแล้ว”

“ใจเย็น ๆ แค่อาทิตย์เดียวเองไม่ใช่เหรอ อดทนหน่อยสิ ช่วงนี้งานอาจจะยุ่งก็ได้นะ รอซักพักให้อะไรเข้าที่เข้าทางก่อน อย่าลืมสิว่างานสมัยนี้หายาก ลาออกไปแล้วไม่ได้งานใหม่จะเอาอะไรกิน” ฉิมปลอบใจและเตือนสติรุ่นน้อง

“ใช่ ๆ งานของแกออกจะดี ได้นั่งออฟฟิศตากแอร์เย็นสบาย ข้านี่สิขี่รถตากแดดทุกวัน ๆ” เต้พูด

ฉิมนึกขึ้นได้ว่ากับแกล้มหมดจึงตะโกนสั่งเจ้าของร้าน

“ลุงโฉม ขอถั่วทอด ยำแหนม เอ็นไก่ทอด” ฉิมสั่งของเสร็จก็หันมาทางยศ “ ข้าสั่งกับแกล้มมาแล้ว เดี๋ยวเรามาดื่มย้อมใจกันให้อารมณ์เย็น ๆ”

ไม่นานลุงโฉมเจ้าของร้านก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะตามที่ฉิมสั่ง เขายังเอาขวดโซดาขวดใหม่มาวางแทนขวดเดิมที่พร่องไปจนหมดแล้ว

“ขอบคุณพี่” ยศเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “อ้อ... ผมมีของมาฝากพวกพี่ด้วย เกือบลืมแน่ะ” เมื่อพูดจบเขาหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนโต๊ะและล้วงมือเข้าไปหยิบของมาวางบนโต๊ะ 3 ชิ้น

“เฮ้ย ! อะไรวะ สวยดี” ใครคนหนึ่งร้องอุทานเบา ๆ

“วุ้นกุหลาบ” ยศเฉลย

“ไหน ๆ ไม่เห็นมีดอกกุหลาบซักกลีบเลย” เจ้าของเสียงอุทานถาม

“ไม่ใช่ ๆ นี่คือวุ้นมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงถูกนำมาหั่นบาง ๆ แล้วมาเรียงกันให้เป็นดอกกุหลาบ” ยศหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดจิ้ม “นี่ไงพี่”

ฉิมรับสมาร์ทโฟนมาดู โดยมีสองคนที่นั่งข้างมาร่วมดูด้วย


“เป็นแบบนี้นี่เอง” ฉิมคลายความสงสัย เนื่องจากในร้านแสงน้อยทำให้มองไม่ถนัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร “มันเป็นของหวานนี่ ขอบใจ เดี๋ยวข้าเอากลับไปกินที่บ้านละกัน ของหวานกับเหล้าไม่เข้ากัน ลิ้นไม่รับรสแล้วตอนนี้”

ยศเห็นเพื่อนร่วมวงทำท่าจะเก็บของฝาก จึงรีบพูด

“กินเลย ๆ อร่อยมากนะ รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย เอากลับไปกินที่บ้านทิ้งไว้นานเดี๋ยวไม่อร่อยแล้ว”

ทั้งสามได้ยินดังนั้นจึงค่อย ๆ เปิดฝาและใช้ช้อนตักเนื้อวุ้นใส่ปาก

“อร่อย !” ฉิม เต้ และนัยแทบจะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“ไปเอามาจากไหนเนี่ย” เต้ถาม

“พอดีมีสาว ๆ ซื้อมาฝาก ข้าเลยบอกว่าเอามาสี่เลย เพราะคิดถึงพวกเราไง”

“สุดยอด ร้ายกาจจริง ๆ” เต้พูด

“ว่าแต่ทำยากมั้ยนี่” นัยพูด

“ไม่น่ายากนะ แค่จัดเรียงชิ้นมะม่วงให้เป็นรูปดอก เอาวางในถ้วยแล้วก็ราดด้วยน้ำที่ผสมผงวุ้นแล้วก็แช่ในตู้เย็นให้แข็งก็ขายได้แล้ว”

“ทำไมทำง่ายจัง วัตถุดิบใช้แค่สองอย่างเอง” เต้เสริม “คงจะขายดีนะเนี่ย”

“คนที่ซื้อวุ้นนี้มาให้บอกว่านี่คือ 4 กล่องสุดท้ายพอดี” ยศบอก

“แล้วร้านอยู่ขายที่ไหน” ฉิมถาม

“เปล่าหรอก เป็นพนักงานออฟฟิศตึกเดียวกันเขาทำมาขายเล่น ๆ ที่ออฟฟิศไม่ได้ทำจริงจังอะไร มาวันนึงก็ 10 ชิ้นกว่า ๆ”

“เสียดายจริง ๆ ถ้าทำขายจริงจังน่าจะกำไรดี” ฉิมพูด

“คงจะอย่างนั้น เขาขายอันละ 35 บาท”

“เฮ้ย... ท่าทางจะกำไรดี แกทำขายจริง ๆ จัง ๆ เลยสิ ลาออกจากงานมาทำขายเลย” ฉิมเสนอ

“มันจะดีหรือพี่ แล้วจะเอาไปขายที่ไหน”

“ที่โรงงานข้าพวกสาว ๆ ชอบซื้อของแบบนี้กินประจำ สมมุตินะว่าขาย 35 บาท ต้นทุนผงวุ้นกับมะม่วง น่าจะซักครึ่งลูกมั้ง ตีไปเลยต้นทุน 10 บาท ได้แล้วเหนาะ 25 บาท แบ่งให้คนเอาไปขาย 5 บาท ข้าเอาไป 30 ชิ้นแกก็ได้แล้ว 600 บาท ในโรงงานคนเป็นร้อย ๆ ขายได้แน่นอนอยู่แล้ว แบ่งให้เต้กับนัยไปขายคนละ 20-30 ชิ้น วันนึงมีรายได้เป็นพัน โอ้... รวยๆ”

ยศจ้องมองไปที่แก้วเหล้า แต่ในใจของเขารู้สึกพองโต เมื่อได้ยินคำพูดของฉิมที่อาจจะสร้างอาชีพใหม่ให้เขาหลุดพ้นจากวังวนการทำงานที่แสนน่าเบื่อในออฟฟิศ

“น่าสนนะพี่ ถ้าผมทำได้วันละ 100 ชิ้น ก็น่าจะมีรายได้เกือบวันละ 2 พันบาท เดือน ๆ นึงก็น่าจะมีรายได้กว่า 3 หมื่นบาท นั่นมากกว่าที่ผมทุ่มเทชีวิตให้กับออฟฟิศเกือบสองเท่าเลยนะเนี่ย” ยศพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“จริงด้วยนะพี่ หากพี่ทำ ผมจะเอาไปขายที่ไซท์งาน พวกคนงานก่อสร้างและพวกคนคุมไซท์ต้องมาซื้อกินแน่ ๆ” นัยเสริม

“เอาเลย ๆ ข้าก็จะเอาไปช่วยขายให้ที่คิวรถ ราคาแค่นี้พวกนั้นมันซื้อกินแน่ ไอ่พวกนี้กินขนมกันวันละเกือบร้อยแล้ว” เต้สนับสนุนด้วยอีกเสียง

สายตาของยศเป็นประกายด้วยความหวังที่เขาจะสามารถลาออกจากออฟฟิศนรกนั้นได้ การมีธุรกิจส่วนตัวเป็นความฝันของหนุ่มสาวยุคใหม่ ไม่ต้องมีเจ้านาย ไม่ต้องมีเพื่อนร่วมงานให้ปวดหัว ไม่ต้องออกไปเผชิญรถติด ไม่ต้องไปแย่งอากาศกันหายใจ ไม่ต้อง ๆๆๆ ...

“เดี๋ยววันจันทร์ผมจะไปเขียนใบลาออกเลย” ยศพูดเสร็จก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มฉลองให้กับอิสรภาพล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่มันยังมาไม่ถึง “เอ้า ! ทุกคนหมดแก้ว” ทุกคนบนโต๊ะทำตาม

“แต่ก่อนอื่นต้องไปหาซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้มาสต๊อกเยอะ ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ลองฝึกทำ” ยศพูด

“เดี๋ยวก่อน” ฉิมขัด “ซื้อมาเก็บไว้เดี๋ยวมันก็เน่าสิ เก็บไว้นานมันจะสุกไปก่อน”

“จริงด้วย แล้วต้องทำยังไงล่ะเนี่ย”

“ไม่ต้องห่วงพี่ ผมพอรู้จักเจ้าของสวนผลไม้ มีมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยนะ ถ้าเรารับประจำเขาคงลดราคาให้” นัยพูด

“เยี่ยมเลย แล้วสวนเขาอยู่ที่ไหน”

“อยู่นอกเมือง ขี่มอไซค์แค่สิบโลเอง ขนมาที่ละ 30-40 ลูกก็ได้ พอดีทำวันต่อวัน” นัยอธิบายเพิ่มพร้อมออกความเห็น

“อืมม...” ยศทำท่าครุ่นคิด “เพิ่มขั้นตอนขนส่ง เพิ่มต้นทุนค่าเดินทาง”

“แต่เดี๋ยวนะ วุ้นแบบนี้พอทำเสร็จแล้วต้องแช่ตู้เย็นไว้ด้วยสิ มีตู้แช่หรือยังล่ะ” เต้พูด

“มีตู้เย็นเครื่องที่บ้าน คงแบ่งพื้นที่แช่วุ้นได้”

“แช่วุ้นแล้วห้ามแช่อาหารอย่างอื่นด้วยนะ เดี๋ยวกลิ่นอาหารจะตกลงไปในวุ้น” เต้เตือน

“จริงด้วย งั้นคงต้องล้างตู้เย็นให้สะอาดแล้วเอาไว้แช่วุ้นโดยเฉพาะก่อน ยังไม่มีเงินซื้ออีกเครื่อง รอให้ขายวุ้นได้กำไรเยอะ ๆ ก่อนค่อยซื้อตู้แช่ใหม่” ยศมั่นใจแนวความคิดนี้

“เอ... แล้วถ้าขายวุ้นไม่หมดล่ะ มะม่วงที่อยู่ข้างในคงจะช้ำและดำไปเสียก่อน นี่ดูสิ” ฉิมชี้ไปที่ชิ้นวุ้นที่เหลืออีกเสี้ยวและยังมีไส้มะม่วงเหลืออยู่ “มะม่วงมันเริ่มเปลี่ยนสีแล้วนะ”

“ใช่ ๆ แล้วการขนส่งออกไปขายต้องรักษาความเย็นด้วย” เต้เสริม

“แรก ๆ เราต้องทำไม่เยอะก่อน ค่อย ๆ ศึกษาดีมานด์ของลูกค้าไว้ และเพิ่มจำนวนชิ้นทีละนิดโดยคำนวณให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนเรื่องขนไปขายข้าจะลงทุนซื้อกล่องเก็บความเย็น”

“แต่ผมว่านะ ของแบบนี้ทำไปนาน ๆ เดี๋ยวลูกค้าจะเบื่อ เราต้องมีสินค้าที่หลากหลาย” นัยพูด

ยศไม่ตอบทันที เขากำลังคิดอะไรในหัวก่อนจะตอบ “ผลไม้ที่มีรสหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ พอจะเอามาทำไส้ได้ก็น่าจะเป็นสับปะรด อย่างอื่นยังคิดไม่ออก”

“แล้วถ้าฤดูที่มะม่วงแพงล่ะ จะทำไง” นัยพูด

“คงต้องเปลี่ยนผลไม้ตามฤดูกาล” สีหน้าความมั่นใจของยศก่อนหน้านี้หายไปกว่าครึ่งแล้ว

“ข้าว่านะ วุ้นแต่ละชิ้นน่าจะใช้เวลาทำไม่ต่ำกว่าสิบนาที ไหนจะต้องเทวุ้นลงไปอีก ต้องเคี่ยวผงวุ้นก่อน ไหนจะเอาใส่กล่อง แล้วยิ่งตกแต่งชิ้นมะม่วงให้เป็นรูปกุหลาบที่สวยงามอีก ถ้าทำวันละร้อยอันก็...” ฉิมพยายามคำนวณ “พันนาที” ฉิมคำนวณอีกครั้ง “ก็ประมาณ 16 ชั่วโมง แต่ถ้าฝึกทำจนคล่องเหลือแค่ชิ้นละห้านาที ก็ต้องทำ 8ชั่วโมง เอาน่า... ใหม่ ๆ ก็ทำน้อย ๆ ไปก่อน”

ยศเริ่มท้อ เขาคิดถึงเงื่อนไขหลาย ๆ อย่าง ไหนจะต้องเสียเวลาขี่รถไปซื้อมะม่วงที่สวน ไหนจะต้องนั่งทำวุ้นวันละ 8 ชั่วโมง ไหนจะเรื่องความเสี่ยงจากยอดขาย ไหนจะเรื่องต้นทุนต่าง ๆ นานาที่ต้องลงทุน

“แล้วถ้าวุ้นมันขายดีล่ะ พวกร้านวุ้นใหญ่ ๆ มันไม่เลียนแบบไปทำเหรอ ถ้าพวกนั้นมาขายตัดราคาเราไปอีกล่ะ จะทำยังไง” ...

“ใช่ ๆ พวกนี้มาขายตัดราคาให้รายเล็กอย่างเราตายก่อน พอคิดว่าหมดคู่แข่งแล้วก็อัพราคามาให้แพงกว่าเก่า เจ้าใหญ่ ๆ ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” ...

“การควบคุมคุณภาพของมะม่วงนี่ยากนะ บางช่วงก็หาซื้อมะม่วงที่สวย ๆ ไม่ได้ เจอมะม่วงเน่า ๆ ไปทำไปขาย ลูกค้าหนีหมดเลย” ...

“ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งของจำเป็น ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีคนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ของพวกนี้ยอดขายขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ” ...

“ยิ่งเดี๋ยวนี้โรงงานเลย์ออฟพนักงานบ่อย ดีไม่ดีโรงงานปิดตัวไปเลยก็มีนะ” ...

“ใช่ ๆ แม้ค่าแรงจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพก็ขึ้นไปรอก่อนแล้ว” ...

35 บาทนี่ข้าวแกงจานนึงเลยนะเนี่ย” ...

เสียงสนทนาวิเคราะห์ลามไปถึงเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาคดังเข้าหูยศ โดยที่เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าใครพูดว่าอะไรบ้างเพราะสมองมึนงงไปหมด คงมีแต่ฉิม เต้และนัยที่สวมบทนักวิเคราะห์พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งด้วยฤทธิ์น้ำเมากลับทำให้พวกเขาหัวสมองปราดเปรื่องยิ่งขึ้น

ทั้งสามหัวเราะชอบใจกับบทสนทนา ก่อนฉิมจะหันมาพูดกับยศ

“เตรียมคิดแก้ปัญหาเหล่านี้รึยัง”

“ล้มเลิก ๆ ไม่ทงไม่ทำแล้ว” ยศพูดเสร็จก็ยกมือทั้งสองข้างมาก่ายหน้าผาก

                “อ้าว... ทำไมล่ะ” ฉิมทำหน้าตายพูด “ยังไม่ได้เริ่มเลย”

                “ผมรู้สึกกลับมารักออฟฟิศของผมแล้ว” ยศตอบ

                คำตอบของยศเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสาม ยศรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

                “ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” ยศพูดเสร็จก็เดินลับหลังทั้งสามออกไปทันที

                เต้หันไปดูจนแน่ใจว่ายศเดินไปไกลแล้วก่อนจะพูด

                “เสียดายนะ ยศมันน่าจะทำ พี่อุตส่าห์แนะนำให้มัน”

                “นั่นสิ สงสัยพวกเราพูดถึงความเสี่ยงมากไปหน่อย มันเลยกลัวหัวหดไปก่อน”

                เต้และนัยหัวเราะร่า

                “เอ้า... ชนแก้ว ในฐานะที่ยศมันกลับมารักออฟฟิศ” ฉิมพูด ทุกคนทำตาม

                “แต่ความจริงมันไม่ทำน่ะดีแล้ว” ฉิมพูด

                “อ้าว... พี่เป็นคนแนะนำมัน” เต้พูด

                “เปล่าหรอก ข้าแค่ต้องการจะปลอบใจมันเท่านั้นแหละ  อยากให้มันรู้ถึงคุณค่าของงานที่มันทำ อยู่ออฟฟิศสบาย ๆ มีเงินเดือนมั่นคง แต่ดันจะออกมาเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เขามีแต่คนหาเช้ากินค่ำอยากไปทำงานในออฟฟิศ”

                “หา... นี่เป็นแผนของพี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือนี่ ล้ำลึกจริง ๆ” เต้พูด

                “โห... นี่พวกผมก็หลงเชื่อไปด้วย อุตส่าห์รับลูกตามพี่ไป” นัยพูด

                “ดีแล้วที่ช่วยกันรับลูก”

                ทั้งสามหัวเราะร่ากันอีกครั้ง แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่ายศยืนห่างออกไปจากพวกเขาไม่ไกล และยศยังได้ยินประโยคสนทนาเหล่านั้นด้วย

                “โธ่... ไอ้พี่บ้า” ยศพูดคำนี้ออกมาเบา ๆ เขาใช้คำด่าคำนี้เป็นครั้งที่สองของวัน “แต่ก็ขอบคุณนะ” เขาขอบคุณฉิมเป็นครั้งที่สองของวันเช่นกัน

                ยศยืนรอสักพัก ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ

                “ผมตัดสินใจแล้วพี่ ผมจะทำวุ้นกุหลาบ” ยศทำสีหน้าจริงจัง

                “หา !” ทั้งสามทำเสียงเดียวกันออกมาพร้อมกัน และหันไปทางเดียวกัน

                “จะเริ่มทำพรุ่งนี้เลย” ยศพยายามปั้นหน้า แต่สักพักเขาก็หลุดยิ้มออกมา “ทำแค่ 5-6 ชิ้นแหละ มาแบ่งพวกเรากินกันไง แล้วเอาไปฝากลูกกับเมียของพี่ด้วย”

                สิ้นเสียงยศ ทั้งหมดหัวเราะร่าด้วยความอบอุ่นของพี่น้องร่วมน้ำเมา

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

คำนึงสุดท้าย


               
 
                “โต้ง...” เสียงชายสูงอายุร้องทักเมื่อเขาเดินเข้ามาในงานศพของใครคนหนึ่ง “กลับมาเมืองไทยนานแล้วหรือ”

                “สวัสดีครับอาน้อย ผมกลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์กว่าเองครับ” โต้งยกมือไหว้อาน้อยที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยความเคารพ

                “อืม... อย่างน้อยก็ทันได้กลับมาดูใจพ่อเอ็งนะ ก่อนตาย”

                โต้งรู้สึกจุกอกในคำพูดนี้ แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์นั้นไว้แม้ว่าจะไม่มิดก็ตาม

                “เปล่าครับ ผมกลับมาตอนที่พ่อนอนไม่ได้สติแล้ว ทันเห็นพ่อตอนสายยางระโยงระยางเต็มไปหมด”

                “เหรอ... เฮ้อ...” อาน้อยถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

                “อาเพิ่งจะลงเครื่องมาวันนี้หรือครับ”

                “ใช่ บินตรงมาจากหาดใหญ่ไฟลท์เช้านี้เอง”

                “นี่แจ๊คครับ ลูกชายของผม ตอนนี้ 5 ขวบแล้วครับ แจ๊คไหว้ปู่ซะสิ”

                เด็กชายตัวน้อยยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ

                “ว่าไงหลานชาย” อาน้อยใช้มือลูบไปที่หัวของเด็ก “แล้วนี่จะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่า หรือจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก”

                “ผมลาออกมาแล้วครับ เพราะต้องเคลียร์งานเสร็จก่อน เลยกลับมาเมืองไทยช้าครับ”

                “แล้วเมียเอ็งล่ะ”

                “ซาร่าห์จะบินตามมาภายในเดือนนี้ครับ”

                “อ้อ มีเมียฝรั่ง มิน่าหลานตาสีน้ำข้าวเชียว”

                โต้งฝืนหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่เศร้าและหดหู่นี้ เขารู้ตัวดีว่าคำแก้ตัวเรื่องที่ทำให้เขากลับเมืองไทยล่าช้าแม้จะพูดให้ใครฟัง แต่มันก็ยังดูไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ถึงข้ออ้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม

                “แล้วจะอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”

                “ใช่ครับ ผมคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ส่วนเรื่องงานก็คงหาทำแถวนี้ครับ”

                “ดีแล้ว พ่อเขาเป็นห่วงเอ็งมาก สมบัติทุกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายคนเดียวมารับต่อ”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ

                “งั้นเดี๋ยวอาเข้าไปในงานก่อนนะ ไว้คุยกัน”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ อีกครั้ง

                เขามองเข้าไปในศาลางานศพที่ไม่ใหญ่มาก มีแขกเหรื่อไม่เยอะเพราะโต้งยังไม่ทันส่งข่าวให้ใคร เพราะเขาเองก็เริ่มห่างหายจากเพื่อนๆ และคนสนิทของพ่อไปนานหลายปี มีแต่ญาติหลายสิบคนเต็มศาลา งานในครั้งนี้จึงเหมือนกับการรวมญาติครั้งใหญ่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่มีพ่อของโต้ง

                โต้งไม่แน่ใจว่ามีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เขาคิดสะท้อนกลับไปกว่า 15 ปีที่เขาไปเรียนและทำงานเป็นแพทย์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาจะบินกลับไทยเฉลี่ยปีละครั้งนั้น ยกเว้น 5 ปีหลังสุดที่เขามีลูก โต้งไม่มีเวลากลับมาเมืองไทย นั่นคงจะทำให้พ่อของเขารู้สึกเหงาอยู่บ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้อยู่เคียงข้างชายแก่คนหนึ่ง

                อาน้อยเป็นญาติที่โต้งสนิทที่สุด นอกนั้นเป็นญาติที่ค่อนข้างจะเหินห่าง ทำให้โต้งไม่ได้ต้อนรับแขกเหรื่อได้ดี ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าภาพ

 

                ในเช้าหลังจากที่มีการเผาศพเรียบร้อยแล้ว โต้งตื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เขายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เขาจากไปนาน โต้งเข้าไปในห้องเก็บหนังสือของพ่อที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือและกองหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้น หนังสือหลายเล่มเป็นนิตยสารเก่าที่เรียงหมายเลขต่อเนื่องกัน ในตู้หนังสือคงจะเป็นหนังสือที่ไม่ได้หยิบออกมาบ่อยนัก

                โต้งหันไปมองยังโต๊ะอ่านหนังสือ บนนั้นมีสมุดเก็บภาพถ่ายหลายเล่มวางอยู่บนนั้น โต้งค่อยๆ หยิบเล่มบนสุดเปิดดู เขาเห็นภาพถ่ายของตัวเองในวัยเด็ก ในนั้นมีทั้งเขา พ่อและแม่ รวมไปถึงพี่สาวของเขาที่ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นแม่ก็ตรอมใจตายตามไป

                ความหดหู่และรู้สึกสงสารพ่อเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในลำคอของโต้ง พ่อของเขาที่ต้องอดทนต่อสู้กับความเหงาว้าเหว่ถึง 10 ปีจากที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า แม้โต้งจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังมีพี่สาวและแม่ แต่เมื่อความสูญเสียมาเยือน นั่นทำให้พ่อต้องเดียวดายอย่างแท้จริง

                โต้งเคยบอกพ่อว่าจะกลับมาหางานทำในประเทศไทยเมื่อเรียนจบ แต่พ่อของโต้งไม่เห็นด้วยในตอนนั้น

               

                โต้งพาแจ๊คซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้าน เขาตั้งใจจะพาลูกชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าที่เขาเคยมากินนานแล้ว หากแต่ว่ามันไม่ปิดไปเสียก่อน

                รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าร้านที่คนพลุกพล่าน นั่นแสดงว่าร้านยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมสั่งเมนู โต้งมองไปรอบๆ ร้านพร้อมรำลึกความหลังเก่าๆ ที่เขาเคยมากินพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างในร้านแทบจะเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับกว่า 10 ปีที่แล้ว มีเพียงแต่เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หน้าตาไม่คุ้นเคย

                กลิ่นหอมของน้ำซุปจากโต๊ะอื่นโชยมาเข้าจมูก โต้งรู้ดีว่าร้านนี้คือร้านโปรดของพ่อ พ่อคงจะมาที่นี่บ่อย ภาพพ่อของเขาที่นั่งคีบเส้นในชามก๋วยเตี๋ยวยังคงติดตาและไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ ทุกครั้งพ่อจะต้องซดน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่ไม่ผ่านการปรุงใดๆ จนหมดชาม

                โต้งแทบจะไม่เชื่อสายตา! เขามองเห็นโต๊ะๆ หนึ่งที่ถัดจากเขาไปและอยู่ริมรั้ว ชายแก่ที่นั่งคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากคนนั้นคือพ่อของโต้ง เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าชายคนนั้นคือพ่อของเขาอย่างแน่นอน โต้งคงจะลุกเดินไปหาพ่อของเขาแล้ว หากเขาลืมไปว่าเพิ่งจะเผาร่างพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

                ภาพชายแก่ที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดคนเดียวทุกวันๆ คงจะเป็นภาพธรรมดาที่คงจะชาชินไปแล้วสำหรับคนที่ต้องทนอยู่กับความเหงา แต่สำหรับโต้งที่มีทั้งลูกและเมีย มันช่างสะเทือนอารมณ์ของเขาไปถึงก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ ความเศร้าสะเทือนใจกำลังจะกลั่นตัวออกมาเป็นหยดสายน้ำใสๆ ในอีกชั่วอึดใจเดียว หากไม่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างอารมณ์นั้นก่อน

                “นั่นโต้งใช่มั้ย”

                โต้งหันไปทางต้นเสียง เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเจ้าของร้านที่เคยทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามา

                “สวัสดีครับป้าละมัย” โต้งยกมือไหว้ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “ไหว้ยายสิลูก”

                “เป็นยังไงบ้าง ป้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องพ่อของเธอ เสียใจด้วยนะ”

                โต้งยิ้มรับคำ เขาหันไปมองที่โต๊ะริมรั้วอีกครั้ง เขาไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่ที่เขาไม่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขานั่งอยู่

                “แล้วนี่จะยังไงต่อไปล่ะ จะกลับมาอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปเป็นหมอที่อเมริกา”

                “ผมจะกลับมาหางานทำที่นี่ครับ เอ่อ... ป้ารู้ว่าผมทำงานอะไร...”

                “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พ่อของเธอมาที่นี่บ่อย ชอบมาคุยเรื่องลูกชายให้คนโน้นคนนี้ฟัง แกดูจะภูมิใจในตัวโต้งมากเลยนะ”

                “พ่อของผมคงจะเหงา เขาคงมาหาเพื่อนคุย”

                ละมัยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็มาหาเพื่อนเก่านั่งคุยกันตามประสานั่นแหละ ป้าขอตัวเข้าไปในครัวก่อนนะ แล้วโอกาสหน้าแวะมากินบ่อยๆ ล่ะ”

                “ขอบคุณครับ” โต้งพูด

                หลังจากป้าละมัยเดินพ้นไป โต้งหันไปมองยังโต๊ะริมรั้วอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่กำลังใช้ช้อนกวาดน้ำก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายใส่ปาก

 

                ในคืนนั้น โต้งแต่งตัวด้วยชุดนอนหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกาย เมื่อหันไปที่เตียงก็เห็นแจ๊คกำลังเปิดสมุดเก็บรูปภาพหลายเล่ม

                “พ่อครับ ผมคิดถึงคุณปู่”

                โต้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ แค่เพียงอาทิตย์เดียวที่ลูกชายของเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปู่ จะสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันได้เพียงนี้ แม้พ่อของเขาจะไม่ได้สติเหมือนคนทั่วไป

                “ปู่ของลูกก็คงจะคิดถึงลูกเช่นกัน รู้มั้ยว่าปู่บ่นอยากเห็นลูกมานานแล้ว แต่ว่าพ่อไม่ได้พาลูกมาเจอปู่ก่อนหน้านี้ พ่อขอโทษนะลูก” โต้งลูบหัวของลูกชายเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเด็กน้อย

                “พ่อร้องไห้ทำไมครับ” แจ๊คตกใจที่เห็นน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่อ

                โต้งปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว “พ่อสงสารลูกที่ไม่มีโอกาสได้เจอปู่น่ะสิ พ่อผิดเองที่ไม่พาลูกกลับมาที่เมืองไทยก่อนหน้านี้”

                เด็กน้อยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เขยื้อนตัวเขามาใกล้พ่อของเขาพร้อมโอบกอดร่างใหญ่โอบไม่มิดไว้แน่น “ผมได้เจอกับปู่แล้วครับ ผมได้นอนกอดปู่ ได้คุยกับปู่ ได้ร้องเพลงให้ปู่ฟัง”

                “ลูกไม่เสียใจหรือที่ไม่ได้มาเจอปู่ก่อนหน้านี้”

                “ไม่ครับ สำหรับแจ๊คแล้วมีโอกาสแค่นี้ก็เพียงพอ”

                โต้งยิ้มรับกับคำพูดที่ออกมาจากปากน้อยๆ เขาโอบกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก

                “ในตอนที่แม่ของลูกคลอดลูกออกมา  พ่อส่งข่าวและรูปภาพของลูกมาให้ปู่ดู รู้มั้ยว่าปู่ดีใจแค่ไหน คิดดูสิ คนอีกซีกโลกนึงตื่นเต้นดีใจที่คนอีกซีกโลกนึงถือกำเนิดออกมา ในตอนนั้นพ่อก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อว่าคืออย่างไร มันทำให้พ่อคิดถึงปู่มากขึ้น แต่เพราะหน้าที่การงานและภาระหลายอย่างทำให้พ่อบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมปู่ทุกครั้งหลังจากที่มีลูก ลูกรู้มั้ยว่าลูกเป็นดวงใจของพ่อ เหมือนกับที่พ่อก็เป็นดวงใจของปู่เช่นกัน”

                โต้งพูดจบก็ก้มลงดูลูกชายที่นอนซุกตัวในอ้อมอกของเขา ปรากฏว่าแจ๊คนอนหลับตาสนิทไปแล้ว โต้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ วางเจ้าตัวน้อยลงบนที่นอน พร้อมห่มผ้าให้กับดวงใจดวงเล็กๆ ของเขา

               

                โต้งลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เขาเดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือที่มีโต๊ะประจำตำแหน่งของพ่อ โต้งนั่งลงบนนั้น

                ลิ้นชักใต้โต๊ะถูกเปิดออก ในนั้นรกไปด้วยเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ โต้งหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น

                พ่อคิดถึงโต้ง พ่อเหงา พ่อไม่เหลือใครแล้ว....

                โต้งไม่อาจจะทนทานอ่านต่อได้ เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสงสารพ่อของเขาจับใจ

                “ร้องไห้ทำไม่โต้ง” เสียงที่คุ้นเคยดังมาผ่านหูของโต้ง

                เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่ง ที่พ่อของเขาเข้ามาปลอบใจยามที่โต้งมีน้ำตาในอดีต  แต่ทว่าเมื่อเขาคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ นั่นเป็นเสียงที่เขารับรู้ได้ด้วยหูของเขาอย่างแน่นอน

                “พ่อ” โต้งพูด

                พ่อของโต้งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง โต้งเห็นและแน่ใจว่านั่นคือพ่อตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน

                “พ่อมาได้ยังไง” เสียงพูดปนตกใจดังมากจากลูกชาย

                “เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือลูกร้องไห้ทำไมกัน”

                “ก็ผมสงสารที่พ่อทนอยู่อย่างเหงาๆ มาหลายปี ผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้”

                “อย่าพูดแบบนั้น” พ่อของโต้งเอ่ยคำๆ นั้นด้วนน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ความเหงาเป็นแค่อารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จางหาย”

                “แต่ผมบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ หลังจากที่ผมมีแจ๊ค นั่นคงจะทำให้พ่อเสียใจ”

                “ไม่หรอกลูก อย่าคิดแบบนั้นเลย คนทุกคนมีหนทางเดินที่ต่างกัน ลูกก็มีความจำเป็นของลูก ส่วนเรื่องหลานของพ่อ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่พ่อได้เจอกับหลาน แม้พ่อจะไม่ได้สติ แต่พ่อก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีลูกและลูกของลูกอยู่ใกล้ๆ เจ้าแจ๊คที่มานอนข้างพ่อๆ ก็รับรู้ มาร้องเพลงมาพูดคุยพ่อก็รับรู้ได้ แค่ไม่สามารถตอบรับกลับไปได้แค่นั้นเอง”

                “จริงหรือครับ” โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง

                “พ่อหมดอายุขัยไปแล้ว ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ที่จะต้องให้มาคอยกังวล ทุกข์และสุขที่เคยเป็นเรื่องในอดีตมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับพ่อ ตอนนี้พ่อไปสู่นิพพานที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกห่วงใยใดๆ ให้ต้องคำนึงอีกต่อไปแล้ว มันจบแล้ว”

                โต้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขามองรอบตัวยังเห็นแจ๊คที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา โต้งคงฝันไป แม้โต้งจะคิดว่านั่นเป็นความฝัน แต่ทุกถ้อยคำที่ได้ยินจากในฝันนั้นเขาจดจำมันได้เป็นอย่างดี โต้งคิดว่านั่นคงเป็นแค่จิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง ที่ยอมให้อภัยความสำนึกผิดที่เขาพยายามคิด และต่อไปคงถึงเวลาที่เขาจะให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง

                ในคืนนั้นโต้งนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ความสำนึกผิดใดๆ บางทีเขาอาจจะให้อภัยตัวเองแล้ว เหมือนกับเรื่องจิตใต้สำนึกที่โต้งเคยเรียนมาว่า คนเราพอนอนฝันถึงเรื่องใด แสดงว่าเรื่องนั้นคือเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของคนๆ นั้น และต่อไปโต้งคงจะไม่นอนฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

 

                บนท้องฟ้ามีมวลหมู่เมฆหลายก้อนเรียงรายไม่ห่างกัน ร่างพ่อของโต้งโปร่งใสกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไป

                “ไปไหนมาหรือท่าน” ผู้เฒ่าบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                “จิตไม่สงบ ยังเป็นห่วงลูกชาย ผมก็เลยกลับไปปรากฏตัวให้ลูกชายเห็น และยังไปเข้าฝันลูกชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจอีกด้วย”

                “แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”

                “คิดว่าคงได้ ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว คงถึงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ได้ซักที” พ่อของโต้งพูด

                “อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเอาบ้าง นี่ก็ตายมาหลายปีแล้ว แต่ลูกกับเมียยังมาแย่งธุรกิจที่เราสร้างไว้ เราเป็นห่วงจริงๆ ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง คงต้องลงไปเตือนสติกันบ้างแล้ว”

                “โอ้... เห็นข่าวเรื่องการแย่งสมบัติในโลกมนุษย์เยอะจริงๆ ว่าแต่เมียท่านชื่ออะไรล่ะ แล้วธุรกิจของท่านคืออะไร”

                “เมียเราเหรอ ชื่อประนี ทำธุรกิจโขลกน้ำพริกขาย”

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...