วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรือยอร์ชพูดได้


"มูลนิธิสืบ โกศลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ประมูลเรือยอร์ชของท่านสืบไปในราคา 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่เราคาดหวังไว้กว่า 30 ล้าน หากท่านสืบยังอยู่และได้ทราบว่ามูลนิธิของท่านได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ประมูลมูลค่าสูงขนาดนี้ ท่านคงจะดีใจ"
พิธีกรสาวพูดกล่าวบนเวทีในห้องประชุมที่จุคนจำนวนนับพัน ห้องแห่งนี้กำลังแสดงความยินดีกับปองปรีดา เจ้าของเรือยอร์ชราคาแพงคนใหม่ ซึ่งเจ้าของคนเดิมคือสืบ เจ้าของมูลนิธิสืบ โกศล และยังเป็นเจ้าของธุรกิจภัตตาคารจีนหลายสาขาทั่วประเทศ เขายังครองแชมป์รายได้สูงสุดจากการขายอาหารจีนติดต่อกันนานเกือบ 10 ปีแล้ว ถ้าหากว่าสืบไม่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อหลายเดือนก่อน ปีนี้เขาคงจะครองแชมป์เรื่องรายได้ในธุรกิจที่เขาถนัดที่สุดเป็นสมัยที่ 11
"และเจ้าของเรือยอร์ชสุดหรูที่เคยเป็นตัวแทนของท่านสืบ ก็คือคุณปองปรีดา ทายาททางธุรกิจอันดับ 1 ของท่านสืบ ขอเชิญคุณปองปรีดาขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึกค่ะ"
พิธีกรสาวพูดเสร็จ ปองปรีดาก็ลุกจากโซฟาแถวหน้าสุดเดินขึ้นไปบนเวที เขาขึ้นไปยืนบนแท่นพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆห้องประชุม สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ปองปรีดา สายตาบางคู่แสดงความชื่นชมนับถือ แต่บางคู่ก็ยังแฝงไปด้วยความเคลือบแคลงใจในชายคนนี้ ปองปรีดาพูดผ่านไมโครโฟน
"หากจะพูดถึงความเสียใจที่คุณพ่อมาจากไป คนที่เสียใจที่สุดน่าจะเป็นจันทร์เพ็ญภรรยาของผม ซึ่งเธอก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณพ่อ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นความโศกเศร้าที่มากเกินกว่าผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว สำหรับตัวผมเองนั้นได้รู้จักกับท่านมานานนับ 10 ปี ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เพราะท่าน คุณพ่อให้โอกาสใหม่ๆในชีวิตแก่ผม และยังให้โอกาสในการดูแลลูกสาวของท่านแก่ผมด้วย ผมรู้ดีมาตลอดว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่ท่านรักที่สุด ผมจึงยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อประมูลเรือยอร์ชลำนี้มา เพื่อเป็นเครื่องลำลึกถึงท่าน เราสองคนจะคิดถึงท่านสืบ โกศลทุกครั้งที่ได้ล่องเรือลำนี้"
เสียงปรบมือดัง แสงไฟแฟลชจากช่างถ่ายภาพสว่างสลับกันนับไม่ถ้วน ปองปรีดาเดินลงมาจากเวทีทันทีเมื่อพูดจบ เหมือนกับเขาไม่อยากยืนเป็นเป้าสายตานานเกินไปนัก
ปองปรีดากลับไปนั่งที่โซฟาเดิมของเขา  ผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่ของปองปรีดาเป็นเชิงปลอบใจ ผู้ชายเหล่านั้นต่างเป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารใหญ่ที่มีความอาวุโสกว่าปองปรีดาทั้งนั้น ปองปรีดานั่งลงบนโซฟาโดยไม่พูดอะไร

"เป็นยังไงบ้างคะพี่ ที่งานการกุศล" จันทร์เพ็ญ ภรรยาของปองปรีดาพูดเมื่อปองปรีดากลับมาถึงบ้าน
"พี่สามารถประมูลเรือยอร์ชที่เป็นทรัพย์สมบัติในนามของมูลนิธิมาได้แล้ว"
"จริงหรือคะ เรือลำนั้นมีความทรงจำดีๆมากมายของคุณพ่อและน้อง โชคดีจริงๆที่มันได้กลับมาอยู่กับเราอีกครั้ง"
ปองปรีดาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อสามารถทำให้เธอยิ้ม
"สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความทรงจำ เราจะเก็บมันไว้เสมอในใจเรา"
"ไว้เรื่องทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เราสองคนไปออกเรือด้วยกันอีกนะคะ"
"ได้สิจ้ะ รอให้เรื่องคดีความเสร็จสิ้นก่อน ให้คนร้ายที่ฆ่าคุณพ่อเข้าตารางให้ได้ จากนั้นเราจะออกเดินทางไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้ง"
จันทร์เพ็ญโผเข้ากอดปองปรีดาไว้ สีหน้าเธอตอนนี้แม้จะแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ก็ยังพอจะมีรอยยิ้มแสดงออกบนใบหน้านี้
"ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างคะ"
"ตำรวจยังไม่สรุปสำนวนคดี ในเบื้องต้นตำรวจบอกว่าพี่อาจจะถูกจัดฉากให้เป็นฆาตกร แต่หลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้พี่ไม่เป็นผู้ต้องสงสัย คงจะมีคนใกล้ตัวที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"
จันทร์เพ็ญทำสีหน้าตกใจกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอถึงกับใจหายว่ามีคนใกล้ตัวของสืบลอบกัดพ่อของเธอ และเธอเองก็อาจจะเป็นรายต่อไป จันทร์เพ็ญถึงกับตัวสั่นจนปองปรีดาสังเกตได้
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่พี่ยังอยู่ ก็จะไม่มีใครมาสามารถทำอะไรน้องได้"
ปองปรีดาพูดพลางรัดโอบจันทร์เพ็ญ ท่าทางของเธอจะคลายความหวาดกลัวลงไป เมื่ออยู่ในอ้อมอกของชายคนที่เธอรัก

ในร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม 5 ดาว เหล่าบันดาหุ้นส่วนคนอื่นๆต่างมาชุมนุมกันโดยที่ไร้เงาของปองปรีดา ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ความสมัครสมานสามัคคีกลับมาอยู่ทางฝั่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นอีกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีความเห็นที่แตกแยกของกลุ่มคนเหล่านี้มีออกมาบ่อยครั้ง
เสี่ยบุญยง ผู้ถือหุ้นของสืบ โกศลกรุ๊ป ที่มีมูลค่าหุ้นรองจากปองปรีดาเพียงคนเดียวเท่านั้นหลังจากที่ปองปรีดาได้รับมรดกจากสืบ เขาเริ่มต้นคำพูดในค่ำคืนนี้
"อย่างที่ทุกท่านทราบ ตอนนี้ลมมันเปลี่ยนทิศไปแล้ว ความไม่แน่นอนได้ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พวกเรา หากพวกเราไม่เกาะกลุ่มกันดีๆไว้ มีโอกาสที่นายปองปรีดาจะเขี่ยเราให้พ้นจากเส้นทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร"
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างส่งเสียงเห็นด้วยกับแนวคิดของเสี่ยบุญยง จากนั้นนริศที่ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการบริหารก็พูดขึ้นมา
"ใช่แล้วครับ เรื่องนั้นเรายังต้องคุยกันอีกยาว และถ้าหากตำรวจยังไม่สามารถตามหัวตัวคนร้ายได้โดยเร็ว สถานการณ์ที่คลุมเครือนี้ก็ยากที่จะคลี่คลาย"
ทุกคนบนโต๊ะทำท่าทีเห็นด้วยอีกครั้ง เสี่ยอำนาจที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น เขามีหุ้นส่วนในธุรกิจสำคัญๆหลายตัวในตลาด เขาพูด
"ว่าแต่พวกเราที่นั่งอยู่ในนี้ไม่มีใครรู้เห็นกับเรื่องนี้ใช่มั้ย ?"
น้ำเสียงที่ดุดันของอำนาจทำให้ทุกคนต่างผวาเล็กน้อยกับเสียง จนกระทั้งเสี่ยบุญตาต้องรีบพูด
"จะมีใครได้ประโยชน์จากการตายของสืบ สืบตายพวกเราก็ไม่ได้อะไรเลย ผู้ถือหุ้นก็ต่างมีจำนวนหุ้นเท่าเดิม ยกเว้นก็แต่..."
เสี่ยบุญยงไม่พูดชื่อคนออกมา แต่คนอื่นๆก็รู้ว่าเสี่ยบุญยงพูดถึงใคร
"นั่นน่ะสิ แรงจูงใจมันชัดเจนขนาดนี้ ตำรวจมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่" ใครบางคนพูดออกมา
"มันไม่มีหลักฐาน แม้ปองปรีดาจะเป็นคนพบศพคนแรก แต่ตำรวจก็ไม่พบอาวุธในการฆาตกรรม และยังมีพยานที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ลงมือฆ่าสืบ" เสี่ยบุญยงอธิบาย
"สมมุตถ้าไม่ใช่ปองปรีดาก็คงจะเป็นพวกของเสี่ยถัง เสี่ยถังเคยโดนสืบเล่นงานจนเกือบไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้" เสี่ยบุญยงพูด
"มีความเป็นไปได้ สืบเคยเล่นสกปรกกับเสี่ยถังไว้เยอะ เรื่องข่าวลือที่สืบปล่อยทำลายฝ่ายตรงข้าม เกือบทำให้เสี่ยถังต้องเข้าไปอยู่ในคุกได้" ใครอีกคนนึ่งพูด
"แต่ผมว่าเรื่องนี้มันอาจจะไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่ เรื่องความแค้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าถึงกับมายิงกันตายนี่มันคงจะเสี่ยงมากเกินไป ได้ไม่คุ้มเสีย" นริศเสนอความคิดเห็น
"น่าจะเป็นอย่างที่นริศว่า เสี่ยถังคงมีแรงจูงใจอยู่บ้างแต่เขาคงไม่ซี้ซั้วฆ่าคนระดับสืบเพื่อเรื่องแค่นี้" อำนาจเสริม
"ผมก็คิดอย่างนั้นครับ คนที่มีแรงจูงใจและมีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดสืบมากที่สุดก็คือปองปรีดา และผมเคยได้ยินข่าวเรื่องการไม่ลงรอยของสืบกับปองปรีดาในเรื่องการทำธุรกิจ" นริศพูด
"หรือว่าคนที่บุกฆ่าสืบบนเรือยอร์ชลำนั้นจะเป็นพวกโจรทั่วไปเพื่อชิงทรัพย์" อำนาจตั้งคำถาม
"เป็นไปไม่ได้ครับ ยามที่เฝ้าในอู่จอดเรือยืนยันว่าไม่มีใครเข้าออกรั้วนั้นในช่วงเวลาภายใน 1 ชั่วโมง ยกเว้นปองปรีดาคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ ตำรวจไม่พบอาวุธปืนที่ยิงสืบ ก็เลยไม่สามารถสรุปได้ว่าปองปรีดาเป็นคนยิง"
ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จนใครคนหนึ่งบนโต๊ะตะโกนขึ้นมา
"เอ้า คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ มากินอาหารกันดีกว่า"
ทุกคนบนโต๊ะต่างหันมาสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า

รถเก๋งคันหรูสีดำมันวาวเข้าจอดเทียบหน้าประตูสถานีตำรวจ เมื่อรถจอดสนิทคนขับรถรีบก้าวออกจากรถเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ปองปรีดานั่ง ปองปรีดาลงจากรถและเดินเข้าไปในอาคาร จากนั้นเขาถามถึงห้องของสารวัตรก่อนจะเดินตรงไปที่นั่น
"อ้าว คุณปองปรีดา มาตามเวลานัดเลยนะครับ" สารวัตรพูดทักทายกับผู้มาเยือน
"ผมไม่อยากทำให้ท่านสารวัตรเสียเวลากับผมนานครับ เลยต้องรักษาเวลา" ปองปรีดายิ้มทักทาย
"งั้นเชิญนั่งเลยครับ เราจะได้เข้าเรื่องกัน นี่คือสำนวนที่เราเคยซักถามกับคุณปองปรีดามาแล้ว แต่เราอยากจะเน้นถึงความชัดเจนเลยต้องขอเวลาคุณปองปรีดามาให้ปากคำ" สารวัตรหยุดพูด ก่อนจะพูดต่อ
"ในฐานะพยาน"
"ได้ครับ" ปองปรีดาตอบด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
"ในเช้าวันที่ 7 xx 25xx เวลา ตี 5 คุณปองปรีดาโทรเข้ามาแจ้งกับสถานีตำรวจว่าพบศพคุณสืบ บนเรือยอร์ชในห้องนอนใช่มั้ยครับ"
"ใช่ครับ"
"เมื่อตำรวจไปถึงเราพบศพคุณสืบในสภาพถูกยิงจากท้ายทอย มีเลือดนองเต็มพื้นและมีเศษเลือดกระจายติดที่ผนังฝั่งที่คุณสืบยืนหันหลังให้"
"ใช่ครับ ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี"
"หลังจากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวคุณปองปรีดาไว้ เพื่อตรวจสอบร่องรอยหลักฐานที่อยู่บนตัวคุณปองปรีดา"
"ใช่ครับ และผลการตรวจหาร่องรอย ก็ไม่พบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง ไม่มีกลิ่นดินปืนติดบนเสื้อผ้าของผมรวมถึงคราบเลือด และที่ส้นรองเท้าของผมไม่มีเลือดติดอยู่"
"กล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพบริเวณทางขึ้นเรือยืนยันว่าคุณไม่ได้เดินออกมาจากห้องเลย ตั้งแต่คุณโทรหาเราจนเมื่อตำรวจไปถึง"
"ใช่ครับ"
สารวัตรหยุดนิ่งไม่พูดอะไร แม้เขาจะพยายามปั้นสีหน้าให้ปกปิดร่องรอยแห่งความเครียดไว้ แต่ปองปรีดาก็ยังสังเกตได้ถึงความสับสนของสารวัตร
"เอาล่ะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจสรุปได้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนยิง คุณแค่เดินเข้าห้องไปและพบศพคุณสืบ ผมขอความเห็นคุณปองปรีดาหน่อยครับ ในฐานะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณสืบมากที่สุด คุณคิดว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆาตกรรมคุณสืบบ้าง"
ปองปรีดาหยุดคิด เขาแสดงสีหน้าใช้ความลังเลที่จะพูด
"เอ่อ ขอโทษครับคุณสารวัตร ผมไม่สามารถพูดอะไรได้"
"ไม่เป็นไรครับ เราไม่มีอะไรจะสอบถามแล้ว ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ"
ปองปรีดาลุกขึ้นยืนพร้อมลาสารวัตร ก่อนเขาจะเดินออกจากห้องไป ตำรวจนักสืบคนหนึ่งแอบชำเลืองปองปรีดา เมื่อมั่นใจว่าปองปรีดาเดินจากไปไกลแล้ว เขาจึงเดินตรงไปยังห้องของสารวัตร
"ผมไปสืบตามที่สารวัตรบอกแล้ว เราไม่เจอการกระทำใดๆนี่น่าสงสัยของปองปรีดาเลย รวมถึงความสัมพันธ์ของคนที่อยู่รอบตัวของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคดี"
"เหรอจ่า แล้วกล้องวงจรปิดที่เราได้จากที่เกิดเหตุบอกอะไรมั้ย"
"ในเวลานั้นปองปรีดาเดินขึ้นเรือด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพู กางเกงยีนและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ไม่มีอะไรที่ปองปรีดาถือขึ้นไปบนเรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะซ่อนปืนไว้ในตัว และตั้งแต่เขาเดินเข้าห้องไป เพียงแค่ผ่านไป 3 นาที เวลานั้นที่ สน. เราก็ได้รับแจ้งจากปองปรีดาว่าพบศพ"
"มีใครได้ยินเสียงปืนช่วงนั้นมั้ย"
"ระยะทางที่ระหว่างเรือกับป้อมยามห่างกันเกือบ 400 เมตร ถ้าเป็นปืนเก็บเสียงยามคงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน"
สารวัตรยิ่งทำหน้าเครียด เวลานี้เขาไม่ต้องแกล้งกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไปแล้ว ทำให้ตำรวจนักสืบมั่นใจว่าสารวัตรจริงจังกับคดีนี้มากเพียงใด
"รายงานผลชันสูตรศพของผู้ตายล่ะ"
"สภาพศพในเวลาที่เข้าเก็บศพยังอยู่ในสภาพอุ่น ไม่น่าจะตายเกิน 1 ชั่วโมง"
"จากกล้องวงจรปิดมีคนเข้าเดินขึ้นไปบนเรือมั้ยภายใน 1 ชั่วโมงนี้"
"ในกล้องไม่พบใครเดินผ่าน แต่ถ้าหากคนร้ายรู้มุมกล้องก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินขึ้นเรือโดยไม่ให้กล้องจับได้"
คำบอกเล่าของตำรวจนักสืบ ยิ่งทำให้สารวัตรถึงกับคิ้วชนกัน
"ต่อจากนี้สารวัตรจะทำยังไงต่อไปครับ"
"คงต้องไปข้อความเห็นจากเสี่ยถัง"

ในสถานบริการออกกำลังกายย่านใจกลางเมือง ผู้คนต่างประจำอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายของตัวเอง เสียงเหล็กกระทบกันจังหวะคล้ายเสียงกลอง สายพานลู่วิ่งดังสร้างความถี่เสียงคล้ายเครื่องดนตรี ในมุมยกน้ำหนักด้วยบาร์เบล เสี่ยถังกำลังยืนอยู่ใต้คานเหล็กที่วางอยู่บนโครงเหล็ก เขากำลังเตรียมทำท่าสควอทโดยมีเทรนเนอร์ตัวใหญ่ช่วยประครองที่ด้านหลัง เสี่ยถังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างแผ่วเบา เพื่อรวบรวมสมาธิในการแบกน้ำหนักกว่า 120 กิโลกรัม และจังหวะนี้ถึงจุดที่เขาพร้อมในการยืดต้นขาเพื่อดันลูกหลักขึ้น เสี่ยถังเปล่งเสียงดังลั่นเพื่อเรียกพลัง
"เอส.....!!"
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เสี่ยถังจะได้ออกแรงจากหลังและต้นขาเต็มที่ ลูกน้องคนสนิทตะโกนส่งเสียงขัดจังหวะ
"เสี่ยๆ ตำรวจมาหาเสี่ยที่ใต้ตึกนี้แล้วครับ"
เสี่ยถังเสียจังหวะทันที บาร์เบลที่ถูกยกออกจากแท่นแล้ว แต่เสี่ยถังไม่ได้ส่งแรงไปดันต่อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หลังถูกกดทับจากน้ำหนักมหาศาล โชคดีที่มีเทรนเนอร์ร่างยักษ์คอยช่วยประครองเหล็กไว้ ไม่อย่างนั้นเสี่ยถังอาจจะได้ไปนอนเป็นผักบนเตียง
"ไอ้บ้าเอ๊ย !! มึงมาเรียกอะไรตอนนี้วะ" เสี่ยถังตะโกนด่าลูกน้องดังลั่นพร้อมใช้ฝ่ามือตบไปที่กะโหลกของลูกน้องหนึ่งที
"ตำรวจมาอีกแล้วเหรอ แล้วมันมีเรื่องเร่งด่วนอะไรนี่ถึงต้องมาที่นี่วะ" เสี่ยถังพูดด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนไม่หาย เขาเดินออกไปด้วยท่าทางที่เจ็บส่วนหลังเล็กน้อย
ที่ใต้ตึก สารวัตรมายืนรออยู่แล้วพร้อมตำรวจนักสืบคนเดิม เสี่ยถังเดินลงมาด้วยชุดออกกำลังกายที่ชุ่มเหงื่อ
"สารวัตรมาหาผมมีอะไรเหรอครับ" เสี่ยถังพูด
"เราเข้าไปนั่งคุยในล็อบบี้ของฟิตเนสดีกว่า ผมมีอะไรอยากถามเสี่ยนิดหน่อย"
"เรื่องอะไรสารวัตร ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกน้องของผมไปไล่กระทืบพวกแผงลอยหน้าภัตตาคารของผม เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่สารวัตร" เสี่ยถังพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากนัก
"ใจเย็นๆก่อนเสี่ย ผมไม่ได้มาคุยเรื่องนั้น เอาเป็นว่าเราเข้าไปนั่งในห้องแอร์ให้ใจเย็นๆกันก่อนดีกว่า" สารวัตรพูดเสร็จก็เดินนำไปในห้องกระจก เขาเดินไปนั่งยังชุดโซฟาติดประตูทางออก
"ผมอยากมาคุยเรื่องคดีฆาตกรรมนักธุรกิจที่ชื่อสืบ" สารวัตรพูด
"ผมไม่รู้เรื่องนะสารวัตร"
"ผมไม่ได้จะมากล่าวหาเสี่ยซักหน่อย ผมแค่อยากจะมาขอความเห็นของเสี่ยว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆ่า เผื่อมันจะช่วยให้เราสืบสวนได้ง่ายขึ้น"
"จริงเหรอสารวัตร ถึงแม้ผมกับสืบจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน มีเรื่องบาดหมางกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้ต้องฆ่าแกงกัน ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางหรอกครับสารวัตร"
"เราเข้าใจๆ ความบาดหมางของพวกคุณไม่น่าจะรุนแรงพอให้ถึงกับต้องมายิงกัน เสี่ยถังคิดว่าใครอยากจะให้คุณสืบตายมากที่สุด" สารวัตรถามด้วยน้ำเสียงทีอ่อนนุ่ม
เสี่ยถังหยุดไปนิ่งไปชั่วครู่
"คนที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆหากคุณสืบตายก็ครือลูกเขยของเขาครับสารวัตร ถ้าเป็นปองปรีดาก็มีโอกาสมากมายเพราะใกล้ชิดและรู้กิจวัตรของสืบ แต่ไม่รู้ว่าเมียของปองปรีดาจะมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ การฆ่าพ่อของตัวเองนี้มันเรื่องใหญ่เลยนะ"
"เสี่ยก็คิดแบบนั้นเหรอ แต่ว่าปองปรีดามีหลักฐานรองรับความบริสุทธิ์ของเขาได้ ไม่มีช่องโหว่ใดๆที่เราจะเล่นงานเข้าได้เลย"
"อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้วคุณสารวัตร ถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมขึ้นไปซาวน่าต่อนะสารวัตร"
เสี่ยถังเดินเข้าลิฟต์ไป สารวัตรพร้อมตำรวจอีกหนึ่งนายยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานสารวัตรก็พูดอะไรบางอย่างออกมาออกมา
"นี่จ่า ถ้าเราจะคุยกับเมียของนายปองปรีดาโดยไม่ให้นายปองรู้ พอจะมีวิธีมั้ย"
"มีครับ เธอเป็นสมาชิกคลับโยคะใกล้ๆตึกบริษัทที่ทำงานของเธอ ถ้าเราไปดักรอเจอเธอที่นั่นอาจจะได้คุยกันส่วนตัวกับเธอได้"
"ดีมากจ่า จัดการตามนั้นเลย"

เวลาผ่านไปนานหลายเดือน คดีฆาตกรรมของนายสืบยังไม่มีวี่แววใดๆที่จะคลี่คลายไปได้ ชุดตำรวจที่ทำคดีนี้คิดว่ามันอาจจะถึงทางตันแล้ว
ในบ้านพักของนายปองปรีดา ใกล้ถึงกำหนดการที่สองสามีภรรยานัดหมายกันไว้ว่าจะนำเรือยอร์ชลำเก่าของสืบ ออกล่องทะเลจากอ่าวไทยไปถึงช่องแคบมะละกา นี่คือแผนที่ปองปรีดาเตรียมไว้
ที่อู่จอดเรือตำแหน่งเดิมที่เรือลำนี้จอดเทียบท่าอยู่นานหลายเดือน วันนี้จะเป็นวันแรกที่มันจะได้ออกทะเลอีกครั้งโดยผู้ควบคุมคนใหม่ หลังจากที่ปองปรีดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือลำนี้แล้ว เขาไปฝึกขับเรือมาจนมั่นใจว่าจะสามารถบังคับมันออกไปในเส้นทางที่ต้องการ และวันนี้ปองปรีดาขับรถยนต์ส่วนตัวมาพร้อมกับจันทร์เพ็ญ
“พร้อมแล้วนะกับการเดินทาง” ปองปรีดาหันไปพูดกับจันทร์เพ็ญ เมื่อพวกเขาจอดรถเทียบท่าเรือ
“ค่ะ น้องรอวันนี้มานานแล้ว” เธอตอบรับ
ปองปรีดาเริ่มทยอยขนของขึ้นบนเรือ เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องเครื่องของเรือ ห้องที่สืบถูกฆ่าตายในนั้น ปองปรีดาหันไปที่จันทร์เพ็ญ เขาคิดว่าคงจะสะเทือนใจจันทร์เพ็ญที่จะต้องเดินเข้าไปในที่ที่พ่อของเธอนอนตาย ปองปรีดาจึงทำท่าลังเลที่จะเปิดประตูจนจันทร์เพ็ญสังเกตได้
“ไม่เป็นไรค่ะ” จันทร์เพ็ญเอื้อมมือไปโอบมือของปองปรีดา
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องผ่านตำแหน่งที่สืบเคยนอนจมกองเลือด แม้จันทร์เพ็ญจะไม่เคยเห็นสภาพศพของพ่อเธอนอนตายในห้องนี้ แต่ความสะเทือนใจที่เธอได้รับรู้มาก็สามารถทำให้เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อปองปรีดาเห็นจันทร์เพ็ญยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาพูด
“ถ้าการเดินทางครั้งนี้จะสะเทือนจิตใจน้องมากเกินไป เราเลื่อนกำหนดการออกไปก่อนดีมั้ย” ปองปรีดาพูด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอง น้องจะต้องผ่านพ้นสิ่งนี้ไปให้ได้” สายตาของจันทร์เพ็ญมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการออกเดินทางครั้งนี้ เหมือนกับว่าการเดินทะเลกับปองปรีดาครั้งนี้จะสามารถชำระความโศกเศร้าของเธอได้

ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง ทั้งสองอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไร้การรบกวน ปองปรีดากำลังบังคับพวงมาลัยในห้องกระจก เขามองทะลุออกไปยังลานกว้างหัวเรือที่จันทร์เพ็ญนอนอาบแดดยามเย็นบนเตียงนอน ปองปรีดาละมือจากพวงมาลัย เขาเดินเข้าไปหาจันทร์เพ็ญ
“ท่าทางน้องยังคงไม่หายเศร้ากับเรื่องของคุณพ่อ”
“ใช่ค่ะ แม้เวลาจะผ่านไปนานแสนนานแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจก็คือยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อได้ การทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พอจะเข้าใจ แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือทำไมคนร้ายถึงยังไม่โดนจับ”
“เอาน่าๆ เรื่องอยุติธรรมแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้บนโลกนี้ คนเราก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ได้สลับกันไปเป็นเรื่องธรรมดา พี่ดีใจที่น้องคิดถึงเรื่องการปล่อยวางได้ แต่พี่คิดว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจ”
“ค่ะ น้องจะพยายาม”
ช่วงเวลาที่ยาวนานของจันทร์เพ็ญค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินทางล่องเรือเพื่อฆ่าเวลาสำหรับเธอในตอนนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด แต่จันทร์เพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางในครั้งนี้ เพราะเธอได้คุยกับใครคนหนึ่งไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้

และยามที่ท้องฟ้าปราศจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มาถึง จันทร์เพ็ญนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนโดยมีปองปรีดาอยู่ข้างๆ ปองปรีดายังไม่หลับเขาแสดงสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างออกมา เขาชำเลืองไปสังเกตจันทร์เพ็ญว่าหลับสนิทหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิท ปองปรีดาค่อยๆขยับตัวออกจากเตียง เขาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเตียง ค่อยๆปลดรูปภาพแผนที่ทะเลไทยออกจากผนังและวางมันลงกับพื้น กระดาษวอลเปเปอร์มีร่องรอยของรอยต่อ ปองปรีใช้ซอกเล็บค่อยๆเลาะกระดาษวอลเปเปอร์ออกมา
หลังม่านกระดาษนั้น !! ปรากฏบานพับช่องลับที่ถูกซ่อนปิดไว้ ปองปรีดาหมุนลูกบิดตามรหัสลับเปิดตู้ที่เขารู้อยู่เพียงคนเดียว เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันส่งเสียงแผ่วเบาตามมือของปองปรีดา
เมื่อบานเหล็กถูกเปิดออก ในนั้นมีห่อผ้าสีดำขนาดไม่ใหญ่นัก ปองปรีดานำสิ่งนั้นออกมาและค่อยๆบรรจงปิดฝาตู้ รีดกระดาษวอลเปเปอร์ให้ติดผนังเหมือนเดิมและสุดท้ายนำกรอบภาพมาห้อยแขวนตามตำแหน่งเดิม
ปองปรีดาหยิบถุงผ้าและเดินออกจากห้องไปโดยทหันไปมองจันทร์เพ็ญที่อยู่ในอิริยาบถเดิม เขาเดินออกไปยังขอบเรือและตั้งท่าเหวี่ยงแขนโยนถุงดำให้ลอยออกไปจากเรือ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเหยียดแขนไปข้างหลังจนสุด ทันใดนั้น !!
เปรี้ยง !!’
เสียงปืนดังก้องฟ้า ปองปรีดาตกใจสุดขีดจนเขาปล่อยถุงผ้าลงกับพื้น และเมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงของปืน นั่นทำให้เขาถึงกับขวัญผวาอย่างสุดขีด
“จันทร์เพ็ญ ออกมาทำอะไร !!” ปองปรีดาพูด

“เดินถอยหลังออกไปให้ห่างจากถุงผ้า” น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเจ้าของกระบอกปืน
“เดี๋ยวๆ วางปืนลงก่อนนะ ค่อยๆพูดกันก็ได้”
ปองปรีดาริมฝีปากสั่นไหวเมื่อเห็นสีหน้าเครียดแค้นชิงชังของจันทร์เพ็ญ สีหน้าเธอเหมือนจะคุมสติไม่อยู่ และอาจจะไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่อยู่บนไกปืนไม่ให้ลั่นไกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นอาจจะทำให้เธอยิงปืนใส่สามีของได้โดยไม่ต้องลังเล
“บอกให้เดินถอยออกไปไง เดินไปให้ไกลๆจากถุงผ้านั่น ยังอีก !!” จันทร์เพ็ญทำเสียงตะวาด
ปองปรีดาไม่ยอมทำตามโดยง่าย เขาคงห่วงว่าจันทร์เพ็ญจะล่วงรู้ความลับที่อยู่ในถุงผ้านี้มากกว่า ปองปรีดาขัดขืนคำสั่ง เขาก้มตัวลงไปหยิบถุงผ้าและเตรียมจะเหวี่ยงทิ้งออไปนอกเรือ
เปรี้ยง !!’
“โอ๊ย !!
จันทร์เพ็ญยิงปืนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอยิงเข้าเต็มท้องของปองปรีดา ปองปรีดาทรุดลงไปกับพื้น
“ทำไมๆ ทำไมต้องยิงกันด้วย คุยกันดีๆไม่ได้หรือไง” เขาใช้เรี่ยวแรงทียังพอมีเปล่งเสียงพูด
จันทร์เพ็ญน้ำตาไหลนองทั่วใบหน้า ใจหนึ่งก็นึกสงสารสามีที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็แค้นมากที่เรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นอย่างที่มีคนเคยบอกกับเธอมา
“ถอยออกไปจากถุงผ้านั่น เร็วๆ” จันทร์เพ็ญพูด
ปองปรีดายอมถอยออกมาแต่โดยดี วินาทีนี้เขาคงไม่ห่วงอะไรมากกว่าปลายปืนในมือของจันทร์เพ็ญ เขาถอยออกไปห่างจากถุงผ้า จากนั้นจันทร์เพ็ญเข้าไปหยิบถุงผ้าสีดำขั้นมาและเปิดมันออก สิ่งที่เธอเห็นถึงกับทำให้เธอถึงกลับระเบิดเสียงร่ำไห้อีกครั้ง
“คุณพ่อ !
อาการของปองปรีดาเริ่มไม่ได้การ หน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอไปเอาปืนมาจากไหน” ปองปรีดาถามด้วยน้ำเสียงไร้เรียวแรง
“ตำรวจให้ฉันมา พวกเขาเดาถูกว่าแกจะต้องมาทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ และหลักฐานชิ้นนี้ก็อยู่นี่แล้ว”
เธอเทสิ่งของที่อยู่ในถุงผ้าออกมา ในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่เปื้อนคราบเลือด กางเกงยีนที่มีรอยคราบเลือดเช่นเดียวกัน รองเท้าหนังสีน้ำตาลทีพื้นรองเท้ามีคราบเลือดติดอยู่ และปืนสั้นพร้อมกระบอกเก็บเสียง
“ตำรวจบอกว่าในเรือยอร์ชจะมีเมสเสจที่บ่งบอกว่าใครคือฆาตกร เพียงแต่พวกเขาหามันไม่พบ” จันทร์พูดด้วยน้ำตา
“เธอไปคุยกับตำรวจมาเหรอ นี่ไม่เชื่อใจกันหรือยังไง” ปองปรีดาตัดพ้อ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อตำรวจ  ยังคิดว่าตำรวจจะหาเรื่องใส่ร้ายแก แต่ฉันเองก็จำเป็นต้องพิสูจน์ และตำรวจก็พูดถูก”
ปองปรีดาเริ่มจะคุมสติของตัวเองได้แล้ว เขาเริ่มเขาใจเกมมากขึ้น ความสะเพร่าของเพียงเล็กน้อยตอนนี้ จะทำให้สิ่งที่เขาคิดและวางแผนมานานจะต้องพังพินาศลงไป
“แล้วเธอจะกล้ายิงสามีเธอได้ลงคอเชียวเหรอ ถ้ากล้ายิงก็เอาเลย แต่ใครล่ะจะขับเรือพาเธอขึ้นฝั่ง” ปองปรีดาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เหมือนเขาจะคิดว่าเขาเองที่ถือไพ่เหนือกว่า
เป็นทีที่จันทร์เพ็ญจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยันออกมาบ้าง เสียงหัวเราะของเธอยังทำให้ปองปรีดาถึงกลับสติแตก
“ตำรวจให้ปืนฉันมาและบอกว่าให้ยิงได้เมื่อจำเป็น จะยิงแกให้ตายก็ได้ถ้าจำเป็น และถึงแม้ตอนนี้จะไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่า แต่ฉันก็อยากจะฆ่าแกเพื่อแก้แค้นให้พ่อของฉัน ตำรวจยังให้โทรศัพท์ดาวเทียมกับฉันมาด้วยเพื่อใช้โทรเรียกในกรณีฉุกเฉิน พวกเขาจะเอา ฮ. บินตรงมาที่นี่”
จันทร์เพ็ญเล็งปลายปืนไปที่หัวของปองปรีดา สีหน้าของเธอดูมั่นใจว่าจะต้องยิงแน่ๆ ปองปรีดาสติแตกทันที เขาลนลานถอยหลังหมายจะไปให้พื้นวิถีกระสุนที่จะยิงออกมาได้

ด้วยความลนลานจนเกิดเหตุและไม่ทันได้ระวัง เขาสะดุดเข้ากับขอบเรือทำให้เขาล้มกลิ้งตกน้ำทะเลไป จันทร์เพ็ญเห็นภาพนั้นทำให้เธอตกใจรีบวิ่งมาดูที่ขอบเรือ ภาพสามีของเธอลอยหายไปอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของเรือที่วิ่งไปข้างหน้า ใจหนึ่งจันทร์เพ็ญก็สงสารด้วยความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ใจหนึ่งก็โล่งใจที่เธอไม่ต้องเหนี่ยวไกปืนออกมาเพื่อฆ่าสามีด้วยตัวเอง

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กรง



วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมา ผมเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังเด็ก ว่าทำไมคนเรายิ่งอยู่ไปๆก็ยิ่งมีอิสรภาพที่น้อยลง ในครั้งที่เรายังเล็ก เราได้วิ่งเล่นสนุกสนานตามแต่ที่ใจเราจะปรารถนา ไม่ว่าจะในทุ่งกว้างใหญ่หรือในแม่น้ำสุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง พอโตมาหน่อยเราถูกส่งไปโรงเรียนก็เริ่มมีกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังพอรับได้ ยิ่งเรียนสูงขึ้นๆก็เหมือนโลกที่เคยกว้างกลับกลายเป็นกรงที่แคบลงๆจนเราไม่รู้จะเดินไปทางไหน จวบจนกระทั่งเมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยผมคิดว่ากรงนั้นได้แตกสลายปลดปล่อยผมให้โบยบินออกไปอย่างอิสระ แต่ผมเริ่มจะรู้แล้วว่าผมคิดผิด
ผมอยู่ในขบวนรถไฟฟ้าในรอบขบวนที่แออัดที่สุดของวัน ดูชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสิ กางไหล่กว้างไม่เผื่อแผ่ที่ให้คนอื่นเลย ยายคนข้างหลังถือของพะลุงพะลังจนปลายแหลมของร่มแทบจะทะลุคอของผม และถุงผ้าของป้าที่อยู่ข้างๆก็บดบังที่ยืนของผมจนผมยืนไม่เต็มสองเท้าดีนัก นี่แค่บนตู้รถไฟฟ้าก็ทรมานขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบนรถเมล์ที่ผมต้องต่อไปให้ถึงตึกที่ทำงานอีก ยังครับนี่มันแค่กรงใบแรกสำหรับวันนี้ที่ผมจะเจอ ยังมีกรงอีกหลายใบที่รอผมอยู่

ในที่สุดผมก็ตอกบัตรเข้าทำงานตรงเวลา ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานของผมที่ถูกแบ่งด้วยพาร์ติชั่นให้เป็นสัดส่วน  ซึ่งบางคนเรียกมันว่า 'คอก' ผมคิดว่าคำว่าคอกนี่ชัดเจนดีนะครับที่จะบอกว่าไอ้แผ่นกระจกหนาๆที่ล้อมเรารอบข้างเนี่ย เพื่อให้เราติดต่อกับคนภายนอกได้ยากยิ่งขึ้น ยกเว้นกับคนบางพวก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
นักวิเคราะห์ระบบที่อายุแก่กว่าผมแค่ 5 ปีมักจะชอบใช้ให้ผมไปนู่นไปนี่ ก็แค่มีตำแหน่งงานที่สูงกว่าผม อาวุโสกว่าผมก็ทำเป็นวางมาด
"ได้ครับพี่พล"
แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ทำงานที่นี่ต้องใช้ระบบอาวุโส ผมรีบลงไปซื้อทันทีเพื่อให้รีบกลับมาแก้ไขงานทันก่อนจะมีพรีเซนท์เช้านี้
ผมกลับมาแก้ไขโค้ดของโปรแกรมที่ปรับเปลี่ยนตามรีไคว์เมนท์ของระบบ ตามที่ผู้วิเคราะห์ระบบนักสูบคนนั้นสั่งให้ผมแก้ไขอย่างเร่งด่วน ผมคิดถึงคำพูดเมื่อวานตอนเย็นระหว่างเรา 2 คนได้อย่างแม่นยำนัก
"ลูกค้าต้องการแบบนี้นี่ครับ ผมสร้างโปรแกรมตามที่พวกเขาต้องการแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ นี่ไงครับเอกสารความต้องการของลูกค้า"
"เอ๊ะ ! นี่แกเป็นคนไปเก็บข้อมูลมาเหรอถึงได้รู้ดีกว่าพี่ ก็เมื่อเช้านี้พี่ไปคุยกับลูกค้าเอง สั่งให้แก้ก็แก้ไปเหอะน่า แก้ตอนนี้ให้เสร็จ ถ้าวันนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้เช้ามีเวลาถึง 10 โมงก่อนนำเสนองานให้ลูกค้า"
"ได้ครับพี่"
ยังพอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงครับสำหรับแก้โค้ด ประโยชน์ของคอกที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือมันช่วยทำให้เรามีสมาธิดีเหมือนกันนะครับเนี่ย


ในห้องประชุม
"เดี๋ยวๆ คราวแล้วเราไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่ครับคุณพีรพล เราตกลงกันตามเอกสารเล่มนี้แล้วนี่ครับ โปรแกรมทำงานยังไม่สมบูรณ์ก็ยิ่งเสียเวลาผมอีก"
ลูกค้ามองดูการทำงานของโปรแกรมที่ผมเขียนผ่านจอโปรเจคเตอร์ในห้องประชุม พลางก้มดูเอกสารเล่มเดียวกันกับที่อยู่ในมือของผมด้วย ผมคิดไว้แล้วว่าพี่พลสั่งให้ผมแก้โปรแกรมเพราะตัวแกเข้าใจผิดเอง
"ไหนครับ ผมขอดูเอกสารก่อน"
พี่พลก้มดูเอกสาร
"อ้อ จริงด้วยครับคุณทวีกานต์ ผมต้องขอโทษคุณแทนลูกน้องผมด้วย ผมอธิบายไปตามนั้นอย่างชัดเจนแล้ว แต่แกคงเข้าใจผิด เดี๋ยวผมจะรีบแก้ไปเลยนะครับ ทันเย็นนี้แน่เราจะได้ไปทำเฟสอื่นต่อไป"
ผมถึงกับหน้าชาในสิ่งที่พี่พลพูดกับลูกค้า แกพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตาผมสักครั้งเดียว การนำเสนองานในเช้าวันนั้นก็จบลงด้วยคำสั่งของพี่พลที่ให้ผมไปแก้งาน

หลังเลิกงานแล้วผมก็ต้องย้อนกลับเข้าไปสู่กรงใบเมื่อเช้านี้อีกครั้ง ทั้งในรถเมล์และรถไฟฟ้า ผมกลับมาถึงห้องพักของผมซึ่งก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากนัก จะว่าไปห้องเช่าของผมก็เหมือนกรงดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่าผมไม่คิดว่านี่คือกรง เพราะว่าในห้องแคบๆนี้ผมยังมีอิสรภาพมากกว่าตอนที่อยู่นอกห้องเป็นไหนๆ จะนั่งจะนอน ดูทีวีกินนู่นกินนี่ เข้าอินเตอร์เน็ทผมก็ทำได้อย่างสบายใจ หรือแม้แต่ผมจะเอาอาหารให้เจ้ากระรอกของผมที่อยู่ในกรง
ผมซื้อเจ้า 'ลักกี้' มาจากเพื่อนที่บ้านของมันเพาะพันธ์กะรอกขาย ตอนที่เจ้าลักกี้อยู่กับแม่และพี่น้องของมัน มันดูร่าเริงสดใสน่ารักมาก ซึ่งแตกต่างกับในตอนนี้ที่ผมเอามันมาใส่ในกรงได้เกือบจะ 2 ปีแล้ว มันดูเหงาและเศร้าเมื่อสังเกตจากแววตาและท่าทางของมัน ผมยื่นมือเข้าไปในกรงพร้อมอาหารเม็ดจำนวนหนึ่ง
"โอ๊ย !!"
เจ้าลักกี้มันเข้ามากัดที่นิ้วผม มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย หรือมันจะบ้าไปแลัวกันแน่ หรือว่ามันอาจจะเครียดจากการถูกขังเป็นเวลานาน จะว่าไปแล้วเจ้าลักกี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากผมเลย อยู่ในกรงมาเกือบทั้งชีวิต และก็คงต้องอยู่ต่อไป ผมเริ่มคิดถึงชีวิตที่อิสระไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจใคร อยากจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่ใจเราต้องการ นั่นมันคงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆของผมต่อไป

และเช้าวันนี้ก็เป็นเหมือนกับเช้าของทุกๆวันที่ต้องไปทำงาน ชีวิตแบบนี้ถูกออกแบบมาให้ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบนรถไฟฟ้าและรถเมล์ ผมตอกบัตรเข้างานทันเวลาและวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานในคอกของผม
"อภิชาตลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อยสิ"
เสียงของนักวิเคราะห์ระบบตะโกนสั่งให้น้องฝึกงานที่เดินผ่านหน้าแกพอดี ผมเห็นน้องฝึกงานหยุดยืนมองหน้าผู้ออกคำสั่ง ก่อนจะพูด
"ผมมาฝึกงานในตำแหน่งคีย์ข้อมูล ไม่ใช่มีหน้าที่ซื้อบุหรี่"
น้องคนนั้นพูดเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่สนใจพี่พลและพนักงานคนอื่น ที่ต่างหันมามองเหตุการณ์นี้ ไม่เว้นแม้แต่ผมที่ก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง สักพักพี่พลตะโกนเรียกใช้งานผมทันที
"เอ้า เจ้าเมธีก็ได้ ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
สิ้นเสียงนั้นผมรีบทำตามคำสั่งทันที 

ในตอนกลางวัน ผมเดินไปหาน้องฝึกงานคนนั้นและถามถึงเรื่องเมื่อเช้า ที่ไม่ยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่พล
"โธ่พี่ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ทำไมเราต้องทำด้วยล่ะ"
"น้องก็พูดได้สิ เพราะเป็นแค่เด็กฝึกงาน เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่พี่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และนั่นเป็นหัวหน้าสายตรงของพี่ เขามีสิทธ์เลือกลูกน้องยังไงก็ได้ ถ้าพี่ไม่เอาใจแกก็อาจจะไม่ได้งานทำ"
"มันก็จริงของพี่"

เย็นวันนั้นผมมายืนรอรถเมล์ที่หน้าตึก เมื่อขึ้นรถผมเห็นผู้หญิงสาวสวยอยู่บนนั้นแล้ว เธอช่างน่ารักถูกใจผมจริงๆ แต่ผมคงไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทายเธอหรอก ผมแอบมองเธอเป็นระยะโดยไม่ให้ผิดสังเกต เมื่อมาถึงป้ายที่จะไปต่อรถไฟฟ้า เธอก็ลงป้ายเดียวกับผมเพื่อไปขึ้นรถไฟ ผมแอบเดินตามเธอไป
วันนี้เป็นวันที่ผมโชคดีจริงๆ บนขบวนรถไฟฟ้าที่แออัด ผมบังเอิญยืนอยู่ชิดกับเธอคนนั้นพอดี บางครั้งแขนของผมก็ไปสัมผัสที่หัวไหล่ของเธอ ตามแรงเหวี่ยงของรถไฟ และเธอก็ลงสถานีเดียวกับที่ผมจะลง ผมแอบเดินตามเธอไปอีกครั้ง เห็นเธอไปรอที่ป้ายรถเมล์ สักพักมีรถเก๋งเข้ามาจอดและเธอก็เดินขึ้นรถไป ผมเห็นคนขับรถคันนั้นเป็นผู้ชายเลยคิดในใจว่า เธอมีแฟนแล้วน่าเสียดายจริงๆ จากนั้นผมหันหลังกลับเพื่อจะไปขึ้นสะพานลอย
"อ้าว ! นั่นเมธีใช่มั้ย ?"
ผมหันกลับไปตามเสียงนั้น ชายในรถเก๋งลงมาจากรถและเดินมาที่ผม ก่อนเขาจะถอดแว่นกันแดดออก ทำให้ผมคุ้นหน้าทันที
"เอ๊ะ !? ใช่อุดมโชคหรือเปล่า"
"ใช่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย"
"ก็เรื่อยๆน่ะ"
"ว่าแต่นายทำอะไรอยู่เหรอตอนนี้ ?"
"เอ๋ ? หมายถึงอาชีพเหรอ ตอนนี้เป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทน่ะ"
"เป็นลูกน้องเหรอ ?"
"ก็ใช่น่ะ แล้วนายล่ะ"
"ตอนนี้เราเป็นประธานบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในโรงงานอุตสาหกรรมน่ะ"
"หา !? ได้เป็นถึงประธานแล้วเหรอเนี่ย"
ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่มันใส่ แว่นตากันแดดนั่นก็ยี่ห้อหรู ผมหันไปดูรถเก๋งที่มันขับมาเป็นรถสปอร์ตราคาแพงระยับ
"ใช่แล้วล่ะ เราก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อตอนที่เรียนจบใหม่ๆ อ้อ ถ้านายอยากมาทำงานกับเราก็ได้นะ จะให้เป็นรองประธานบริษัทเลยก็ได้ สนใจมั้ยล่ะ นี่คือนามบัตร ถ้าสนใจก็โทรมานะ เดี๋ยวขอตัวก่อนไว้ค่อยคุยกัน"
ผมรับนามบัตรจากเพื่อนมาไว้ในมือ เห็นชื่อและตำแหน่งของมันแล้วทำให้ผมตกใจ ผมกับอุดมโชคเป็นเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันปีเดียวกัน และคณะเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะก้าวหน้าไปเป็นถึงประธานบริษัท ผมกลับหอพักและได้แต่เฝ้ามองนามบัตรใบนั้นพลันคิดถึงตัวเอง สายตาผมชำเลืองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมเห็นตัวเองเข้าไปอยู่ในกรงนั้นแทน

หลายวันมานี้ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมานานหลายปี มันนานหลายปีจนผมเริ่มจะชินชากับมันแล้ว ผมไม่เคยตั้งคำถามถึงมันสักทีว่าเมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อพบกับเพื่อนของผมคนนั้น เพื่อนของผมสามารถที่จะให้โอกาสผมเดินออกจากวงจรชีวิตที่น่าสมเพชเหล่านี้ได้
ตอนนี้ในหัวสมองของผมเริ่มคิดถึงอิสรภาพ นั่นทำให้ผมมองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ ที่ตอนนี้เจ้าตัวกระรอกนั้นนอนหมอบลงกับพื้นเหมือนกับหมดอาลัยตายอยาก นานๆทีมันจะหันหน้าออกมองไปที่หน้าต่างที่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา
วันนี้เป็นวันหยุด เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคแวะเข้ามาเยี่ยมผมที่ห้องเช่าซอมซ่อนี้ แน่นอนว่ามันขับรถสปอร์ตคันหรูมาจอดในย่านชุมชนแออัด
"นี่ไงเพื่อน ลองดูผลประกอบการย้อนหลัง 2 ปีนี้สิ เรากำไรปีละเกือบ 10 ล้านเลยนะ"
เพื่อนของผมเปิดสมุดบัญชีที่มันเตรียมมาด้วย ผมมองเห็นตัวเลขนั้นแล้วทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
"จริงหรือนี่ ? นี่นายทำเงินได้เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ"
"ใช่สิ ตอนนี้เราอยากได้คนมาช่วยบริหาร ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไว้ใจด้วยเรายิ่งต้องการ"
"จริงเหรอ แล้วถ้าเราไปทำงานกับนาย เงินเดือนตำแหน่งบริหารนี่มันจะซักเท่าไหร่กันนะ"
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ตาเห็น จริงเผลอพูดคำถามเรื่องเงินเดือนที่ดูจะเสียมารยาทออกไป จากนั้นเพื่อนของผมหยิบสมุดเล่มเล็กอีกเล่มขึ้นมา พลิกหาหน้าที่ต้องการก่อนจะยื่นให้ผมดู
"นี่คือตัวเลขของเงินเดือนที่นายจะได้รับ"
ผมเห็นตัวเลขในสมุดถึงกลับดวงตาลุกวาว เมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่จะได้รับในแต่ละเดือน ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้องรูหนูนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยนึกบ่นถึงความอึดอัดจากมันเลย แต่ถ้าได้เงินเดือนเยอะแบบนั้นจริงๆก็คงต้องย้ายออก และนั่นยังทำให้ผมคิดถึงการเดินทางที่คงไม่ต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์อีกต่อไป
"ยังไงก็รีบตัดสินใจไปลาออกจากบริษัทเดิมเลยนะ จะได้รีบไปทำงานด้วยกัน"

ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกให้กับทางบริษัททันที ช่วงหนึ่งเดือนนับจากนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมจะทำงานได้อย่างสบายใจที่สุด นับตั้งแต่เคยอยู่กับที่นี่มา ผมเริ่มกล้าที่จะปฏิเสธพี่พลที่จะไมยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้แกอีกแล้ว แม้การเดินทางไปกลับจะลำบากเพียงใด แต่เมื่อผมมีความหวังที่จะไม่ต้องมาใช้มันอีกแล้ว นั่นก็ทำให้ผมไม่ใส่ใจกับมันเท่าไหร่นัก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
"ขอโทษครับพี่ พอดีผมกำลังรีบปั่นงาน"
เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าปฏิเสธพี่พล ผมยิ้ม

คืนหนึ่งผมกลับมาที่ห้อง ผมนำอาหารเม็ดไปยื่นให้มันที่กรง แววตาที่เหงาหงอยของมันยังไม่เสื่อมคลายหายไปไหน ผมเริ่มคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยให้มันออกไปใช้ชีวิตอิสระบ้าง ใกล้ๆกับหอพักที่ผมอยู่มีสวนสาธารณะ หรือว่ามันควรจะไปอยู่ที่นั่นดี เมื่อคิดได้ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุด ผมจึงคิดว่าจะเอามันไปปล่อย
วันรุ่งขึ้นผมเตรียมตัวจะหิ้วกรงของเจ้าลักกี้เดินไปที่สวนใกล้บ้าน แค่มันรู้ว่ามันจะได้ออกไปข้างนอกห้องมันก็ทำท่าดีใจแล้ว ผมอดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้เลยว่าชีวิตภายนอกกรงแคบๆของมัน จะมีความสุขแค่ไหน
เมื่อเจอมุมที่เหมาะผมวางกรงของมันลงกับพื้นดิน เจ้าลักกี้ทำท่าสูดดมกลิ่นดินบนพื้นที่มันยืน ผมเปิดประตูกรงมันออก เจ้าลักกี้วิ่งผ่านช่องลวดออกไปทันที ก่อนมันจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้ มันหยุดและหันมามองที่ผมสักพัก และมันก็วิ่งตรงไปที่ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด แต่ ?
อ๊ะ !! แมวเจ้าถิ่นตัวใหญ่สีน้ำตาลทองวิ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันวิ่งตามเจ้าลักกี้ที่พยายามจะวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ แมวจรจัดตัวนั้นวิ่งตามไล่งับเจ้ากระรอกวิ่งขึ้นต้นไม้ไป มันขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้พร้อมกำลังเคี้ยวเจ้าลักกี้ด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
ผมยืนดูภาพนั้นด้วยความตกใจ มือเอื้อมลงไปหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือปาเข้าใส่เจ้าแมวนั้น ก้อนหินพลาดเป้า แต่นั่นก็ทำให้แมวตกใจวิ่งหนีกระโดดขึ้นหลังคาไป เศษซากของเจ้าลักกี้หลุดออกจากปากแมวในจังหวะที่วิ่งหนี หัวของกระรอกตัวที่ผมเคยเลี้ยงไว้หล่นลงมาใต้ต้นไม้
ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นหัวเจ้าลักกี้ขาดในลักษณะดวงตาเปิดกว้าง ความรู้สึกเศร้าและสงสารโผล่ขึ้นมาใน
จิตใจของผมทันที
“โธ่ ! เจ้าลักกี้”
ผมกลับมาที่ห้องเช่าด้วยความโศกเศร้า แต่เมื่อคิดถึงอนาคตที่สดใสของผมรออยู่ ความเศร้าก่อนหน้านี้ก็พลันหายไป สักพักโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคโทรเข้ามา
“เพื่อน เราขอโทษนายด้วยนะ ตอนนี้ที่บริษัทล้มละลายแล้ว ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเลยช่วงนี้”
เสีบงปลายสายวางหูไปทันทีก่อนที่ผมจะพูดอะไรตอบกลับไป ความหวังที่ฝันไว้ทั้งหมดได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้นแล้ว
หลังจากนั้นผมไปยกเลิกใบลาออกของผมทันที โชคดีที่บริษัทยอม

“เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย
เสียงตะโกนสั่งในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานดังมาจากเจ้าของเสียงคนเดิม
“ได้ครับพี่ ผมจะลงไปเดี่ยวนี้ล่ะ”
ผมรีบลงไปซื้อบุหรี่ตามคำสั่งทันที เพราะเช้านี้ต้องแก้งานจากการที่พี่พลอธิบายงานผิดพลาดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประชุมในเช้านี้
ตอนนี้เหรอครับ ผมเลิกคิดที่จะเดินออกจากกรงอันปลอดภัยไปแล้ว ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ย่อมมีกรงมาครอบเราไว้เสมอ เพียงแต่ว่าเราจะคุ้นเคยและเคยชินกับกรงใบไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

คำสารภาพ



เอกภพได้รับโทรศัพท์เชิญจากเพื่อนสนิท เพื่อไปกินเลี้ยงที่บ้านของทศภาค เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทศภาคบอกกับเอกภพว่าเขาเพิ่งจะออกบิ๊คไบค์คันใหม่มา อยากให้มาร่วมฉลอง เอกภพรู้ทันทีว่าเพื่อนของเขาอยากจะอวดรถคันใหม่ จึงตอบรับไปแต่ก็ไม่ลืมถามว่าในงานจะมีใครไปบ้าง ทศภาคบอกว่ามีเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาไปด้วย และเหล่าบันดาเพื่อนๆของภรรยาของทศภาคนิดหน่อย เอกภพทำท่าทีลำบากใจเพราะเขาเป็นคนขี้อาย ซึ่งทศภาคก็รู้ดีอยู่แล้ว

"เอาน่าๆ ไม่ต้องกังวลเลยเพื่อน ข้าโทรไปชวนไอ้ยศกับไอ้ฉิมไว้แล้ว ถ้าแกมาก็มานั่งรวมกลุ่มด้วยกันกับสองคนนั่นก็ได้ งานนี้ฟรีตลอดงาน"

"อ่อ งั้นก็โอเคเพื่อน คืนพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านแกห้าโมงเย็น อยากไปดูนักว่ารถคันใหม่แกจะสวยงามขนาดไหนกัน"

ก่อนถึงตอนเย็นในวันถัดมา เอกภพแวะจอดรถที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง เพื่อหาซื้อผลไม้จากต่างประเทศราคาแพง เพื่อนำไปร่วมงานกินเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนรัก แม้ทศภาคจะเอ่ยปากว่า 'งานนี้ฟรีตลอดงาน' แต่เอกภพก็หาซื้อของกินเล็กๆน้อยๆเพื่อนำไปสมทบในงาน เขาใช้เวลานานในการเดินเลือกซื้อผลไม้อย่างพิถีพิถัน เพราะนิสัยเอกภพเป็นคนที่รอบครอบและละเอียดถี่ถ้วนอยู่แล้ว เมื่อเขาเลือกผลไม้เสร็จแล้ว จึงนำผลไม้ไปคิดเงินที่แคชเชียร์ เอกภพหยิบแบงค์หนึ่งพันจ่ายให้พนักงาน โดยมีเศษเหรียญไม่มากนักทอนคืนมา เขาเก็บเงินเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับมันออกไปยังบ้านของทศภาค ซึ่งเวลาที่รถของเอกภพมาถึงนั้นใกล้เคียงกับเวลานัดหมายเกือบจะพอดี

"เฮ่! หวัดดีๆ เป็นยังไงบ้างเพื่อน เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยอมเสียเวลามา"

"เฮ้ย... แกก็พูดเกินไป มาเที่ยวหาเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว มาเสียเวลาอะไรกัน เอ้านี่! ข้าซื้อผลไม้มาด้วย"

"ขอบคุณมากเพื่อน ไม่น่าจะต้องลำบากหิ้วอะไรมา เข้าไปในบ้านกันก่อน เดี๋ยวซักพักไอ้ยศกับไอ้ฉิมจะตามมา เห็นบอกว่ารถติดอยู่"

เอกภพเดินตามทศภาคเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งในนั้นมีกลุ่มเพื่อนที่ทำงานของทศภาคอยู่ก่อนแล้ว 4 คน ทั้งเอกภพและกลุ่มเพื่อนของทศภาคต่างทักทายกันตามมารยาท ทศภาคแนะนำเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาให้เอกภพ ซึ่งเพื่อนๆกลุ่มนี้ประกอบด้วย

ดนัย เพื่อนรุ่นพี่ ท่าทางสุขุม นิ่งเงียบ อายุมากกว่าทศภาคไม่มากนัก

สุรศัก เป็นเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับทศภาค และเอกภพ ลักษณะท่าทางดูเหมือนกับเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบพูดเสียงดัง พูดมาก

เมธี รุ่นน้องของทศภาค หนุ่มหน้าตี๋ แต่งตัวสุภาพและท่าทางดูนอบน้อม

และมยุรี แฟนสาวของสุรศัก ดูท่าทางจะสนิทสนมกับทศภาคอยู่เหมือนกัน สุรศักคงพาออกงานบ่อยจนคุ้นชินกับทศภาค ลักษณะนิสัยของมยุรีคงไม่ต่างจากสุรศักมากนัก

เอกภพแนะนำตัวเองให้คนอื่นๆฟัง หลังจากทักทายกับเรียบร้อยแล้ว ทศภาคจึงเชิญเพื่อนๆทุกคนให้เดินไปที่สวนหญ้าหลังบ้าน ที่นั่นมีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ มันถูกคลุมด้วยผ้าไนลอนอย่างดีคลุมไว้ ทศภาคค่อยๆถกผ้าคลุมรถออกมาอย่างเบามือ เมื่อผ้าคลุมรถถูกถอดออกจากตัวรถ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนคือ รถสปอร์ทยี่ห้อดังจากยุโรป สีตัวถังและเฟรมเป็นสีแดง เครื่องยนต์ตัวรถที่ถูกปิดบังไม่มิดจากเฟรมรถ เผยให้เห็นถึงขุมพลังมหาศาลที่พร้อมจะระเบิดพลังออกมา หากมันถูกจุด ความสวยงามเย้ายวนนี้คงคล้ายกับสาวสวยหุ่มเซ็กซี่ ที่ห่มคลุมเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ปกปิดไม่มิดถึงสัดส่วนข้างใน คอยแต่ให้เหล่าชายหนุ่มจ้องมองลงบนเนื้อผ้า และได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงสิ่งที่ผ้านั้นปกคลุมเอาไว้ โดยมีแต่เนินเนื้อบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ทางตา ความเย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้ทำให้เหล่าชายหนุ่มที่จ้องมองมันนั้น ต่างก็อยากจะควบขี่และพุ่งทะยานไปกับสิ่งนี้

ไม่ต่างกันกับบิ๊คไบค์คันโตนี้ ที่ทั้งเอกภพ ดนัย สุรศักและเมธี ต่างก็อยากลองขี่ลองควบมันยิ่งนัก แม้แต่ทศภาคเองที่เห็นมันก็เกิดอาการคันไม้คันมืออยากจะเอามันออกมาขี่อีกครั้ง แต่ด้วยความที่ยังเป็นมือใหม่ ยังขับขี่ไม่คล่อง และกลัวจะทำรถล้มต่อหน้าเพื่อนๆ ทำให้ทศภาคต้องเก็บอารมณ์นั้นไว้ก่อน

สายตาของทุกคนยังจับจ้องอยู่ที่ห้องเครื่องรถ ทันใดนั้นก็มีมือของสุรศักเข้าไปลูบๆคลำๆที่ถังน้ำมันรถ ทศภาครีบเดินเข้าไปพร้อมทำท่าจะเอาผ้าคลุมรถ นำมาคลุมหลวมๆไว้บนตัวรถ จนสุรศักต้องรีบถอยมือออกไป ทุกคนจ้องมองการกระทำของสุรศัก รวมทั้งทศภาคที่มองรอยคราบมันจากมือของสุรศัก ที่ทิ้งรอยไว้บนตัวถังรถ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เป็นประจำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ผ้าเช็ดหน้าถูกถูขัดลงบนร่องรอยนั้นทันที จนกระทั่งความเงางามไร้ที่ติของตัวรถกลับมาอีกครั้ง ทศภาคทำทีจะคลุมผ้าแต่ด้วยความกลัวว่าจะถูกหาว่า 'ขี้หวง' จึงพับผ้าคลุมรถเก็บไว้ ปล่อยให้เหล่าเพื่อนๆสามารถใข้สายตาแทะโลมรถของเขาได้เท่านั้น ทศภาคคิดว่าคงไม่มีใครกล้ามาแตะรถคันนี้อีก เพราะเขาได้แสดงท่าทีเมื่อสักครู่ออกไปแล้ว ทุกคนคงจะรู้กันแล้วว่าเขาไม่อยากให้ใครมาแตะรถ แม้ทศภาคจะไม่ได้พูดคำนั้นออกมาตรงๆ

"ทุกท่านครับ เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อเครื่องดื่มที่หน้าปากซอยซักหน่อยครับ"

"จะขี่เจ้าคันนี้ไปหรือครับ พี่ทศ"

สุรศักรีบถามอย่างตื่นเต้น เขาคงอยากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถ

"ไม่หรอก พี่ยังขับมันไม่คล่องเลย เดี๋ยวเอามอไซค์คันเล็กไปก็พอแล้ว"

พูดจบทศภาคก็เดินไปยังหน้าบ้าน เพื่อที่จะควบรถคันเล็กออกไปหน้าปากซอย ยังไม่ทันที่ทศภาคจะเดินพ้นออกไปยังหน้าบ้าน สุรศักก็เอามือทั้งสองข้างไปจับที่แฮนด์รถ พร้อมทำท่าบิดคันเร่งที่มือขวา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจถึงการกะทำนี้ ทั้งเอกภพ ดนัยและเมธี ต่างรีบหันไปมองทศภาคที่เดินออกไป โชคยังดีที่ทศภาคเดินออกไปแล้วจึงไม่เห็นสิ่งที่สุรศักทำ มีเพียงแต่มยุรีที่ยิมหัวเราะชอบใจกับสุรศัก และยังเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปด้วย

"พี่สักลองขึ้นไปนั่งควบบนรถเลย เดี๋ยวน้องจะถ่ายรูป"

มยุรีรีบพูดอย่างตื่นเต้น จนดนัยรุ่นพี่ต้องรีบมาฉุดมือของสุรศักให้เข้าไปในบ้าน ทันเวลาก่อนที่สุรศักจะกระโดดขึ้นควบรถ

ทั้ง 5 คนนั่งรวมกันอยู่ในห้อง คนอื่นๆนอกจากเอกภพนั่งคุยกันพร้อมกินอาหารว่าง เอกภพนั้นนั่งดูข่าวสารบนจอทีวี เวลาผ่านไปชั่วครู่ ต่างคนก็ต่างไปทำธุระส่วนตัวบ้าง ออกไปเดินเล่นหน้าบ้านบ้าง เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีทุกคนก็กลับมารวมตัวกันในบ้านอีกครั้ง เพราะว่าฝนเทลงมาจากบนฟากฟ้าอย่างหนัก โดยที่ไม่มีทีท่ามาก่อน

สุขใจ ภรรยาของทศภาคเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมจานอาหารของกินเรียกน้ำย่อย สุขใจยิ้มแย้มทักทายทุกคน เนื่องจากเธอรู้จักกับทุกคนอยู่แล้ว

"นั่งกินออร์เดิร์ฟกันไปก่อนนะคะ เมื่อกี๊นี้พี่ทศโทรมาบอกว่าเขาปิดฝนอยู่ที่ร้านหน้าปากซอย รอฝนหยุดก่อน แต่ฝนตกหนักแรงขนาดนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หยุดแล้วล่ะ เอ๊ะ! ลืมไปว่าตากผ้าไว้ที่สวนหลังบ้าน เดี๋ยวขอตัวไปเก็บผ้าก่อนนะ"

สุขใจเดินลับหายไปหลังบ้าน ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพื่อไปลิ้มลองอาหารจานเด็ด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องจากสุขใจ ดังขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน

"ว้าย! รถมอเตอร์ไซค์ล้ม"

ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกตกใจรีบวิ่งกันไปที่สวนหลังบ้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนคือ มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ล้มลงไปนอนกับพื้น เอกภพ ดนัย สุรศัก เมธีและมยุรีแสดงสีหน้าซีดเผือด ต่างมองหน้ากันอย่างร้อนรน สุขใจถามทุกคนว่ามีใครได้มาทำอะไรกับรถหรือไม่

"ไม่มีนะครับ หลังจากที่พวกเราเดินมาดูรถพร้อมกับทศภาค เราก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก ไม่มีใครเดินออกมาที่สวนนี่อีกเลย"

ดนัย ในฐานะที่เป็นผู้อวุโสที่สุด ให้ปากคำเป็นคนแรก และเพื่อช่วยลดความตรึงเครียดของเหตุการณ์ในขณะนั้นลงไปได้บ้าง เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าสุขใจจึงคลายความตระหนกลงไปได้มาก

"อืม... ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปรอพี่ทศในบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ ให้พี่ทศกลับมาก่อนค่อยว่ากัน"

สุขใจพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปและตรงไปยังห้องครัว เพื่อเตรียมอาหารชิ้นถัดไป ทั้ง 5 คนก็ทยอยเดินกลับไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง จานอาหารที่ก่อนหน้านี้โดนรุมหยิบชิ้นอาหาร ตอนนี้ไม่มีใครสักคนที่จะมีอารมณ์ไปกิน

"สัก แกไปคร่อมรถเค้าล้มหรือเปล่าวะ รถแบบนั้นน้ำหนักมันเยอะ คนที่ไม่เคยขี่จะรับน้ำหนักไม่ไหวหรอก"

ดนัยหันหน้าไปทางสุรศักพร้อมเอ่ยปากถาม

"ผะๆผมเปล่านะพี่ เมื่อกี๊นี้ผมแค่ลองจับแฮนด์ดูเฉยๆ ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันไง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปที่รถอีกเลย"

สุรศักรีบปฏิเสธทันควัน พร้อมหันไปมองหน้ามยุรีด้วยความร้อนใจ แต่ท่าทีของเขานั้นมีพิรุธจนง่ายที่จะสังเกต

"หลังจากที่เราเดินกลับเข้ามาจากสวนหลังบ้าน ผมก็อยู่กับพี่ตลอดไง ผมไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถอีกเลย"

สุรศักยังคงหาพยานเพื่อรับรองตัวเอง

"ไม่นะครับ จำได้มั้ยช่วงที่เรากินอาหารว่างกันเสร็จ พวกเราทั้งพี่ดนัย พี่สักพี่มยุรี คุณเอกภพและตัวผมเองก็แยกย้ายกันเดินออกไป ไม่มีใครรับรองใครได้ว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่สวนหลังบ้านเลยนะครับ"

เมธีพูดเพื่อตั้งข้อสังเกต ทำนองว่าต้องมีใครสักคนในกลุ่มนี้ ที่ไปทำรถล้มที่สวนหลังบ้าน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครสารภาพ เอกภพชิงพูดขึ้นทันที

"ใช่ครับ น้องเมธีพูดถูก หลังจากที่ผมกินอาหารว่างเสร็จ ผมเดินออกไปดูดบุหรี่หน้าบ้าน แต่ดูดยังไม่ทันถึงครึ่งตัวเลย ฝนก็ตกไล่เข้ามาในบ้านก่อน เสื้อผ้าผมยังเปียกเม็ดฝนอยู่เลย"

เอกภพพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นตระหนก แต่คนที่รู้สึกจะรนรานกว่าใครเพื่อนคือสุรศักก็ซักถามทันควันเช่นกัน

"แล้วมีใครยืนยันได้มั้ยว่าพี่เดินออกไปหน้าบ้าน ไม่ใช่สวนหลังบ้าน"

"ไม่มีครับ ผมเดินออกจากตัวบ้านก็เดินออกนอกรั้วบ้านไปเลย ไม่ได้วกอ้อมตัวบ้านไปที่สวนข้างหลัง"

"แล้วแกล่ะเมธี ช่วงเวลานั้นแกหายไปไหน?"

สุรศักยังพยายามถามหาคนที่ย้อนกลับไปสวนหลังบ้าน และทำรถล้ม

"ผมเหรอ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ หลังจากกินของว่างผมรู้สึกปวดท้อง เลยไปนั่งในห้องน้ำ"

"มีใครยืนยันได้มั้ย?"

สุรศักยังไม่เลิกทำตัวเป็นนักสืบ

"ไม่มีครับ"

ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก ยังคงไหลลงมาจากฟ้าเหมือนก็อกน้ำที่ถูกขันเปิดจนสุด แต่ข้างในไม่มีใครสนใจเสียงเม็ดฝนตกกระทบต้นไม้ใบหญ้า พื้นถนนและตัวบ้านเลย ยังคงคุยกันเรื่องรถล้มอยู่ต่อไป เอกภพเสนอความเห็นขึ้นมาเพื่อให้จบปัญหา

"ไม่เป็นไรๆ ยังไงก็ต้องเป็นหนึ่งในพวกเราอยู่แล้วที่เป็นคนทำให้รถล้ม แล้วเรื่องมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก ก็แค่รถล้ม พวกเราก็ช่วยกันรับผิดชอบละกัน แต่อุปกรณ์ของรถยี่ห้อนี้แพงมาก เอาเป็นว่าค่าซ่อมหาร 5 ละกันตามจำนวนคนที่อยู่ที่นี่"

"ก็ดีนะครับคุณเอก พวกเราก็ไม่อยากให้มีปัญหาคาราคาซัง" ดนัยเห็นด้วยกับความคิดนี้

"แล้วแกล่ะว่ายังไง สักกับเม"

ดนัยถามความเห็นจากรุ่นน้องทั้งสองคน ทั้งสองคนต่างพยักหน้า

"งั้นตกลงครับ งั้นเอาตามนั้นละกัน ถ้าเจ้าทศกลับมาเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปพูดกับเขาเรื่องนี้เอง"

เอกภพย้ำข้อเสนอกับทุกคนที่อยู่ในห้อง และคนอื่นๆก็แสดงท่าทียอมรับอย่างไม่มีใครคัดค้าน

"งั้นก็ตามนี้นะครับ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปนั่งดูดบุหรี่ตรงม้านั่งข้างๆบ้านก่อน"

เอกภพพูดเสร็จก็เดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเดินเลี้ยวตรงไปยังชุดโต๊ะหินที่มีเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะกลม เขาหย่อนก้นลงไปนั่งสักครู่ และหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ทันที่จะตอกมวนบุหรี่ออกมาจากซองพ้น ดนัยก็ค่อยๆเดินมาตามทิศทางเดียวกับที่เอกภพเดินมาก่อนหน้านี้

ดนัยหย่อนก้นลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะพูดคำสารภาพออกมาจากปาก

"คุณเอกครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย เมื่อสักครู่นี้ผมรู้สึกไม่สบายใจมาก แต่คุณเอกคงดูไม่ออกหรอกครับ คือว่าตอนที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะไปทำรถล้มนั้น ผมต้องขอสารภาพว่าเป็นผมเอง ที่แอบไปขึ้นคร่อมรถคันนั้นก่อนที่ฝนจะตกลงมา แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้มหรือเปล่า เพราะตอนที่ผมเดินออกมารถมันก็ยังคงตั้งอยู่ดี ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้มลงเลย คือคุณเอกก็คงเข้าใจนะครับว่า ลูกผู้ชายอย่างเราๆต่างก็ชอบรถสปอร์ทคันใหญ่ๆแบบนี้กันทั้งนั้น ผมก็แค่คิดว่าขอได้ลองสัมผัสสักครั้งในชีวิตก็พอแล้ว ชาตินี้คงไม่มีปัญญาที่จะไปหามาขี่ได้หรอกครับ"

เอกภพรับฟังทุกถ้อยคำจากปากของดนัยหมดสิ้น แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าใดๆออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น ได้เพียงแต่กล่าวประโยคสั้นๆกับดนัยว่า

"ผมเข้าใจความรู้สึกคุณครับคุณดนัย เรื่องที่คุณเล่าให้ผมฟังนั้นไม่ต้องกังวลใจใดๆไปเลยครับ ผมคิดว่าคุณดนัยคงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้รถล้มหรอกครับ และที่สำคัญพวกเราก็สามารถหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย"

"อ่อครับ ผมต้องขอบคุณอีกครั้งสำหรับทางออกที่คุณเอกเป็นคนเสนอ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ ไม่รบกวนเวลาสูบบุหรี่ดีกว่า"

ดนัยเดินจากไปอย่างไร้ความกังวล โดยมีสายตาของเอกภพจับตามองจนดนัยเดินลับสายตา เอกภพก้มหน้าลงไปที่ซองบุหรี่ พยายามเคาะมวนบุหรี่ออกมาจากซอง เอกภพก้มหน้าอีกครั้งเพื่อควานหาไฟแช็ค เขาล้วงดูทั้งกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง กระเป๋ากางเกงซ้ายขวาแต่ก็ยังไม่เจอ พอเอกภาพจะพยายามลองหาอีกรอบ ทันใดนั้นสุรศักก็เดินย่องเข้ามานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ดนัยเพิ่งจะลุกไป

"เอ่อ! พี่เอกครับ ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วย"

เอกภพเงยหน้ามาเพื่อมองดูคู่สนทนา ตอนนี้มือเขาก็ยังควานหาไฟแช็คยังไม่เจอ ทั้งๆที่บุหรี่คาอยู่ที่ปากแล้ว เอกภพยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นนัยว่าตอบรับที่จะพูดคุยกับสุรศัก ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนนั้นออกจากปากและวางมันลงบนซองบุหรี่

"พี่เอกครับ คือว่าเมื่อกี๊นี้ที่เราคุยกันเรื่องรถล้มนั้น คือว่าผมโกหกทุกคนไปอย่างหนึ่ง ที่ผมบอกว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถนั้น ความจริงผมแอบกลับไปลองขึ้นคร่อมรถคันนั้นมา แต่ผมไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นๆรู้ เพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็นคนทำรถล้ม แต่ว่าตอนที่ผมเดินออกมาจากที่รถ มันยังอยู่เหมือนเดิม"

สุรศักยังคงทำหน้าหงอย เมื่อเอกภพเห็นดังนั้นจึงพูดปลอบใจ

"สาเหตุที่รถล้มคงไม่ใช่เธอหรอกนะ เราอย่าไปสนใจเลยว่ารถมันจะล้มได้อย่างไร เดี๋ยวถ้าทศภาพกลับมาแล้วพี่จะไปคุยกับมันเอง น้องไม่ต้องเป็นกังวลนะ"

สุรศักยิ้มออกมาอย่างคลายกังวล เขาก้มหัวขอบคุณเอกภพก่อนที่เอกภพจะก้มรับเล็กน้อย สุรศักเดินจากไปจนลับสายตา เอกภพกำลังจะเอื้อมมือไปควานหาไฟแช็คอีกครั้ง แต่สายตาก็ไปสะดุดอยู่ใต้ซองบุหรี่ที่นอนทับไฟแช๊คอยู่ เขาคีบบุหรี่ที่อยู่บนซองมาคาบไว้ในปากก่อน และค่อยๆยอซองบุหรี่ออกไปเพื่อให้สามารหยิบไฟแช็คได้ เอกภพหยิบไฟแช็คราคา 5 บาทขึ้นมาจุดไฟอยู่หลายรอบ แต่ไฟไม่ติดสักที

'สงสัยไฟแช็คคงโดนละอองฝนที่สาดเข้ามา' เอกภพคิดในใจก่อนจะลองจุดอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผลสักที

เริ่มมีประกายไฟเล็กๆแสดงว่าไฟใกล้จะติดแล้ว เอกภพคิดว่าลองจุดอีกครั้งต้องติดแน่ๆ และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ไฟลุกเป็นเส้นขึ้นมาจากปากไฟแช็ค แต่เอกภพต้องปล่อยนิ้วมือที่กดปล่อยแก๊ซจากไฟแช็คทันที ที่มีเสียงพูดจากคนที่เดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ดนัยและสุรศักนั่งก่อนหน้านี้ เมธีนั่นเอง! เอกภพเงยหน้ามอง

"เอ่อ... พี่ครับ ขอเวลาพี่เดี๋ยวนึงได้มั้ยครับ"

เมธีจ้องหน้าเอกภพตาไม่กระพริบ จนเอกภพต้องยิ้มที่มุมปากเป็นสัญญาณตอบรับให้เมธีเริ่มพูดอะไรบางอย่าง

"คือผมขอพูดตรงๆนะครับ ผมคิดว่าผมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้ม ในตอนที่เราคุยกันอยู่ในบ้าน ผมบอกว่าผมเข้าห้องน้ำใช่มั้ยครับ แต่หลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำ ผมอยากจะดูรถอีกครั้งว่ามันงามแค่ไหน เลยแอบเดินมา กะว่าจะแค่มาด้อมๆมองๆเฉยๆ แต่พอเห็นมันแล้ว เหมือนกับผมถูกสะกดจิตให้ไปลองสัมผัสมันเลย ผมเลยลองขึ้นนั่งบนรถ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะสามารถล้มได้"

สายตาเจ้าของเสียงก้มมองต่ำลงเหมือนขอความเห็นใจ เอกภพรีบพูดปลอบใจก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะมีน้ำไหลซึมออกมา

"คงไม่หรอกน้องเม แค่ขึ้นไปคร่อมรถแค่นั้นเองคงไม่ทำให้รถล้มลงมาได้หรอก เอาน่าๆ ยังไงซะเราก็หาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วล่ะ ทำใจให้สบายนะ"

สายฝนหยุดไหลรินทันใด คล้ายใครบางคนเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ ฟ้าหลังฝนยามใกล้ค่ำคล้ายสงครามที่รบรากันเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่เพียงร่องรอยของสายฝนที่ยังเปียกปอนพื้นถนน ต้นไม้และบ้านเรือน เมธียิ้มขอบคุณและลุกขึ้นเดินจากไป พร้อมด้วยสายตาของเอกภพที่จ้องมอง พลันนึกในใจว่าคงได้สูบบุหรี่มวนนี้ซักที เขาค่อยเดินออกไปให้พ้นหลังคาพร้อมหยิบบุหรี่มวนนั้นและไฟแช็คไปด้วย เอกภพเตรียมทำท่าจุดบุหรี่ แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักงันเมือเห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์คันที่ทศภาพขี่ออกไปกลับเข้ามา และแล้วเอกภพก็ต้องเก็บมวนบุหรี่สอดลงไปในซองเหมือนที่มันเคยอยู่

เอกภพเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปรอทศภาค ซึ่งกำลังจอดรถพร้อมลังเบียร์ที่ผูกติดกับเบาะรถ ในขณะที่คนอื่นๆต่างนั่งรอในห้องรับแขก และภรรยาของทศภาคที่ทะยอยยกจานของกินออกมาจากครัวเรื่อยๆ เธอทำหน้าที่ของเธอตามปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

"ทศ รถแกล้มว่ะ"

เอกภพพูดออกไปตรงๆโดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อมใดๆ ผู้รับฟังทำสีหน้าตกใจรีบก้าวขาออกจากรถ โดยไม่สนใจลังเครื่องดื่มที่ห้อยติดรถไว้ ทศภาครีบก้าวเดินไปยังสวนหลังบ้าน โดยมีเอกภาพก้าวเดินตามไปไม่ห่าง

ระหว่างทางไปสวนหลังบ้านต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่ทั้ง ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีนั่งอยู่ ทุกคนในห้องทำสีหน้าตกใจที่เห็นทศภาคเดินผ่านอย่างเร่งรีบเพื่อไปที่รถ เอกภาพเดินมาและสบตากับทุกคนเป็นนัยว่าให้ใจเย็นๆไม่ต้องตกใจไป

และแล้วภาพของรถสปอร์ทคันโต สีแดงเพลิงที่ลงไปนอนคลุกกับโคลนก็ปรากฏต่อสายตาของเจ้าของ รถราคาคันละเกือบสองล้านบาท สภาพตอนนี้ดูแล้วน่าหดหู่ใจยิ่งนักที่ถูกคราบโคลนและทรายเปรอะเปื้อนบดบังความงามไว้บางส่วน เอกภาพจ้องหน้าของทศภาคที่ทำสายตาแข็งจ้องมองดูที่รถของเขา ยังไม่มีสัญญาณใดๆปรากฏว่าความรู้สึกของทศภาคเป็นอย่างไรในตอนนี้ เพราะหน้าเขายังคงนิ่งเรียบไว้ไม่ให้ใครเดาออก ไม่นานทุกๆคนที่อยู่ในบ้านก็ต่างทยอยเดินกันออกมา

ทุกคนที่อยู่หลังบ้านนอกจากตัวทศภาคเองแล้วต่างมองหน้ากัน แต่ก็ยังไม่มีใครพูดจาอะไรที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เบาบางลงได้ เอกภาพนึกถึงภาพตอนที่ทศภาคไม่ยอมให้เมธีแม้แต่จะมาลูบๆคลำๆ แต่ตอนนี้รถคันนั้นยิ่งกว่าโดนลูบคลำอีก สภาพจิตใจของทศภาคคงจะรู้สึกช็อคไปอย่างมาก

บรรยากาศแห่งความนิ่งเงียบ แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่มันเหมือนกับผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ เอกภาพพยายามที่จะเปิดปากเพื่อพูดในสิ่งที่เขาพยายามจะพูด แต่ความนิ่งเงียบเวลานี้มันสะกดกล้ามเนื้อขากรรไกรของเขาไว้ให้หยุดนิ่ง แต่ทันใดนั้น! เสียงหัวเราะของใครบางคนก็ดังลั่นขึ้นทำลายบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เอกภาพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีต่างทำหน้าตกใจปนสงสัย

เป็นทศภาคนั่นเองที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นนั่นออกมา เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนกับหัวเราะเยาะตัวเองยังดังไม่ขาด เมื่อสิ้นเสียงนั้นลงทศภาคพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บใจว่า

"ว่าแล้วเชียวว่ารถต้องล้ม เอาออกมาจอดกลางพื้นดินแล้วฝนตกหนัก ทำให้ดินทรุด ด้วยน้ำหนักของรถที่มากจึงทำให้ขาตั้งรถจมลงไปในดิน รถเลยล้ม ข้าสะเพร่าเองที่ลืมลากไปจอดตรงพื้นปูน แต่ฝนบ้านี้ก็ดันมาตกโดยไม่มีทีท่าบอกมาก่อน"

ทุกคนมองหน้ากันอีกครั้งแต่คราวนี้ความกังวลในใจหายไปสิ้น เอาภพถามด้วยความเป็นห่วง

"แล้วรถแกไม่เป็นอะไรเลยรึ?"

"ไม่เป็นไรหรอก รถข้าติดกันล้มไว้แล้วทุกจุด ที่ตัวเครื่อง ปลายแฮนด์และล้อหลัง เดี๋ยวพรุ่งนี้พอพื้นแห้งค่อยให้คนมาช่วยยกมันขึ้น พวกเราเข้าไปนั่งกินอาหารกันในบ้านดีกว่า ซื้อเบียร์มาแล้วลังนึง"

ทุกคนเดินเข้าไปในตัวบ้าน อาหารถูกยกออกมาจากครัวเป็นจานสุดท้าย เครื่องดื่มถูกเปิดและแจกจ่ายให้กับทุกคน ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นทศภาค เอกภพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีและภรรยาของเอกภพ ต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องรถกันอีกแล้ว คาราโอเกะถูกเปิดและถูกบางคนร้องอย่างสนุกสนาน

เวลาผ่านไปไม่นาน เอกภพเริ่มเมาได้ที่ เขาเดินออกจากตัวบ้านไปยังม้านั่งเมื่อสักครู่ ที่พยายามจะสูบบุหรี่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คราวนี้เอกภพสามารถหยิบมวนบุหรี่ออกมาและจุดมันสูบได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้บรรยากาศเริ่มค่ำแล้ว ดวงจันทร์ในฟ้าหลังฝนมองเห็นได้ชัดเจน ไร้เมฆบดบัง ควันบุหรี่ถูกพ่นออกจากปากของเอกภพ กลุ่มควันล่องลอยรวมเข้ากับแสงจันทร์เต็มดวงโต เหมือนความคิดของเอกภพตอนนี้ที่รู้สึกโล่งสบายเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออไปจากภายใต้จิตใจ

เอกภพหยิบมือถือสมาร์ทโฟนขึ้นมา เขาเปิดดูคลิปวีดีโอล่าสุดที่เพิ่งถูกถ่าย ในภาพหน้าจอปรากฏเป็นภาพของตัวเอกภพเอง ที่ใช้มือซ้ายยื่นมือออกไปถ่ายตัวเขาเอง นั่งควบอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ Ducati panigale 1199 s เขาพยายามเอื้อมมือข้างซ้ายขยับออกไปเพื่อให้ถ่ายวีดีโอได้เต็มตัวรถ แต่พื้นดินที่อ่อนตัวอยู่แล้ว และน้ำหนักรถที่เริ่มเซจากตัวของเอกภพ ทำให้รถล้มและตัวของเอกภาพกระเด็นออกไป

เอกภพดูคลิปวีดีโอถึงตอนที่รถล้ม เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ


"ขอบคุณนะเจ้าฝน ที่ทำให้ข้าไม่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้รถล้ม เกือบไปแน่ะ"

สักพักยศและฉิมก็เดินทางมาถึงบ้านของทศภาค ในคืนนั้นทุกคนต่างเมามายกันอย่างมีความสุข

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...